Tonkla NRCT Training Handbook 2004

Page 1


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสู ตร “นักวิจัย”

กลุ่มงานฝึ กอบรมการวิจัย สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ (วช.) พ.ศ.2547 ISBN 974-326-246-6 พิมพ์ครัง้ ที่ 2/2547 จำนวน 200 เล่ม


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

กลุ่มงานฝึ กอบรมการวิจัย สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ (วช.)

ผู้ท่ นี าข้ อมูลจากเอกสารฉบับนีไ้ ปใช้ อ้างอิงหรือเผยแพร่ โปรดระบุช่ ือ สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ (วช.) ในหน้ าที่ปรากฏข้ อมูลดังกล่ าวด้ วย ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี ้


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

คานา การพัฒนาบุคลากรด้านการวิจยั นับว่าเป็ นสิ่ งที่มีความจาเป็ นที่ทุกหน่ วยงานให้ความ สาคัญในเรื่ องนี้ โดยเฉพาะในนโยบายและแนวทางการวิจยั ของชาติ ฉบับที่ 6 ทิศทางที่ 4 การวิจยั ให้ได้ ข้อมูลเกี่ ยวกับศักยภาพของประเทศไทย การวิจยั ทาให้คน้ พบองค์ความรู ้ ใหม่ ซึ่ งความก้าวหน้าของ ศาสตร์ ในสาขาต่างๆ นั้น เป็ นผลมาจากการประดิษฐ์คิดค้นของนักวิจยั โดยใช้กระบวนการวิจยั หากไม่ มีการวิจยั วิทยาการและศาสตร์ ต่างๆ คงไม่กา้ วหน้าเช่นทุกวันนี้ สานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ (วช.) ได้ตระหนักถึงความสาคัญของการพัฒนา นักวิจยั รุ่ นใหม่ให้มีความรู ้ ความสามารถ เป็ นนักวิจยั ที่ดี มีความคิดสร้างสรรค์และเป็ นกาลังทุนปั ญญา ของชาติต่อไปในอนาคต ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ นาสู่ การจดสิ ทธิ บตั รเพื่อการพัฒนาประเทศ และสู่ สากล จึงได้มอบหมายให้กลุ่มงานฝึ กอบรมการวิจยั สานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ ดาเนิน โครงการจัดทาตาราชุ ดฝึ กอบรมหลักสู ตร “นักวิจยั ” เพื่อนาไปใช้ในการจัดทาการเรี ยนรู้วธิ ีการวิจยั จาก สื่ ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) อันเป็ นการขยายโอกาสการเรี ยนรู ้ให้กบั ประชาชนทัว่ ประเทศ สนอง นโยบายตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสู ตร “นักวิจยั ” ที่ผเู้ ขียนได้ร่วมกันเรี ยบเรี ยงขึ้น เป็ นตาราวิจยั ที่ได้จดั เรี ยงเนื้อหาตามลาดับขั้นตอนของกระบวนการวิจยั ซึ่ งจะช่วยให้ผอู ้ ่านสามารถเชื่ อมโยงเนื้อหาของแต่ละบท และทาให้เข้าใจบทเรี ยนได้ง่ายขึ้น กระผม ขอชื่ นชมต่อความมุ่งมัน่ ของคณะทางานผูท้ รงคุณวุฒิทุกท่าน ซึ่ งประกอบ ด้ ว ยศาสตราจารย์ ดร.ติน ปรัชญพฤทธิ์ นายบุญเฉิด โสภณ เภสัชกรหญิงรองศาสตราจารย์ ดร.ปลื้มจิตต์ โรจนพันธุ์ รองศาสตราจารย์ ดร.กาญจนา วัธ นสุ นทร รองศาสตราจารย์ ดร.กุหลาบ รัตนสัจธรรม และผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.บุญใจ ศรี สถิตย์นรากูร รวมทั้งฝ่ ายเลขานุการคณะทางานทุกท่าน ที่สละ เวลามาร่ วมเขียนตาราชุดฝึ กอบรมหลักสู ตร“นักวิจยั ” จนเสร็ จสมบูรณ์และมีคุณค่ายิง่ เพื่อพัฒนานักวิจยั ของชาติให้ทดั เทียมนานาอารยะประเทศ และสร้างสรรค์ความเจริ ญให้กบั สังคม เศรษฐกิจ และความ มัน่ คงของชาติ และหวังเป็ นอย่างยิง่ ว่าตาราเล่มนี้คงจะเป็ นประโยชน์ต่อผูส้ นใจทัว่ ไป

(นายจิรพันธ์ อรรถจินดา) เลขาธิ การคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สารบัญ บทที่ / หัวข้ อ บทที่ 1 บทนา โดย นายบุญเฉิด โสภณ 1.1 ความสาคัญการวิจยั ของชาติ 1.2 ความสาคัญของการวิจยั ต่อการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ บทที่ 2 มโนทัศน์ ของการวิจัย โดย รองศาสตราจารย์ ดร.กุหลาบ รัตนสั จธรรม 2.1 ความหมายของการวิจยั 2.2 เกณฑ์การพิจารณางานวิจยั 2.3 สภาพและความสาคัญของปัญหา และการตั้งชื่อเรื่ องในการวิจยั 2.4 วัตถุประสงค์ของการวิจยั 2.5 ขอบเขตการวิจยั 2.6 กรอบแนวคิดและสมมติฐานการวิจยั 2.7 คาจากัดความที่ใช้ในการวิจยั 2.8 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจยั 2.9 กระบวนการวิจยั บทที่ 3 ทบทวนแนวคิดทฤษฏีทเี่ กีย่ วข้ อง โดย รองศาสตราจารย์ ดร.กาญจนา วัธนสุ นทร 3.1 การทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 3.2 แหล่งและกระบวนการค้นคว้าแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 3.3 หลักการเขียนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 3.4 ตัวอย่างการเขียนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในการวิจยั

หน้ า

1 4

9 11 11 17 20 22 27 31 32

41 46 54 58


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

บทที่ / หัวข้ อ บทที่ 4 ประเภทของการวิจัย โดย เภสั ชกรหญิง รองศาสตราจารย์ ดร.ปลืม้ จิตต์ โรจนพันธุ์ 4.1 หลักในการจาแนกประเภท 4.2 มิติต่างๆ ของการวิจยั 4.3 การจาแนกตามเหตุผลของการวิจยั 4.4 การจาแนกตามวัตถุประสงค์ของการวิจยั 4.5 การจาแนกตามวิธีการเก็บข้อมูล 4.6 การจาแนกตามสภาวะที่วจิ ยั 4.7 การจาแนกตามวัตถุประสงค์หรื อสิ่ งที่ตอ้ งการวิจยั 4.8 การจาแนกตามผูก้ ระทาการวิจยั 4.9 การจาแนกตามความลึกของข้อมูล 4.10 การจาแนกหลายมิติ บทที่ 5 การออกแบบการวิจัย โดย เภสั ชกรหญิง รองศาสตราจารย์ ดร.ปลืม้ จิตต์ โรจนพันธุ์ และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บุญใจ ศรีสถิตย์ นรากูร 5.1 ความหมายและความสาคัญของการออกแบบการวิจยั 5.2 วัตถุประสงค์ของการออกแบบการวิจยั 5.3 การทาให้ตวั แปรทุกตัวผันแปรมากที่สุด 5.4 การลดอิทธิพลของตัวแปรอื่นๆ 5.5 การขจัดข้อบกพร่ องของการวัด 5.6 แบบแผนการวิจยั 5.7 ปัญหาความถูกต้องหรื อความเชื่อถือได้ (Validity) ของแบบการวิจยั 5.8 หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาการวางแผนออกแบบการวิจยั 5.9 การสุ่ มตัวอย่าง 5.10 คุณภาพเครื่ องมือและการตรวจสอบคุณภาพเครื่ องมือ

หน้ า

65 66 66 68 69 70 72 72 73 74

97 98 98 99 100 102 110 111 113 127


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

บทที่ / หัวข้ อ บทที่ 6 วิธีวเิ คราะห์ และรายงานผลการวิเคราะห์ ข้อมูล โดย รองศาสตราจารย์ ดร.กาญจนา วัธนสุ นทร 6.1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล 6.2 การวิเคราะห์และความหมายผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล ด้วยสถิติบรรยาย 6.3 การวิเคราะห์และความหมายผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล ด้วยสถิติติอา้ งอิงหรื อสถิติทดสอบแบบพาราเมตริ ก 6.4 การวิเคราะห์และความหมายผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล ด้วยสถิติติอา้ งอิงหรื อสถิติทดสอบแบบนันพาราเมตริ ก บทที่ 7 การเขียนสรุ ป อภิปรายผล และข้ อเสนอแนะ โดย รองศาสตราจารย์ ดร.กุหลาบ รัตนสั จธรรม 7.1 การสรุ ปผลและข้อเสนอแนะ 7.2 การอภิปรายผลการวิจยั บทที่ 8 ตัวอย่างงานวิจัย เรื่องที่ 1 การประเมินศักยภาพแหล่งน้ าบาดาลและผลกระทบ จากการใช้น้ าบาดาล ในพื้นที่ตาบลท่าพระ อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดย นายประจญ เจริ ญศรี และคณะ เรื่องที่ 2 อุบตั ิเหตุรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยและมาตรการแก้ไข โดย นายวีระ กสานติกุล และคณะ เรื่องที่ 3 เจลฟ้ าทะลายโจรเพื่อใช้เสริ มการรักษาโรคปริ ทนั ต์อกั เสบ โดย ภญ.รศ.ดร.ปลื้มจิตต์ โรจนพันธุ์ เรื่องที่ 4 การใช้เครื่ องสับและเศษซากอ้อย เพื่อแก้ปัญหาการเผาใบ และเศษซากอ้อย โดย นายอรรถสิ ทธิ์ บุญธรรม และคณะ เรื่องที่ 5 ระบบบาบัดน้ าเสี ยไร้อากาศประสิ ทธิ ภาพสู งแบบตรึ งเซลล์ สาหรับโรงงานอุตสาหกรรมเกษตร โดย ผศ.ดร.ภาวินี ชัยประเสริ ฐ และคณะ

หน้ า

145 147 155 170

185 185 193

200 206 222

228


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

บทที่ / หัวข้ อ เรื่องที่ 6 การพัฒนาหลักสู ตรเพื่อเสริ มสร้างกระบวนการตัดสิ นใจ ทางจริ ยธรรมในวิชาชีพหนังสื อพิมพ์สาหรับศึกษาวารสารศาสตร์ โดย ดร.บุบผา เมฆศรี ทองคา และคณะ เรื่องที่ 7 การศึกษาแบบแผนทางศิลปกรรมของวิหารพื้นเมืองล้านนา ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-24 โดย วรลัญจก์ บุญยสุ รัตน์ เรื่องที่ 8 ทิศทางการพัฒนาระบบงานยุติธรรมกับการป้ องกันแก้ไข ปัญหาอาชญากรรม โดย รศ.ดร.กมลทิพย์ คติการ และคณะ เรื่องที่ 9 การสถาปนาอานาจของประชาชนในระดับรากหญ้า โดย ดร.พรใจ ลี่ทองอิน เรื่องที่ 10 โครงการพัฒนาประสิ ทธิภาพการบริ หารการเงินการคลังท้องถิ่น โดย รศ.ดร.ดิเรก ปัทมสิ ริวฒั น์ และคณะ เรื่องที่ 11 กระบวนการเข้าสู่ การใช้ยาบ้าของนักเรี ยนวัยรุ่ น โดย ดร.นิรนาท แสนสา เรื่องที่ 12 การพัฒนาดัชนีรวมของคุณภาพการจัดการศึกษาสาหรับ หลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต โดย ผศ.ดร.บุญใจ ศรี สถิตย์นรากูร บทที่ 9 การวิจัยแบบบูรณาการ โดย นายบุญเฉิด โสภณ 9.1 โครงการวิจยั และแผนงานวิจยั 9.2 ความหมายของโครงการวิจยั กับแผนงานวิจยั หรื อชุดโครงการวิจยั 9.3 แผนปฏิบตั ิการโครงการวิจยั และแผนงานวิจยั หรื อ ชุดโครงการวิจยั 9.4 ความแตกต่างระหว่างวัตถุประสงค์ของโครงการวิจยั และแผนงานวิจยั หรื อชุดโครงการวิจยั 9.5 ความแตกต่างระหว่างโครงการวิจยั กับแผนงานวิจยั หรื อ ชุดโครงการวิจยั

หน้ า 234

238

242

246 258 265 268

281 283 283 284 285


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

บทที่ / หัวข้ อ

หน้ า

บทที่ 9 การวิจัยแบบบูรณาการ (ต่ อ) โดย นายบุญเฉิด โสภณ 9.6 การสร้างชุดโครงการวิจยั 9.7 ตัวชี้วดั คุณค่าหรื อประโยชน์ของแผนงานวิจยั 9.8 คุณสมบัติของผูบ้ ริ หารแผนงานวิจยั 9.9 อุปสรรคในการทาชุดโครงการวิจยั 9.10 แผนงานวิจยั แบบบูรณาการ 9.11 ยุทธศาสตร์ การพัฒนาประเทศกับงานวิจยั 9.12 การวิจยั แบบบูรณาการ : แนวคิด เป้ าหมาย และเกณฑ์การพิจารณา 9.13 เกณฑ์การพิจารณาแผนงานวิจยั แบบบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐ ที่เสนอของบประมาณประจาปี งบประมาณ พ.ศ. 2548 9.14 เกณฑ์การพิจารณาแผนงานวิจยั แบบบูรณาการ 9.15 รายละเอียดของหัวข้อในการจัดทาแบบเสนอแผนงานวิจยั แบบบูรณาการ 9.16 ความแตกต่างระหว่างแผนงานวิจยั และแผนงานวิจยั แบบบูรณาการ บรรณานุกรม ภาคผนวก ภาคผนวก ก ภาคผนวก ข ภาคผนวก ค ภาคผนวก ง ภาคผนวก จ

ตารางสถิติ จรรยาบรรณนักวิจยั ประวัติผเู้ ขียนและผลงาน คณะทางานจัดทาตาราชุดฝึ กอบรมหลักสู ตร “นักวิจยั ” คณะผูจ้ ดั ทาเอกสาร

286 290 291 291 292 292 293 294 297 299 300

303 313 315 335 341 347 351


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สารบัญตาราง ตารางที่ 1 แสดงความแตกต่างระหว่างแบบตัวอย่างชุดเดียวและหลายชุด 2 แสดงการเก็บตัวอย่างเดียวกัน 2 ครั้ง และเก็บตัวอย่างใหม่ในครั้งที่สอง 3 แสดงการเก็บตัวอย่างหลังจากมีกิจกรรมที่กระตุน้ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 4 แสดงการเก็บตัวอย่างโดยมีการกระตุน้ การเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในบางกลุ่ม 5 แสดงขั้นตอนและแนวคิดในการออกแบบการวิจยั 6 แสดงระดับความคิดเห็นของผูเ้ ชี่ยวชาญจากแบบสอบถาม ความพึงพอใจในงาน 7 แสดงการแจกแจงข้อที่ตอบได้ถูกต้องของนิสิตกลุ่มคะแนนสู ง 8 แสดงการแจกแจงข้อที่ตอบได้ถูกต้องของนิสิตกลุ่มคะแนนต่า 9 แสดงการแจกแจงข้อมูลจานวนครั้งในการดูทีวี 10 แสดงการแจกแจงข้อมูลเพื่อหาค่ามัธยฐาน 11 แสดงผลการวิเคราะห์ค่าสถิติทดสอบ 12 แสดงค่าเฉลี่ยและค่าส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 13 แสดงผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล 14 แสดงค่าเฉลี่ยและค่าผลบวกกาลังสองที่ได้จาก การให้อาหารเสริ มแก่สุนขั 15 แสดงรู ปแบบการนาเสนอตารางวิเคราะห์ความแปรปรวนและการคานวณ 16 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวน 17 แสดงตารางวิเคราะห์ความแปรปรวน 18 แสดงการนาเสนอสถิติทดสอบแบบสถิติพาราเมตริ กและนันพาราเมตริ ก ที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับตัวแปรที่ศึกษา 19 แสดงจานวนครั้งที่เกิดจากการโยนลูกเต๋ า 20 แสดงตารางการหาค่าความถี่สะสมและความแตกต่างระหว่างนักศึกษาต่างชั้นปี 21 แสดงมีการเรี ยงลาดับจากที่มีค่าของข้อมูลน้อยสุ ดจนถึงที่มีค่าของข้อมูลสู งสุ ด 22 แสดงผลการประเมินคนงานโดยผูบ้ งั คับบัญชาและจากการประเมินเอกสาร 23 แสดงการเปรี ยบเทียบการบาบัดน้ าเสี ยด้วยระบบบาบัดบ่อเปิ ดและ ระบบไร้อากาศที่พฒั นาขึ้น

หน้ า 107 108 108 109 112 132 141 142 149 151 160 161 162 167 168 168 169 172 173 175 177 179 231


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สารบัญภาพ ภาพที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13

หน้ า กระบวนการหาคาตอบโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์

10

กรอบแนวคิดในการวิจยั หน้าที่เข้าสู่ เอกสารที่มีอยูใ่ นเว็บไซต์ของสมาคม AREA หน้าในเว็บไซต์ของสมาคม AREA โครงสร้างและระบบการประเมินตามสภาพจริ ง กรอบแนวคิดของการวิจยั ทดสอบสมมติฐาน H0 :  = 0 และ H1 :  > ทดสอบสมมติฐาน H0 :  = 0 และ H1 :  <  ทดสอบสมมติฐาน H0 :  = 0 และ H1 :   0 กรอบความคิดการพัฒนาดัชนีทางการศึกษา องค์ประกอบคุณภาพการจัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต ภาพแสดงลาดับชั้นของแผน ระดับของการวัด

26 49 49 51 62 157 157 158 272 277 284 336


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สารบัญภาคผนวก ตารางสถิติ ตารางที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9

10

พื้นที่ใต้โค้งแห่งการแจกแจงปกติ ค่าวิกฤตของการทดสอบ t (Distribution of t) ค่าวิกฤตของการทดสอบไคสแควร์ (2 - Test) ค่าวิกฤตของ F Critical values of the studentized range statistic (for Tukey HSD tests) ค่าวิกฤตของ r ในการทดสอบความสุ่ ม (Runs Test) ค่าวิกฤตของ D ในการทดสอบโคโมโกรอฟ สไมนอฟ ค่าความน่าจะเป็ นที่ได้จากค่าต่าสุ ดของ U ในการทดสอบของแมนวิทนีย ์ ค่าวิกฤตของ U ในการทดสอบของแมนวิทนีย ์ 9.1 Critical Values of U for a One-Tailed Test at .001 or for a Two-Tailed Test at .002 9.2 Critical Values of U for a One-Tailed Test at .01 or for a Two-Tailed Test at .02 9.3 Critical Values of U for a One-Tailed Test at .025 or for a Two-Tailed Test at .05 9.4 Critical Values of U for a One-Tailed Test at .05 or for a Two-Tailed Test at .10 ค่าของ H และความน่าจะเป็ นในการทดสอบครัสคัล – วอลลิส

หน้ า 349 350 352 354 357 359 360 361 364 365 366 367 368


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

บทที่ 1 บทนา 1.1 ความสาคัญการวิจัยของชาติ ปั จจุ บนั การวิจยั เป็ นที่รู้จกั และเข้าใจกันโดยแพร่ หลายในหมู่นกั วิชาการ และบุ คคล ทัว่ ไปทุกชาติทุกภาษา เพราะการวิจยั เป็ นเครื่ องมือหรื อวิธีการที่ดีที่สุดในปั จจุบนั ในการแสวงหาความรู ้ และที่มาของปั ญหาต่างๆ ที่มนุ ษย์ไม่รู้และต้องการแสวงหาคาตอบ การวิจยั ทาให้มนุ ษย์มีความรู ้ ความ เข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ ของโลก และของจักรวาล การวิจยั ทาให้มนุษยชาติมีความเจริ ญก้าวหน้า มี การพัฒนา มีความเจริ ญรุ่ งเรื องอยูต่ ลอดเวลา ไม่มีที่สิ้นสุ ด ดัง นั้น ชนชาติ ใ ดที่ ใ ห้ ค วามส าคัญ กับ การวิ จ ัย ย่อ มมี ผ ลท าให้ ช นชาติ น้ ัน ๆ มี ค วาม เจริ ญรุ่ ง เรื องและพัฒนา และเป็ นชนชาติ ที่ มี ค วามเข้ม แข็ง ในทุ ก ๆ ด้า น ไม่ ว่า จะเป็ นด้า นเศรษฐกิ จ การทหาร การเมือง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และด้านอื่นๆ ตามมา ความสาคัญของการวิจยั ในปั จจุบนั อาจดูได้จากกรณี ตวั อย่างสิ่ งของรอบตัวเราที่ทาให้ เรามี ชีวิตอยู่ได้ มีความสุ ขและสะดวกสบาย เช่ น มีไฟฟ้ า มีทีวี มีภาพยนตร์ มี เครื่ องบิน มีอาหาร มียา รักษาโรค มีคอมพิวเตอร์ ช่วยทางาน มีไฟฟ้ า มีโทรศัพท์ มีสิ่งอานวยความสะดวกต่างๆ มากมายรอบๆตัว เรา ซึ่ งสิ่ งเหล่านี้ลว้ นเป็ นผลผลิตที่เกิดจากการวิจยั ทั้งสิ้ น ในประเทศที่ ป ระชาชน สั ง คม และผูน้ าประเทศเห็ นความส าคัญของการวิจ ัย เช่ น สหรัฐอเมริ กา ญี่ปุ่น เยอรมันนี อังกฤษ ฝรั่งเศส สวีเดน ออสเตรเลีย หรื อประเทศในกลุ่มเอเชี ยตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ไต้หวัน ต่างก็ทุ่มเททรัพยากรต่างๆ ให้กบั การวิจยั เป็ นจานวนมากมาเป็ นเวลานาน และมีความต่อเนื่องอยูต่ ลอดเวลาโดยไม่หยุดยั้ง และถือว่าการวิจยั เป็ นนโยบายสาคัญของรัฐที่จะต้องให้ การสนับสนุ นเป็ นพิเศษ ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะให้ประเทศของตนเองมีความเจริ ญก้าวหน้าเหนื อชาติอื่นๆ ดังที่ ปรากฏให้เห็นในเชิงประจักษ์แก่สายตาโลกอยูท่ ุกวันนี้แล้ว สาหรับประเทศไทยนั้นแม้วา่ จะได้มีการพัฒนางานวิจยั มาเป็ นเวลานานพอสมควร แต่ การวิจยั ของไทยก็ยงั ไม่เจริ ญก้าวหน้าเหมือนประเทศอื่นๆ ที่พฒั นาแล้ว และยังไม่อาจใช้เป็ นเครื่ องมือ สาคัญ เพื่อผลักดันให้เกิ ดการพัฒนาในด้านเศรษฐกิ จ สัง คม และความมัน่ คงของประเทศเท่ าที่ ควร ในช่ วงหลายสิ บปี ที่ผา่ นมาได้มีความพยายามผลักดันให้ทุกฝ่ ายได้เห็นความสาคัญของการวิจยั และใช้ เป็ นเครื่ องมื อในการพัฒนา เช่ น ในรั ฐธรรมนู ญแห่ ง ราชอาณาจัก รไทยหลายฉบับ ได้ก าหนดไว้ใ น แนวนโยบายแห่งรัฐ ที่รัฐจะให้การส่ งเสริ มและสนับสนุนการวิจยั


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

อย่า งไรก็ ต าม แม้แ ต่ ใ นรั ฐ ธรรมนู ญ ซึ่ งถื อ เป็ นแนวนโยบายหลัก ของประเทศนั้น นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิ ทธิ ราชมาเป็ นระบบการปกครองแบบ ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 จนถึงปั จจุบนั นี้ ประเทศไทยมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญทั้ง ที่เป็ นฉบับถาวร ฉบับชัว่ คราว และฉบับแก้ไขเพิม่ เติมหลายฉบับ แต่มีเพียง 6 ฉบับเท่านั้นที่แนวนโยบาย แห่งรัฐให้ความสาคัญกับการวิจยั และระบุไว้ชดั เจน คือ ฉบับแรก คือ รัฐธรรมนูญแห่ งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 มาตรา 65 บัญญัติวา่ “รัฐ พึงสนับสนุนการค้นคว้าในทางศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ” ฉบับที่สอง คือ รัฐธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2511 มาตรา 61 บัญญัติว่า “รัฐพึง สนับสนุนการวิจยั ทางศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ” ฉบับที่สาม คือ รัฐธรรมนูญการปกครองแห่ งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 มาตรา 75 บัญญัติวา่ “รัฐพึงสนับสนุนการวิจยั ในศิลปะและวิทยาการต่างๆ พึงส่ งเสริ มสถิติ และพึงใช้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศ” ฉบับที่สี่ คือ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 มาตรา 61 บัญญัติวา่ “รัฐพึงสนับสนุนการวิจยั ใน ศิลปะและวิทยาการต่างๆ และพึงส่ งเสริ มการใช้วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศ” ฉบับที่ห้า คือ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 มาตรา 67 บัญญัติวา่ “รัฐพึงสนับสนุ นการ ค้นคว้าวิจยั ในศิ ลปะและวิท ยาการต่า งๆ และพึ งส่ งเสริ ม และเร่ งรั ดให้มี การพัฒนาวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีเพื่อนามาใช้ในการพัฒนาประเทศ” ฉบับที่หก คือ รัฐธรรมนู ญแห่ งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 81 บัญญัติว่า “รัฐ….สนับสนุนการค้นคว้าวิจยั ในศิลปะวิทยาการต่างๆ…..” การที่รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็ นกฎหมายสู งสุ ดของประเทศได้กาหนดให้รัฐพึงสนับสนุ นการ ค้นคว้าวิจยั ไว้ในกฎหมายสู งสุ ดของประเทศ ก็ยอ่ มแสดงให้เห็นว่ารัฐเห็นความสาคัญของการวิจยั ดังจะ เห็ นได้จากการแถลงนโยบายของรั ฐบาลสมัย จอมพล ป.พิ บู ลสงคราม ซึ่ งได้แถลงนโยบายต่ อสภา ผูแ้ ทนราษฎร เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2490 รัฐบาลได้กล่าวว่า “จะได้ดาเนินงานสื บค้นในทางวิทยาศาสตร์ เพื่อส่ งเสริ มการอุตสาหกรรม กสิ กรรมและพาณิ ชยกรรมของประเทศ” นี่ แสดงว่า รัฐบาลได้เริ่ มสนใจ ในการวิจยั ตลอดจนมองเห็นคุณค่าของการวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ว่าเป็ นสิ่ งหนึ่ งที่จะช่วย ในการพัฒนาประเทศ ช่วยแก้ไขปั ญหาของมนุษย์ และช่วยให้มนุษย์มีความเป็ นอยูท่ ี่ดีข้ ึน แม้ว่ า มี ก ารระบุ แ นวทางการส่ ง เสริ มและสนั บ สนุ น ในเรื่ องของการวิ จ ัย ไว้ใ น แนวนโยบายแห่ งรัฐในรัฐธรรมนู ญแล้วก็ตาม แต่เนื่ องจากรั ฐธรรมนู ญของเรามี การเปลี่ ยนแปลงบ่อย 2


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

การดาเนินการเพื่อให้เป็ นไปตามแนวนโยบายแห่งรัฐอย่างต่อเนื่ องเห็นผลเป็ นรู ปธรรมจึงทาได้ยาก และ นักการเมืองก็ให้ความสนใจในเรื่ องของการวิจยั เพื่อพัฒนาภูมิปัญญาให้กบั คนในชาติน้อยมาก จึงได้มี ความพยายามกาหนดแนวทางส่ งเสริ มและสนับสนุ นการวิจยั ของชาติไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิ จและ สังคมแห่ งชาติ ฉบับที่ 5, 6, 7 และ 8 รวมทั้งได้มีการจัดทานโยบายและแผนการวิจยั ของชาติมาตั้งแต่ปี 2520 โดยสภาวิจยั แห่ งชาติได้จดั ทานโยบายและแนวทางการวิจยั ของชาติมาจนถึงปั จจุบนั รวม 6 ฉบับ คือ นโยบายและแนวทางการวิจยั ของชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2520-2524) ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2525-2529) ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2530-2534) ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2535-2539) ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2540-2544) และฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2545-2549) ซึ่ งเป็ นฉบับที่ใช้อยูใ่ นปั จจุบนั นี้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้นโยบายและแนวทางการวิจยั ของชาติมี ความต่อเนื่อง และไม่ขาดตอนเหมือนกับที่ได้กาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หน่ วยงานที่มีหน้าที่ในด้านการสนับสนุ นและพัฒนางานวิจยั ตามกฎหมายที่จดั ตั้งขึ้น เป็ นแห่งแรกโดยรัฐ คือสภาวิจยั แห่ งชาติซ่ ึ งเป็ นหน่วยงานที่รับผิดชอบในด้านการสนับสนุ นและพัฒนา ให้มีการวิจยั และนักวิจยั โดยได้รับอนุมตั ิให้จดั ตั้งขึ้น ในปี พ.ศ. 2499 เพื่อทาหน้าที่ให้คาปรึ กษาแนะนา แก่รัฐบาลในการชี้ แนะแนวทางการพัฒนาประเทศโดยอาศัยความรู ้ที่ได้จากการค้นคว้าวิจยั รวมทั้งเป็ น สภาทางวิชาการของประเทศ การให้การส่ งเสริ มและสนับสนุ นการวิจยั โดยส่ วนรวม ต่อมามีการจัดตั้ง สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่ งชาติข้ ึนเมื่อ พ.ศ. 2502 ตามแนวทางการพัฒนาประเทศยุคใหม่ตามคาแนะนา ของผูเ้ ชี่ ยวชาญต่างประเทศ แต่ยงั ไม่มีบทบาทในการกาหนดนโยบายวิจยั ที่เด่นชัดในช่ วงแผนพัฒนาฯ สามแผนแรก เมื่อมองย้อนกลับไปอาจพิจารณาได้วา่ ความคิดเรื่ องการใช้การวิจยั เป็ นฐานของการสร้าง ความสามารถของประเทศ เป็ นความคิดที่นาเข้ามาจากประเทศทางตะวันตก ข้าราชการที่กาหนดแนว ทางการพัฒนาของประเทศไทย ยังไม่เห็ นความจาเป็ นของการวิจยั เนื่ องจากการพัฒนาประเทศในช่วง ต้น เน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและปั ญหาปากท้องเฉพาะหน้า ในส่ วนของสานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ งชาติเอง แม้จะ ยังไม่ได้กาหนดนโยบายและแผนการวิจยั ชัดเจนในช่วงดังกล่าว ก็เริ่ มให้ความสาคัญกับวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี ซึ่ งมีส่วนส่ งผลถึงการกาหนดนโยบายการวิจยั โดยการจัดตั้งกองวางแผนเทคโนโลยี และ สิ่ งแวดล้อม เมื่อปลายแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 3 เมื่อ พ.ศ. 2518 กองวางแผนเทคโนโลยีและสิ่ งแวดล้อม เป็ นสะพานให้นกั วิชาการทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีได้มีส่วนให้ความเห็นต่อการจัดทาแผนพัฒนา ฯ ในระยะต่อมา โดยเฉพาะแผนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่ มี นโยบายและแนวทางการวิจยั เป็ น ส่ วนประกอบชัดเจนของแผน นอกจากนี้ ยงั ได้สอดแทรกแนวทางการวิจยั ไว้ในการพัฒนาด้านต่างๆ อีก ด้วย อาทิ ด้านการศึกษา ด้านการเกษตร ด้านสาธารณสุ ข เป็ นต้น ในระยะเริ่ ม แรกของการด าเนิ น งานด้า นการวิ จ ัย ของสภาวิจ ัย แห่ ง ชาติ ส านัก งาน คณะกรรมการวิจยั แห่ งชาติ และสภาพัฒนาเศรษฐกิ จแห่ งชาติเปลี่ ยนชื่ อเป็ นสานักงานคณะกรรมการ 3


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

พัฒนาการเศรษฐกิ จและสังคมแห่ งชาติ พ.ศ. 2515 เป็ นระยะที่ หน่ วยปฏิ บตั ิงานวิจยั และหน่ วยงาน ส่ งเสริ มและสนับสนุ นการวิจยั ยังมีนอ้ ยอยู่ การนาผลงานวิจยั ไปสู่ ผใู ้ ช้ประโยชน์จึงยังไม่ค่อยได้ผลและ ยัง ไม่เชื่ อมโยงกับ ผูใ้ ช้เท่ า ที่ ค วร ต่ อมาในสภาวะการณ์ ปั จจุ บ นั ความก้า วหน้า ทางด้า นวิท ยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสังคมประเทศต่างๆ ในโลกได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ ว อาจกล่าวได้วา่ ชาติใดที่ลา้ หลังในการพัฒนาย่อมไม่อาจพัฒนาล้ าหน้าประเทศที่กา้ วหน้าได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ประเทศไทย เราจึงมีความจาเป็ นที่จะต้องพัฒนาประเทศให้กา้ วหน้าทันต่อการเปลี่ ยนแปลงของโลก โดยอาศัยการ วิจยั และพัฒนาเป็ นเครื่ องมื อสาคัญอย่างหนึ่ งในการพัฒนาและแก้ไขปั ญหาของชาติ ด้วยความจาเป็ น ดังกล่าวในระยะต่อมาจึงได้มีการจัดตั้งหน่วยงานวิจยั และพัฒนาขึ้น รวมทั้งหน่วยงานที่ให้การส่ งเสริ ม และสนับ สนุ นการวิจยั มากขึ้ น อาทิ ในส่ วนของภาคราชการและรั ฐวิส าหกิ จต่ างๆ ก็ ไ ด้มีก ารจัดตั้ง หน่ ว ยงานวิ จ ัย ของรั ฐ เพิ่ ม มากขึ้ น เช่ น กรมวิ ช าการเกษตร กรมประมง กรมปศุ สั ต ว์ กรมป่ าไม้ กรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ สถาบันวิจยั วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแ ห่ งประเทศไทย เป็ นต้น สาหรับ การวิจยั ของภาคเอกชนของไทยในขณะนี้ ภาคเอกชนขนาดใหญ่ก็เริ่ มให้ความสาคัญกับการวิจยั และ พัฒนาเพิ่มขึ้น โดยจัดให้มีหน่ วยปฏิ บตั ิการวิจยั และใช้งบประมาณค่าใช้จ่ายในการวิจยั ของตนเองเป็ น การเฉพาะด้วย นอกจากนี้ ยงั มีหน่ วยงานสนับสนุ นการวิจยั และพัฒนา และหน่ วยงานปฏิ บตั ิการวิจยั สถาบันเฉพาะทาง สถานี ท ดลองในมหาวิท ยาลัย ต่า งๆ เกิ ดขึ้ นเป็ นจานวนมากทั้ง ที่ มี การจัดตั้ง เป็ น ทางการและไม่เป็ นทางการ ซึ่ งขณะนี้ มีอยู่ไม่น้อยกว่า 47 แห่ ง สถาบันวิจยั เฉพาะทางกระจายอยู่ใน มหาวิทยาลัยของรัฐ โดยที่รัฐได้จดั สรรงบประมาณค่าใช้จ่ายในการวิจยั เป็ นจานวนมากให้สถาบันวิจยั เฉพาะทางเหล่านี้ ต่อมาช่วงหลังปี 2534 รัฐบาลให้มีการจัดตั้งองค์กรส่ งเสริ มและสนับสนุ นการวิจยั ขึ้น อีกหลายองค์กร ได้แก่ สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สานักงานกองทุน สนับสนุนการวิจยั (สกว.) และสถาบันวิจยั ระบบสาธารณสุ ข (สวรส.) นอกจากจะมีการจัดตั้งหน่วยงาน สนับสนุนการวิจยั 3 หน่วยงานดังกล่าวแล้ว ยังได้มีการจัดตั้งกองทุนที่มีส่วนสนับสนุ นการวิจยั อีก 2 กองทุ น คื อ กองทุ นอนุ รักษ์พลังงาน และกองทุ นสิ่ งแวดล้อม ซึ่ งทั้ง 2 กองทุนมีการสนับสนุ น งานวิจยั และฝึ กอบรมอยูด่ ว้ ย

1.2 ความสาคัญของการวิจัยต่ อการพัฒนาประเทศในด้ านต่ างๆ การวิจยั ถือเป็ นกิจกรรมพัฒนาปั ญญาเพื่อเสริ มสร้างความรู ้ ความเข้าใจแก่มนุษย์เพื่อ นาไปปรับปรุ งและพัฒนาวิถีการดารงชี วิตทั้งในด้านเศรษฐกิ จ สังคม การเมืองและวัฒนธรรมให้ดีข้ ึน ทั้งยังใช้ในการปรับตัวเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติและอารยธรรมของโลกได้เป็ นอย่างดี 4


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

การวิจยั ได้มีบทบาทต่อการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ทั้งต่อการพัฒนาในส่ วนเฉพาะตัวมนุ ษย์เองหรื อ แม้แต่ดา้ นสังคม วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี การค้าระหว่างประเทศ การเมืองการปกครอง และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อม ผลการวิจยั ที่ผา่ นมาช่วยทาให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเอง ในทางปั ญญาไปได้อีกขั้นหนึ่ ง ทั้งยังเป็ นการสร้างรากฐานของการพัฒนาประชากรชาวไทยให้สามารถ เข้าใจปั ญหาของประเทศและร่ วมมือกันเพื่อแก้ไขปั ญหาอุปสรรคที่สาคัญต่างๆ ดังตัวอย่างการวิจยั ใน ด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศได้ เท่าที่ผา่ นมามีดงั ต่อไปนี้ 1.2.1 การวิจัยด้ านการเกษตร เกษตรกรรมเป็ นภาคเศรษฐกิจพื้นฐานของประเทศไทย ประชาชนประมาณร้อยละ 60 อยู่ในภาคการเกษตร และภาคการเกษตรเป็ นแหล่ งผลิ ตอาหารและวัตถุ ดิบสาหรั บภาคอุ ตสาหกรรม รวมทั้งเป็ นแหล่งนารายได้เข้าสู่ ประเทศได้ประมาณปี ละ 3 แสนล้านบาทอีกด้วย การวิ จ ัย ด้ า นการเกษตรช่ ว ยเสริ มสร้ า งความสามารถในการผลิ ต สิ น ค้า เพื่ อ ใช้ ภายในประเทศและสามารถส่ งเป็ นสิ นค้าออกไปขายในตลาดโลกและเสริ มสร้างความเข้มแข็งให้กบั ภาค เกษตร รวมทั้งทาให้ภาคอุตสาหกรรมการเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้น ดังจะเห็นได้จากมูลค่าผลิตภัณฑ์รวมใน ประเทศของสาขาอุตสาหกรรมการเกษตรมีสัดส่ วนสู งกว่าอุตสาหกรรมอื่น จึงอาจกล่าวได้วา่ การวิจยั ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมจะมีส่วนสนับสนุนและเป็ นรากฐานที่สาคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของ ประเทศ 1.2.2 การวิจัยด้ านอุตสาหกรรม การวิจยั เพื่อพัฒนาอุ ตสาหกรรมในสาขาต่างๆ เช่ น อุตสาหกรรมไฟฟ้ า ยารั กษาโรค คอมพิวเตอร์ รถยนต์ เสื้ อผ้า เครื่ องนุ่ งห่ ม นม อาหาร เป็ นต้น มีบทบาทและมีส่วนสาคัญในการพัฒนา ประเทศ เพราะเป็ นส่ วนสาคัญในการผลักดันให้ประเทศมีการพัฒนาก้าวไกลไปอย่างรวดเร็ ว และทันต่อ ความเจริ ญของนานาอารยะประเทศ การวิจยั ก่ อให้เกิ ดการพัฒนาทางเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรม และผลักดันให้การพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศบรรลุเป้ าหมาย การวิจยั ในภาคอุตสาหกรรมที่สาคัญ เป็ นการศึกษาวิจยั เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและประสิ ทธิ ภาพในการผลิตสิ นค้า การวิจยั เพื่อเพิ่มสมรรถนะ ทางเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่ ง มี ส่ วนสาคัญในการทาให้ป ระเทศมี ศกั ยภาพในการแข่ งขันกับ ต่า งประเทศ สามารถนารายได้มาสู่ ประเทศมากขึ้น 1.2.3 การวิจัยด้ านพลังงาน พลังงานเป็ นปั จจัยสาคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกๆ สาขา อาทิ สาขาการเกษตร อุตสาหกรรม คมนาคม ขนส่ ง ก่อสร้าง การสาธารณูปโภค ตลอดจนการพัฒนาสังคมเพื่อให้ประชาชนมี ชี วิตความเป็ นอยู่ที่ดีข้ ึ น โดยในส่ วนของการพัฒนาอุ ตสาหกรรมและบริ การ การคมนาคมและการ ขนส่ งของประเทศจาเป็ นต้องพึ่งพาการนาเข้าพลังงานในรู ปแบบต่างๆ ในเชิ งพาณิ ชย์สูงถึ งร้อยละ 80 5


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ของการใช้พลังงานของประเทศ ดังนั้นจึงจาเป็ นต้องมีการดาเนิ นการวิจยั และพัฒนาการใช้พลังงานให้มี ประสิ ทธิ ภาพมากขึ้นรวมทั้งการวิจยั เพื่อหาพลังงานทดแทนจากธรรมชาติให้มีประสิ ทธิ ภาพและราคา ถู ก ลงได้ และช่ วยแก้ปั ญหามลภาวะที่ เกิ ดจากการใช้พ ลัง งาน ซึ่ ง จะเป็ นแนวทางช่ วยให้เกิ ดการใช้ พลังงานได้อย่างคุ ม้ ค่า ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และสามารถรองรับการผลิตสิ นค้าและ บริ การของประเทศ ก่อให้เกิ ดรายได้ภายในประเทศมากขึ้น ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้ อพลังงานจาก ต่างประเทศ อันเป็ นประโยชน์ที่สาคัญของการวิจยั ด้านพลังงานต่อการพัฒนาประเทศ 1.2.4 การวิจัยด้ านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อม การพัฒนาประเทศโดยกระบวนการพัฒนาจากภาคการเกษตรสู่ อุตสาหกรรมเท่าที่ผา่ น มาส่ งผลให้เกิ ดความเสื่ อมโทรมด้านทรัพยากรธรรมชาติและเกิ ดมลภาวะของสิ่ งแวดล้อม อันกระทบ โดยตรงต่อคุ ณภาพชี วิตของประชาชนภายในประเทศและประชาคมโลก การวิจยั เพื่อการแก้ไข ฟื้ นฟู อนุ รักษ์และพิทกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อม เป็ นสิ่ งจาเป็ นที่ประชาคมโลกได้ตระหนักถึ ง ประเด็นของความเสื่ อมโทรมด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อมได้กลายเป็ นประเด็นสาคัญในการ กีดกันทางการค้าต่อประเทศคู่คา้ ต่างๆ ในตลาดโลก ที่จาเป็ นจะต้องมีการป้ องกันและแก้ไขให้เกิดดุลย ภาพอันเป็ นที่ยอมรับได้ตามมาตรฐานสากล การศึกษาวิจยั เพื่อการป้ องกันแก้ไข อนุรักษ์และคืนดุลยภาพ ให้แก่ธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อมจึงเป็ นสิ่ งสาคัญต่อการพัฒนาประเทศ 1.2.5 การวิจัยด้ านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็ นวิ ทยาการที่เกี่ ยวข้องกับการนาความรู ้ ความเข้าใจใน ธรรมชาติไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดารงชีวติ ของมวลมนุษย์และการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยการใช้ เทคโนโลยีระดับสู งในกรรมวิธีการผลิ ตผลิ ตภัณฑ์เพื่อการค้า การส่ งสิ นค้าออก ตลอดจนการพัฒนา อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การวิจยั ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีสามารถช่วยแก้ไขปั ญหาความยากจน โดยเฉพาะประเทศด้อยพัฒนาเพื่อสร้ างผลผลิ ตที่ สามารถตอบสนองต่อความต้องการขั้นพื้นฐานของ มนุ ษย์ ได้แก่ อาหาร สุ ขภาพ การศึกษาและที่อยู่อาศัย นอกจากนั้นการวิจยั ทางด้านวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยียงั เป็ นเครื่ องชี้วดั ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและพลังอานาจทางการเมืองระหว่างประเทศได้ การผนึกกาลังทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของประเทศต่างๆ ทาให้โลกแข็งแกร่ งและเจริ ญก้าวหน้า ขึ้ นทั้งด้านเศรษฐกิ จ สังคม การเมื อง และการทหาร ซึ่ งเป็ นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงในการพัฒนา ประเทศในปัจจุบนั 1.2.6 การวิจัยด้ านโครงสร้ างพืน้ ฐานและบริการด้ านโทรคมนาคม โครงสร้างพื้นฐานและบริ การโทรคมนาคมมีความจาเป็ นต่อการพัฒนาประเทศในด้าน ต่างๆ เนื่ องจากเป็ นการดาเนิ นงานที่เป็ นประโยชน์ในการอานวยความสะดวกสบายให้แก่ประชาชนใน 6


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สังคม การวิจยั และพัฒนาด้านโครงสร้ างพื้นฐานทาให้สามารถพัฒนาการคมนาคม การขนส่ ง ระบบ สาธารณูปโภคพื้นฐาน ตลอดจนเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งในแง่การศึกษาเพื่อพัฒนาชี วิตและเสริ มสร้าง ความมัน่ คงให้แก่ประเทศ จึงมีความสาคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาพื้นฐานในการอานวยความสะดวกใน การดารงชี วิตและการติ ดต่อสื่ อสารกับนานาประเทศได้อย่างดี นับเป็ นรากฐานส าคัญในการพัฒนา ประเทศ 1.2.7 การวิจัยด้ านการแพทย์ และสาธารณสุ ข การแพทย์และสาธารณสุ ขมีความสาคัญมากอย่างหนึ่ งในการพัฒนาประเทศ การวิจยั ด้า นการแพทย์แ ละสาธารณสุ ข ช่ ว ยพัฒ นาคุ ณ ภาพชี วิ ตและสุ ข ภาพอนามัย ของคนในประเทศให้ ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บที่คุกคามชี วิตมนุ ษย์อยูต่ ลอดเวลา การวิจยั ด้านการแพทย์และสาธารณสุ ขยัง ช่ วยในเรื่ องการลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุ ขภาพจากโรคร้ ายแรงบางอย่าง และทดแทนผลิ ตภัณฑ์และ เทคโนโลยีดา้ นการแพทย์และสาธารณสุ ขที่นาเข้าจากต่างประเทศได้ดว้ ย เช่ น การวิจยั ผลิ ตภัณฑ์และ เวชภัณฑ์ที่ประเทศสามารถผลิ ต เองได้ การศึกษาวิจยั เพื่อเพิ่มขี ดความสามารถในการผลิ ตภัณฑ์ด้าน สุ ข ภาพและเทคโนโลยีส าธารณสุ ข วัตถุ ดิบ เวชภัณฑ์แ ละยาต่ า งๆ เป็ นต้น รวมทั้ง การใช้ย าอย่า ง ปลอดภัยและมีประสิ ทธิภาพเพื่อให้ประเทศสามารถพึ่งตนเองได้ 1.2.8 การวิจัยด้ านคุณภาพชี วติ และสั งคม งานวิ จยั เกี่ ย วกับ องค์รวมของคุ ณ ภาพชี วิตที่ ดี โดยเฉพาะอย่า งยิ่ ง ความสั ม พันธ์ ใ น ครอบครั วและเครื อญาติ การวิจยั เพื่ อพัฒนาคุ ณธรรม จิ ตส านึ ก ที่ เอื้ อต่ อการพัฒนา ทั้ง รู ป แบบและ กระบวนการที่เหมาะสมมีส่วนสาคัญในการผลักดันการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ ความเข้มแข็ง ของชุ มชนที่ยงั่ ยืน การพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่ นรวมทั้งระบบสารสนเทศเพื่อการพัฒนาชุ มชนในด้าน ต่างๆ อย่างยัง่ ยืนเป็ นรากฐานที่สาคัญของการพัฒนาประเทศให้พ่ ึงพาตนเองได้ และในขณะเดี ยวกัน ก่อให้เกิดศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศได้ดว้ ย 1.2.9 การวิจัยด้ านการพัฒนาศักยภาพของคนและการศึกษา การศึกษาเป็ นสิ่ งจาเป็ นสาหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุ ษย์ให้มีศกั ยภาพสู งสุ ด การวิจยั ด้านความต้องการก าลัง คนในสาขาต่างๆ และการปฏิ รูปการศึ ก ษาของคนทั้งในและนอกระบบเพื่ อ ตอบสนองความต้องการกาลังคนในสาขาต่างๆ เป็ นสิ่ งจาเป็ นและสาคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมหลัก และการพัฒ นาประเทศ เนื่ อ งจากพื้ น ฐานส าคัญ ของการพัฒ นาได้แ ก่ ต ัว ทรั พ ยากรมนุ ษ ย์เ อง หาก ทรัพยากรมนุ ษย์ได้รับการพัฒนาจนถึ งระดับขีดสู งสุ ดแล้ว การพัฒนาอื่นก็จะสามารถกระทาได้อย่าง ราบรื่ น การวิจยั เพื่อพัฒนาศักยภาพของคนและการศึกษาจึงจาเป็ นอย่างยิ่งยวดสาหรับประเทศที่กาลัง พัฒนาทั้งหลาย 1.2.10 การวิจัยด้ านการปกครองและกฎหมาย 7


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ระบบการเมื องการปกครองที่ล้าสมัยจะเป็ นอุปสรรคสาคัญต่อการพัฒนาประเทศให้ เจริ ญก้า วหน้า ทัดเที ย มกับ ประเทศอื่ นๆ การวิจยั จึ ง มี บ ทบาทส าคัญที่ จะเข้า มาช่ วยในการพัฒนาหา แนวทางในการปฏิรูปการเมืองไทย การพัฒนาวัฒนธรรมทางการเมือง การพัฒนาความร่ วมมือระหว่าง ประเทศ และการปฏิรูประบบบริ หารราชการไทยให้มีประสิ ทธิภาพ ในด้านของกฎหมายหากยังมีความล้าสมัย ซ้ าซ้อน ขั้นตอนการปฏิบตั ิมากมายและล่าช้า และมีเนื้ อหาสาระที่ไม่สมบูรณ์ ก็จะยิ่งเป็ นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศเป็ นอย่างยิ่ง การวิจยั จึงเป็ น ส่ วนสาคัญที่จะเข้ามาเพื่อพัฒนากฎหมายให้มีความทันสมัยและเป็ นธรรมมากขึ้น ได้แก่การวิจยั เพื่อการ ปรับปรุ งแก้ไขกฎหมายต่างๆให้มีความเป็ นธรรม ลดช่ องโหว่ของกระบวนการยุติธรรมและกฎหมาย รวมทั้งการตรากฎหมายใหม่ๆ เพื่อรองรับความก้าวหน้าที่เกิ ดขึ้นอย่างรวดเร็ ว เพื่อรักษาผลประโยชน์ ของประเทศชาติ และบุ คคล เช่ น กฎหมายเกี่ ยวกับเศรษฐกิ จ กฎหมายเกี่ ย วกับ ความหลากหลายทาง ชี วภาพ กฎหมายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อมอันจะเป็ นพื้นฐานอันมัน่ คงที่รองรั บการพัฒนา ประเทศได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพและเจริ ญก้าวหน้าทัดเทียมกับนานาอารยะประเทศสื บไป สรุ ปได้วา่ การจะพัฒนาประเทศต้องมีการวิจยั ในหลายๆ ด้าน เพื่อเป็ นการพัฒนาประเทศ แบบองค์รวม จะให้ความสาคัญต่อการวิจยั เพียงด้านใดด้านหนึ่ งนั้นไม่ได้จะต้องให้มีการวิจยั ในหลาย ๆ ด้าน และถ้าสามารถทาการวิจยั ให้สมบูรณ์ในทุกด้านจะช่วยการพัฒนาประเทศอย่างยัง่ ยืน

8


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

บทที่ 2 มโนทัศน์ ของการวิจยั ในโลกสังคมปั จจุบนั เทคโนโลยีต่างๆ ทันสมัยมากยิง่ ขึ้น การแข่งขันสู งและรุ นแรง มากขึ้น รายได้โดยรวมของประชาชาติ และรายได้ต่อหัวเพิ่มมากขึ้น ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริ การ มีความสาคัญยิง่ ขึ้น สิ่ งแวดล้อมเสื่ อมโทรมลง ภาวะมลพิษและปั ญหาสิ่ งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น ปั ญหา สุ ขภาพมีแนวโน้มทางด้านโรคไร้เชื้อเพิ่มมากขึ้น พฤติกรรมสุ ขภาพเปลี่ยนแปลงไป ความแออัดใน เมืองเพิม่ ขึ้น ปั ญหาที่เกิดขึ้นอย่างซับซ้อนเหล่านี้ทาให้เกิดความพยายามแก้ไขความเสื่ อมโทรมของ สิ่ งแวดล้อมอย่างจริ งจังมากขึ้นจากทุกฝ่ าย ในขณะเดียวกันปั ญหาที่จะเกิดขึ้นทั้งในระดับท้องถิ่นและ ระดับประเทศจะยุง่ ยากมากยิง่ ขึ้น ซึ่ งต้องอาศัยองค์ความรู ้ในการวิจยั ในลักษณะพหุ สาขาวิชา เพื่อหา คาตอบและแนวทางในการแก้ไข ปั ญหาต่างๆ ให้ตรงจุดและครอบคลุมมากขึ้น จึงจะสามารถช่วยให้การ พัฒนาประเทศเป็ นไปได้อย่างถูกต้องบนพื้นฐานของเหตุและผลทางวิชาการที่ชดั เจน ลดปัญหาความ ซ้ าซ้อนของการดาเนินงานและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งหวังผลระยะยาวได้ยาก การเริ่ มต้นเป็ นนักวิจยั ที่ดี ควรจะต้องศึกษารายละเอียดของการวิจยั ให้เข้าใจตั้งแต่เริ่ ม ดาเนินการจนสามารถสรุ ป อภิปรายและให้ขอ้ เสนอแนะเพื่อการแก้ไขปั ญหาและการนาไปใช้ประโยชน์ ต่อไป จุดเริ่ มต้นที่สาคัญที่จะวางภาพของการทาวิจยั ทั้งหมด คือ นักวิจยั ต้องเข้าใจมโนทัศน์หลัก ๆ ของ การวิจยั (Research Concepts) ซึ่งประกอบด้วย 1. ความหมายของการวิจยั 2. เกณฑ์การพิจารณางานวิจยั 3. สภาพและความสาคัญของปั ญหาและการตั้งชื่ อเรื่ องในการวิจยั 4. วัตถุประสงค์ของการวิจยั 5. ขอบเขตการวิจยั 6. กรอบแนวคิดและสมมติฐานการวิจยั 7. คาจากัดความที่ใช้ในการวิจยั 8. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจยั 9. กระบวนการวิจยั

2.1 ความหมายของการวิจัย จุดเริ่ มต้นที่สาคัญของนักวิจยั คือการเข้าใจความหมายของการวิจยั และสามารถบอกได้ 9


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ว่าปั ญหาใดที่ตอ้ งตอบด้วยการวิจยั และบอกได้วา่ งานใดเป็ นงานวิจยั งานใดที่ไม่ใช่งานวิจยั ดังนั้น นักวิจยั ต้องมีความรู ้เกี่ยวกับเกณฑ์การพิจารณางานวิจยั เพื่อจะได้เริ่ มต้นอย่างมีทิศทางชัดเจน การวิจัย หรื อภาษาอังกฤษเรี ยกว่า Research มีความหมายว่า ค้นหาแล้วค้นหาอีก จนกระทัง่ มัน่ ใจได้วา่ ได้ขอ้ เท็จจริ งในเรื่ องนั้นๆ อย่างถูกต้องและเชื่ อถือได้ แม้ทาซ้ า ๆ เท่าไรก็จะได้ ผลการวิจยั เช่นเดิม กล่าวได้วา่ การวิจยั เป็ นการค้นคว้าหาข้อเท็จจริ งและความรู ้ใหม่ๆ อย่างมีระบบ ระเบียบ และมีจุดมุ่งหมายแน่นอน ในการค้นคว้าหาข้อเท็จจริ ง ต้องศึกษาค้นคว้าทั้งข้อคัดค้านและ ข้อสนับสนุน ส่ วนการหาความรู ้ใหม่อย่างมีระบบระเบียบ ต้องเป็ นการทาอย่างมีข้ นั ตอน มีเหตุผลและ เป็ นไปตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เรื่ องบังเอิญ เดาสุ่ ม หรื อลองผิดลองถูก ซึ่ งกระบวนการทางวิจยั ที่เป็ นไปตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ดังภาพที่ 1

ปั ญหาหรือ ข้อสงสัย

ตั้งสมมติฐาน

คัดค้านสมมติฐาน ที่ได้ต้ งั ไว้

ได้ความรูใ้ หม่ และคาถามการ วิจยั ได้รบั คาตอบแล้ว

พิสูจน์หรือทดสอบ สมมติฐาน

ได้ผลหรือคาตอบ การวิจยั

สนับสนุนสมมติฐาน ที่ได้ต้ งั ไว้

ภาพที่ 1 กระบวนการหาคาตอบโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ความหมายของการวิจยั จากเอกสารของสภาวิจยั แห่งชาติ ได้ให้นิยามว่า หมายถึง “การศึกษาค้นคว้าวิเคราะห์หรื อทดลองอย่างมีระบบ โดยอาศัยอุปกรณ์หรื อวิธีการเพื่อให้พบข้อเท็จจริ ง หรื อหลักการไปใช้ในการตั้งกฎ ทฤษฎี หรื อแนวทางในการปฏิบตั ิ” 10


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

2.2 เกณฑ์ การพิจารณางานวิจัย วิธีการง่ายๆ ในการพิจารณาว่างานใดเป็ นงานวิจยั หรื อไม่น้ นั มีเกณฑ์การพิจารณา ง่าย ๆ 5 ประเด็น คือ 2.2.1 มีขอ้ มูลหลักฐานสนับสนุนหรื อไม่ 2.2.2 เป็ นการศึกษาอย่างเป็ นระบบครบวงจรหรื อไม่ อย่างไร 2.2.3 มีความเป็ นปรนัยหรื อไม่ 2.2.4 สามารถตรวจสอบและสอบทานได้หรื อไม่ 2.2.5 มีความใหม่ ซึ่ งประเมินได้จากคาตอบที่ตอ้ งการ ยังไม่มีใครตอบปั ญหานี้ได้ และ งานวิจยั ชิ้นนี้สามารถตอบคาถามนี้ได้ ใช่หรื อไม่ หากสามารถประเมินงานชิ้นนั้นแล้วตอบทั้ง 5 ข้อนี้วา่ ใช่ แสดงว่างานนั้นเป็ นงานวิจยั ดังนั้นทุกครั้งที่นกั วิจยั จะเริ่ มทาวิจยั ต้องตรวจสอบงานนั้นเป็ นระยะๆ เพื่อไม่ให้หลงทาง เพื่อให้ผลงาน ที่ทาเสร็ จสิ้ นแล้วเป็ นงานวิจยั จริ งๆ เมื่อนักวิจยั เข้าใจความหมายของการวิจยั และเกณฑ์การพิจารณาการ วิจยั แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ นักวิจยั ต้องสามารถอธิ บายสภาพและความสาคัญของปั ญหา ในเรื่ องที่สนใจ จะทาวิจยั ซึ่ งจะอธิ บายรายละเอียดในข้อต่อไป

2.3 สภาพและความสาคัญของปัญหาและการตั้งชื่อเรื่องในการวิจัย เป็ นการเขียนนาให้เห็นถึงความจาเป็ นและสภาพของประเด็นเรื่ องที่จะทาวิจยั ซึ่ งจะทา ให้ตดั สิ นใจได้ว่าควรจะทาวิจยั เรื่ องนั้นหรื อไม่ คุ ม้ กับการลงทุนและลงแรงทาวิจยั หรื อไม่ เป็ นความ จาเป็ นของประเทศชาติ ที่ตอ้ งการหาคาตอบหรื อไม่ หากเป็ นสิ่ งที่ จาเป็ นสาหรั บนักวิจยั แต่ไม่จาเป็ น สาหรั บประเทศชาติ อาจจะจัดลาดับไว้หลังๆ ทาวิจยั ที่เป็ นความจาเป็ นของประเทศชาติ ก่อน ในการ เขียนสภาพและความสาคัญของปั ญหา มีหลักสาคัญในการเขียนซึ่ ง ธวัชชัย วรพงศธร (2543) ได้ให้ ข้อคิดหลักการในเรื่ องนี้ดงั นี้คือ หลักการเขียนสภาพและความสาคัญของปัญหา 1. พยายามเขียนให้ตรงปั ญหา เน้นปั ญหาให้ถูกจุด อย่าเขียนในลักษณะยืดยาวเยิน่ เย้อ หรื ออย่าเขียนอ้อมค้อม วกวน ไม่เจาะถึงปั ญหาเสี ยที อ่านจบแล้วยังไม่ทราบว่าปั ญหา คืออะไร 2. พยายามเขียนให้ครอบคลุมประเด็นที่สาคัญของปั ญหาที่จะศึกษาในหัวข้อเรื่ องต่างๆ 11


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ทั้งหมด ถ้าหัวข้อเรื่ องที่เขียนไว้สามารถพิจารณาจานวนประเด็นของปั ญหาได้ ในเนื้ อเรื่ องความสาคัญ ของปั ญหา ก็จะต้องเน้นความสาคัญให้ครบจานวนประเด็นของปั ญหาที่ระบุไว้ในหัวข้อเรื่ องด้วย 3. ไม่ควรเขียนความสาคัญของปั ญหาให้ส้ นั เกินไปจนจับประเด็นปั ญหาที่จะศึกษาไม่ ได้ จะต้องขยายรายละเอียดในส่ วนที่เกี่ยวข้องกับปั ญหาพอสมควร 4. ไม่ควรนาตัวเลข หรื อตารางยาวๆ หรื อข้อมูลอื่นๆ ซึ่ งไม่เกี่ยวข้องมากนักมาใส่ อ้างอิงในส่ วนความสาคัญของปั ญหานี้มากเกินไป ขอให้เลือกเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องจริ งๆ เฉพาะ ตัว เลขที่สาคัญๆ มาสรุ ปเป็ นประโยคให้กลมกลืนกันไปกับเนื้อเรื่ องไม่ตอ้ งลอกตารางมาใส่ ไว้จนเปรอะ ไป หมด 5. การเขียนในส่ วนนี้ ถ้านาเอาผลงานวิจยั ของผูอ้ ื่น หรื อนาเอาตัวเลขข้อมูลของคนอื่น หรื อนาเอาแนวคิด ทฤษฎี ของผูอ้ ื่นมากล่าวไว้ จะต้องมีการอ้างอิงเอกสารเหล่านั้นประกอบด้วยเสมอ สาหรับแบบฟอร์มการอ้างอิง ตัวผูว้ จิ ยั ยึดถือเอาแบบฟอร์ มแบบใดแบบหนึ่งสาหรับการเขียนรายงานการ วิจยั แล้วควรใช้ตลอดตั้งแต่ตน้ จนจบงานนั้น 6. การเขียนในแต่ละหน้า ต้องมีการแบ่งตอน แบ่งย่อหน้าให้เหมาะสมด้วย 7. การเขียนต้องให้เนื้ อเรื่ องมีความสัมพันธ์กนั อย่างต่อเนื่ อง โดยเฉพาะการขึ้นย่อหน้า ใหม่ในแต่ละตอน ต้องมีส่วนเชื่อมโยงกับเรื่ องในส่ วนท้ายของย่อหน้าที่ผา่ นมาด้วย เพื่อใม่ให้เนื้ อเรื่ อง ขาดตอนเป็ นห้วงๆ เมื่อขึ้นย่อหน้าใหม่แต่ละแห่งเหมือนขั้นบันได 8. ในส่ วนท้ายของความสาคัญของปั ญหา ต้องเขียนขมวดท้าย หรื อสรุ ปเพื่อให้มีส่วน เชื่อมโยงกับหัวข้อในวัตถุประสงค์การศึกษาต่อไปด้วย ไม่ใช่เขียนประโยคจบห้วนๆ ขาดตอนไปเลย หรื อปล่อยให้ประโยคดูคา้ งไว้ลอยๆ ไม่ต่อเนื่องกัน สาหรับการสรุ ปท้ายอาจเขียนไว้หลายลักษณะ ซึ่ งไม่ มีกฏเกณฑ์ที่แน่นอน ขึ้นอยูก่ บั ความเหมาะสมของเรื่ อง หรื อปั ญหาที่จะทาวิจยั เช่น อาจเขียนในทานอง ที่สรุ ปว่า ปั ญหานี้ ทฤษฎีน้ ี วิธีการนี้ ยังไม่มีผใู ้ ดเคยศึกษามาก่อน หรื อมีการศึกษาไว้นอ้ ยมาก จึงน่าที่จะ มีการศึกษาในเรื่ องนี้ หรื ออาจเขียนในทานองว่า การศึกษาเรื่ องนี้จะมีประโยชน์อย่างไร ใช้ประโยชน์ อะไรได้บา้ ง เป็ นต้น

12


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตัวอย่างการเขียนความสาคัญของปัญหาของงานวิจัยสาขาต่ าง ๆ

ตัวอย่ างที่ 1 (สาขาวิทยาศาสตร์ สุขภาพ) การเขียนความสาคัญของปั ญหาของการวิจยั เรื่ อง การ เปรี ยบเทียบการติดเชื ้อปรสิ ตของประชาชนผู้ใช้ แรงงานจากต่ างถิ่นกับผู้ใช้ แรงงานถิ่นเดิมที่ อาศัย ในชุมชนเขตพืน้ ที่พัฒนาชายฝั่ งทะเลตะวันออก (กุหลาบ รั ตนสัจธรรม และคณะ, 2545) ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ งชาติฉบับที่ 1-5 ที่ผา่ นมาประเทศไทยมีปัญหา เกี่ ย วกับ การว่ า งงานของประชากรเป็ นอย่ า งมาก หนัง สื อ ผู ้จ ัด การรายสั ป ดาห์ (วัน ที่ 6-12 พฤศจิกายน 2538: 9) รายงานว่ามีอตั ราการว่างงานสู ง 1.2-1.3 % ซึ่ งในช่วงนั้นรัฐบาลมีความวิตก กังวลเป็ นอย่างมากและได้พยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ดีข้ ึนตามลาดับโดยใช้กลไกในการควบคุม ที่สาคัญคือการลดจานวนประชากร เป็ นผลให้อตั ราการเกิ ดของประชากรลดลงเป็ นจานวนมาก จนถึ งปั จจุบนั นี้ ตวั เลขการว่างงานของคนไทยเหลื ออยู่เพียง 0.48% เท่านั้น และในช่ วงแผนฯ 8 ตั้งแต่ พ.ศ. 2540-2544 อัตราการว่างงานของคนไทยลดลงเหลือเพียง 0.3 % จากข้อมูลของสานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิ จและสังคมแห่ งชาติ อ้างโดย หนังสื อผูจ้ ดั การรายสัปดาห์ ( วันที่ 6-12 พฤศจิกายน 2538: 9 ) รายงานว่าแนวโน้มของจานวน ผูใ้ ช้แรงงานใหม่ที่เข้าสู่ ตลาดแรงงานเริ่ มลดลงจากเดิ ม 760,000 คนในปี พ.ศ. 2535 เหลือเพียง 400,000 คนในปี พ.ศ. 2536 และคาดการณ์ว่าจะลดลงเหลื อ 150,000 คนในปี พ.ศ. 2539 จาก ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็ นว่าแนวโน้มของแรงงานไทยที่จะเข้าสู่ ตลาดแรงงานลดลง ในสภาพ ความเป็ นจริ ง ปั จจุ บ นั ประเทศไทยมี ก ารลงทุ นในภาคอุ ตสาหกรรมมากและมี ก ารขยายอย่า ง ต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ทางด้านปริ มาณของแรงงานกลับลดลงในทิศทางตรงข้าม ประเทศไทยจึง ต้องประสบกับปั ญหาการขาดแคลนแรงงานเป็ นผลให้ นายจ้างทั้งหลายต้องรับแรงงานจากต่าง ถิ่นเข้าสู่ ตลาดแรงงาน หนังสื อพิมพ์มติชน ( วันที่ 3 สิ งหาคม 2539: 21 ) ได้รายงานการประมาณการของ กรมการจัดหางานกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ว่าในปั จจุบนั มีคนต่างด้าวเข้ามาทางาน อยูใ่ นประเทศไทยอยูแ่ ล้ว 717,689 คน กระจายตามพื้นที่ต่างๆ 39 จังหวัดของประเทศไทย และได้ ตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลควรเตรี ยมความพร้ อมในเรื่ องเกี่ ยวกับการเคลื่ อนย้าย การตั้งถิ่ นฐาน การ ตรวจสอบเรื่ องสุ ขภาพอนามัย โรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะการเป็ นพาหะนาโรคร้ายเข้ามาระบาดใน

13


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ประเทศไทย นอกจากนี้ยงั มีรายงานผลกระทบของแรงงานต่างถิ่นต่อสังคมไทย (หนังสื อพิมพ์มติ ชน วันที่ 3 สิ งหาคม 2539: 21) ก่อให้เกิดปั ญหาทางด้านสังคมและสาธารณสุ ข 4 ประการ คือ 1. เกิดปั ญหาแย่งงานในระดับไร้ฝีมือ โดยเฉพาะทางด้านเกษตรและการ ก่อสร้าง 2. ก่อให้เกิดปั ญหาอาชญากรรมและโสเภณี 3. เกิดปั ญหาทางด้านสิ่ งแวดล้อมเพราะที่อยูอ่ าศัยต้องอยูก่ นั อย่างหนาแน่นไม่ถูก หลักสุ ขาภิบาล 4. ปั ญหาทางด้านประชากรแรงงานที่อพยพส่ วนใหญ่มีการศึกษาต่า ไม่เข้าใจ ภาษาไทย ดังนั้นการคุมกาเนิดทาได้ยากมาก นอกจากแรงงานต่างด้าวดังกล่าว ยังคงมีประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ งที่ยา้ ยเข้ามา คือ ประชาชน จากภาคตะวันออกเฉี ยงเหนื อ ภาคเหนื อ ภาคใต้ ภาคตะวันตก ย้ายเข้ามาใช้แรงงานในพื้นที่ภาค ตะวันออกมากขึ้ นโดยเฉพาะพื้ นที่ พ ฒ ั นาชายฝั่ งทะเลตะวันออก เนื่ องจากมี ก ารขยายตัวของ ภาคอุตสาหกรรมมากและขยายการรับคนเข้าทางานมากขึ้น ประชาชนที่เคลื่อนย้ายมาเหล่านี้ ได้ นาวัฒนธรรมท้องถิ่ นติดตามมาด้วย ได้แก่วฒั นธรรมการรับประทานอาหารสุ กๆ ดิ บๆ หรื อไม่ สะอาดเพียงพอ หรื อมีการปนเปื้ อนฝุ่ นดินต่างๆ วัฒนธรรมการใช้ชีวิตประจาวัน (การเดินไม่สวม รองเท้า, การไม่อุจจาระลงส้วม) วัฒนธรรมการดูแลสุ ขภาพตนเอง (เช่น การตัดเล็บสั้น, การดูแลทา ความสะอาดร่ างกายและอุปกรณ์เครื่ องใช้ต่างๆ) เป็ นต้น ซึ่ งจากวัฒนธรรมท้องถิ่นและรอยโรค ประจาถิ่น(ได้แก่ การติดเชื้ อปรสิ ตชนิ ดต่างๆ ซึ่ งพบอุบตั ิการสู งกว่าพื้นที่ภาคตะวันออก) ที่นาติด ตัวมาด้วยนี้ อาจเป็ นส่ วนหนึ่งที่ทาให้เกิดการแพร่ ระบาดของโรคปรสิ ตมากขึ้น จากความสาคัญและความจาเป็ นดังกล่าวจึงควรศึกษา การเปรี ยบเทียบการติดเชื้ อปรสิ ตของ กลุ่มผูใ้ ช้แรงงานจากต่างถิ่ นกับผูใ้ ช้แรงงานจากถิ่นเดิ ม เพื่อเป็ นแนวทางในการประเมินผลกระทบ ของการเคลื่อนย้ายของแรงงานต่างถิ่นต่อการติดเชื้ อปรสิ ตของกลุ่มผูใ้ ช้แรงงาน ในชุ มชนเขตพื้นที่ พัฒนาชายฝั่ งทะเลตะวันออก ประเทศไทย ซึ่ งเป็ นพื้นที่ที่มีการอพยพแรงงานต่างถิ่นเข้ามาทางานอยู่ มาก และเริ่ มมีการแพร่ กระจายโรค ซึ่ งเดิมไม่เป็ นปั ญหา แล้วหากไม่เร่ งหาข้อมูลและแนวทางในการ แก้ไขปั ญหาที่จะเกิดขึ้น จะทาให้เกิ ดผลเสี ยกับประชาชนในเขตพื้นที่พฒั นาชายฝั่ งทะเลตะวันออก ได้

14


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตัวอย่างที่ 2 (สาขามนุษยศาสตร์ และสั งคมศาสตร์ )การเขียนความสาคัญของปั ญหา ของการวิจยั เรื่ อง การศึกษาวิเคราะห์ สังเคราะห์ ภาพรวมจรรยาบรรณวิชาชี พในประเทศไทย (กุหลาบ รั ตน สัจธรรม พิสมัย เสรี ขจรกิจเจริ ญ และวิไล สถิตย์ เสถียร, 2546) สถาบันอุดมศึกษาเป็ นสถาบันที่ทาหน้าที่จดั วางหลักสู ตรและกระบวนจัดการศึกษาที่ ตอบสนองต่ อการพัฒนาเศรษฐกิ จและสั ง คมของประเทศมาโดยตลอด ที่ ผ่า นมาเน้นในด้า น นโยบายการศึ ก ษาและหลัก สู ต รการเรี ย นการสอนด้ า นการพัฒ นาสู่ ก ารเจริ ญเติ บ โตทาง อุตสาหกรรมและการพัฒนากาลังคนให้มีความรู ้ความสามารถด้านที่เป็ นประโยชน์ต่อการพัฒนา ประเทศ ด้วยการจัดการศึ กษาในสาขาวิทยาศาสตร์ คณิ ตศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาการ คอมพิ ว เตอร์ แพทย์ ทัน ตแพทย์ เภสั ช กร พยาบาลและสาขาที่ เ กี่ ย วข้อ งกับ สุ ข ภาพ เกษตร อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมศึกษา เกษตรศาสตร์ เภสัชกร บัญชี ภาษา อัญมนี และเครื่ องประดับ มนุ ษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ โดยคาดหวังว่าบัณฑิ ตที่ผ่านการศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาจะ สามารถประกอบวิชาชีพได้เป็ นอย่างดี ในการประกอบอาชีพทุกวิชาชีพย่อมมีจรรยาบรรณของตนเอง จรรยาบรรณนั้นจะ บัญญัติเป็ นลายลักษณ์อกั ษรหรื อไม่ก็ตาม แต่ก็เป็ นสิ่ งที่ยดึ ถือว่าเป็ นความดีงามที่คนในอาชีพ นั้นๆ พึงปฏิบตั ิ หากผูใ้ ดละเมิดก็อาจก่อให้เกิดความเสี ยหายทั้งแก่บุคคล หมู่คณะ และส่ วนรวม ได้ เหตุน้ ี ผปู ้ ฏิบตั ิงานในทุกสาขาวิชาชีพ นอกจากจะต้องมีความรู ้ในสาขาของตนเองอย่างลึกซึ้ ง และศึกษาให้กา้ วหน้าอยูเ่ สมอแล้ว ยังต้องยึดมัน่ ในจรรยาบรรณวิชาชีพของตน ทั้งข้อที่ควรปฏิบตั ิ และไม่ควรปฏิบตั ิอย่างเคร่ งครัดด้วย จึงจะสามารถประพฤติตนให้ประสบความสาเร็ จได้รับความ เชื่อถือ ยกย่องในเกียรติ ในศักดิ์ศรี และความสามารถด้วยกันทั้งปวง (พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ฯ, 2540) ในการประกอบวิชาชีพต่าง ๆ อาจจะจัดตามสาขาวิชาหลักที่มีการจัดการเรี ยนการสอนใน สถาบันอุดมศึกษาได้เป็ นกลุ่มสาขาใหญ่ 3 สาขา ได้แก่ สาขาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี สาขา วิทยาศาสตร์ สุขภาพ และสาขามนุ ษย์ศาสตร์ และสังคมศาสตร์ โดยในแต่ละสาขายังประกอบไป ด้ว ยองค์ก รวิช าชี พ ย่อ ยอี ก มากมายที่ มี จรรยาบรรณวิช าชี พ ที่ อ าจจะแตกต่ า งกัน หรื ออาจจะ เหมื อนกันได้ โดยที่ การรั บรู ้ ในสิ่ งเหล่ านี้ ยังจากัดการรับรู ้ เฉพาะผูท้ ี่ อยู่ในองค์กรวิชาชี พนั้นๆ หรื อสาขาที่ เกี่ ยวข้องกับวิชาชี พนั้นๆ เท่านั้น ยังไม่มี การศึ กษา วิเคราะห์ และสั งเคราะห์ เพื่ อ นามาใช้ในการสร้ างจรรยาบรรณวิชาชี พร่ วมกันเพื่อประโยชน์อย่างแท้จริ งในการพัฒนาสังคม อย่างยัง่ ยืนและเกิ ดการบูรณาการความสามารถในแต่ละวิชาชี พเพื่อพัฒนาสังคมให้มากยิ่งขึ้ น สถาบันอุดมศึกษาไทย 15


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ถู ก มองว่าเป็ นแหล่ งปั ญญาหรื อที่ พ่ ึ ง ทางปั ญญาของสัง คม น่ าจะได้เพิ่ มบทบาทในการสร้ า ง จรรยาบรรณวิชาชี พร่ วมสาหรั บของทุ กสาขาวิชาที่บณ ั ฑิ ตต้องเรี ยนรู ้ เป็ นพื้นฐานของทุกสาขา วิชาชีพ และปลูกฝังให้เกิดจรรยาบรรณร่ วมกันก่อนการประกอบวิชาชี พอย่างเป็ นประโยชน์ต่อ สังคม โดยไม่จากัดเฉพาะวิชาชี พของตนเองแต่อย่างเดี ยว แต่ควรที่จะได้มองความเชื่ อมโยงของ จรรยาบรรณร่ วมกันด้วย ในการจัด หลัก สู ต รและการจัด การเรี ย นการสอนเพื่ อ ให้ เ กิ ด การเรี ย นรู ้ แ ละปลู ก ฝั ง จรรยาบรรณวิชาชีพร่ วมกันของทุกสาขาวิชาชีพ จาเป็ นอย่างยิง่ ที่จะต้องมีการศึกษา วิเคราะห์ และ สังเคราะห์ขอ้ มูลเกี่ยวกับจรรยาบรรณวิชาชีพต่างๆ เพื่อให้เห็นถึงส่ วนร่ วมที่อาจจะเหมือนกันหรื อ ใกล้เคียงกัน ที่ควรจะต้องมีร่วมกันในทุกสาขาวิชาชี พ และส่ วนต่างที่จาเป็ นต้องมีเกิดขึ้นเฉพาะ ในแต่ละสาขา อันจะนาไปสู่ การปฏิ บตั ิหน้าที่ของแต่ละวิชาชี พ และการจัดหลักสู ตรและการ เรี ยนการสอนที่ สอดคล้องกับจรรยาบรรณวิชาชี พ เพื่อให้เกิ ดประโยชน์สู งสุ ดต่ อสังคมอย่า ง บูรณาการและเกิดความสงบสุ ขอย่างยัง่ ยืนต่อไปได้

สรุ ป การเขี ยนความสาคัญของปั ญหาเป็ นส่ วนที่ เกริ่ นนาให้ผูอ้ ่านเริ่ มเข้าใจในปั ญหาที่ จะ ทาการศึกษาว่า ปั ญหาคืออะไร มีความสาคัญในแง่มุมไหน หรื อประเด็นไหนบ้าง ผูอ้ ่านสามารถเห็ น ความต่อเนื่ องหรื อความรุ นแรงของปั ญหาที่เกิดในอดีต ปั จจุบนั หรื อจะเกิ ดในอนาคต สมควรที่จะต้อง ศึกษาเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปั ญหานั้น สาหรับการตั้งชื่ องานวิจยั นั้น เมื่อได้ปัญหาการวิจยั แล้ว ผูว้ จิ ยั ควรนาปั ญหานั้นมาแยก เป็ น 2 ส่ วน คือ ปั ญหาหลัก กับ ปั ญหารอง ส่ วนของปั ญหาหลัก มักจะนามาใช้ในการตั้งชื่อเรื่ องการวิจยั ซึ่งมักจะประกอบด้วย ใคร อะไร ที่ไหน อย่างไร ดังตัวอย่างการวิจยั เรื่ องแรกคือ การเปรี ยบเทียบการ ติดเชื ้อปรสิ ตของประชาชนผู้ใช้ แรงงานจากต่ างถิ่นกับผู้ใช้ แรงงานถิ่นเดิม ที่อาศัยในชุมชนเขตพืน้ ที่ พัฒนาชายฝั่ งทะเลตะวันออก ใคร ในที่น้ ีคือ ประชาชนผู้ใช้ แรงงานจากต่ างถิ่นกับผู้ใช้ แรงงานถิ่นเดิม อะไร ในที่น้ ีคือ การติดเชื ้อปรสิ ต ทีไ่ หน ในที่น้ ีคือ ที่ อาศัยในชุมชนเขตพืน้ ที่พัฒนาชายฝั่ งทะเลตะวันออก อย่างไร ในที่น้ ีคือ การเปรี ยบเทียบ 16


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ชื่อเรื่ องการวิจยั นอกจากบอกได้วา่ เป็ นการศึกษา อะไร ของใคร ที่ไหน อย่างไร แล้ว มักขึ้นต้นด้วยคานามมากกว่ากริ ยา โดยใช้ภาษาง่าย กะทัดรัด ชัดเจน ครอบคลุม และไม่ควรเขียนภาษา ต่างชาติแทรกในภาษาไทย ในการเลือกเรื่ องสาหรับทาวิจยั นอกจากเป็ นเรื่ องที่สาคัญแล้ว ควรเป็ นเรื่ อง ที่นกั วิจยั สนใจ สามารถทาวิจยั ได้ และไม่ซ้ าซ้อนกับงานวิจยั ที่ทามาแล้ว เมื่อได้ชื่อเรื่ องจากปั ญหาหลักแล้ว วัตถุประสงค์การวิจยั ต่อไป

ในส่ วนของปั ญหารองนามาใช้ในการตั้ง

2.4 วัตถุประสงค์ ของการวิจัย การเขียนวัตถุประสงค์ของการวิจยั เป็ นการขยายรายละเอียดของปั ญหาวิจยั ที่กาหนด กรอบไว้แล้วตั้งแต่ชื่อเรื่ อง และบางส่ วนในสภาพและความสาคัญของปั ญหาวิจยั ให้มีความชัดเจนขึ้นใน ลักษณะของภาษาเขียน การที่จะเขียนวัตถุประสงค์ จะต้องเป็ นการเขียนหลังจากที่กาหนดปั ญหาวิจยั แล้ว กล่าวคือ การกาหนดปั ญหาวิจยั เป็ นการกลัน่ กรองแนวความคิดของผูว้ ิจยั ที่จะเจาะปั ญหาในแต่ละ ประเด็นออกมาให้เห็นเป็ นรู ปร่ าง และเป็ นจริ งขึ้นมาสาหรับการปฏิบตั ิ การเขียนวัตถุประสงค์เป็ นการ นาเอาแนวความคิดของประเด็นปั ญหาวิจยั นั้นๆ มาขยายรายละเอียด โดยเรี ยบเรี ยงให้เป็ นภาษาเขียนที่ ชัดเจน รัดกุม เข้าใจง่ายขึ้น วัตถุประสงค์ของการวิจยั ถือว่า เป็ นด่านแรกที่สาคัญของการทาวิจยั ที่จะ บอกรายละเอียดและขอบเขตต่างๆ ให้ทราบถึงภาพของความสาเร็ จที่ตอ้ งการของงานวิจยั ชิ้นนั้น หลักการเขียนวัตถุประสงค์ การวิจัย หลักที่สาคัญของการเขียน วัตถุประสงค์การวิจยั คือ 1. เขียนประเด็นของปั ญหาให้ชดั เจน ว่าต้องการศึกษาอะไร ในแง่มุมใด และเรื่ องที่ ศึกษา ต้องอยูใ่ นกรอบของหัวเรื่ องที่ทาวิจยั 2. วัตถุ ป ระสงค์ที่ เขี ย นทุ ก ข้อ ต้องสามารถศึ ก ษาได้ กระท าได้ หรื อเก็ บข้อมูล ได้ ทั้งหมด พยายามถามตัวเองทีละข้อว่า ข้อนี้ทาได้ไหม 3. เขียนในลักษณะที่ส้ นั กะทัดรัด ใช้ภาษาที่ง่าย อ่านได้ใจความ 4. ควรเขียนในรู ปของประโยคบอกเล่า 5. อาจสามารถเขียนในรู ปของการเปรี ยบเทียบ เพื่อเน้นความแตกต่าง หรื อเขียนในรู ป ของความสัมพันธ์ ทั้งนี้ข้ ึนอยูก่ บั สิ่ งที่ตอ้ งการศึกษาวิจยั ในปั ญหานั้นๆ 17


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

6. สามารถเขียนรวมเป็ นข้อเดียวหรื ออาจเขียนแยกเป็ นข้อๆ ก็ได้ ถ้าเขียนวัตถุประสงค์ แยกเป็ นข้อๆ วัตถุประสงค์แต่ละข้อจะระบุปัญหาที่ศึกษาเพียงประเด็นเดียวเท่านั้น ห้ามเขียนรวม ประเด็นปั ญหาหลายๆ ประเด็น เอาไว้ในวัตถุประสงค์ขอ้ เดียวกัน 7. จานวนข้อของวัตถุประสงค์มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยูก่ บั ขอบเขต ซึ่ งรวมถึงความกว้าง และความแคบของปั ญหาวิจยั ที่ผวู ้ ิจยั ต้องการศึกษา โดยหลักการแล้วไม่ควรกาหนดวัตถุประสงค์ยอ่ ยๆ มากเกินไป ควรกาหนดประมาณ 2 ถึง 5 หัวข้อใหญ่ๆ ก็เพียงพอแล้ว 8. การเรี ยงลาดับวัตถุประสงค์ สามารถเรี ยงได้หลายลักษณะ เช่น เรี ยงตามความสาคัญ ของประเด็นปั ญหาวิจยั ลดหลัน่ ลงมา หรื ออาจเรี ยงตามลักษณะระดับปั ญหาใหญ่และปั ญหารองลงมา หรื ออาจเรี ยงตามความสอดคล้องของเนื้ อหา ในประเด็นวิจยั แต่ละประเด็น หรื ออาจเรี ยงตามลาดับการ เกิดก่อน เกิดหลังของแต่ละปั ญหาก็ได้ 9. ไม่ควรนาประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับมาเขียนไว้ในวัตถุ ประสงค์การวิจยั เพราะ วัตถุประสงค์เป็ นเรื่ องที่ผวู ้ ิจยั จะต้องทา แต่ประโยชน์ที่เป็ นผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากสิ้ นสุ ดการวิจยั แล้ว ควรนาไปเขี ยนไว้ในหัวข้อประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ซึ่ งอาจจะเป็ นหรื อไม่เป็ นตามที่ คาดหวังไว้ก็ได้ ไม่ใช่เรื่ องที่ผวู้ จิ ยั กาหนดว่าจะต้องทาเหมือนวัตถุประสงค์ พิจารณาตัวอย่างข้อความที่ระบุว่าเป็ นวัตถุ ประสงค์ของการวิจยั ดังตัวอย่างข้อความ ต่อไปนี้

เรื่อง พฤติกรรมการแต่งกายผิดระเบียบของนักศึกษามหาวิทยาลัย วัตถุป/ระสงค์ × 1. เพื่อศึกษาการแต่งกายของนักศึกษา 2. เพื่อให้ทางมหาวิทยาลัยได้ใช้ในการวางมาตรการกับ นักศึกษาที่แต่งกายผิดระเบียบ × 3. เพื่อให้นกั ศึกษาตระหนักต่อวัฒนธรรมประเพณี อนั ดีงาม ื จากตัวอย่างจะเห็นได้วา่ ข้อความในข้อ 2 และข้อ 3 ไม่ใช่วตั ถุประสงค์เพราะไม่ได้เขียนเพื่อหาคาตอบ แต่เป็ นประโยชน์ที่เกิดขึ้นหลังจากทราบคาตอบจากการวิจยั แล้ว การเขียนวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องดัง ตัวอย่างต่อไปนี้ 18


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตัวอย่างการเขียนวัตถุประสงค์ ทเี่ หมาะสมของงานวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์ สุขภาพ ตัวอย่างที่ 1 การเขียนวัตถุประสงค์ของการวิจยั เรื่ อง การเปรี ยบเที ยบการติ ดเชื ้อปรสิ ตของ ประชาชนผู้ใช้ แรงงานจากต่ างถิ่นกับผู้ใช้ แรงงานถิ่นเดิม ที่ อาศัยในชุมชนเขตพืน้ ที่ พัฒนาชายฝั่ ง ทะเลตะวันออก (กุหลาบ รั ตนสัจธรรม และคณะ, 2545) วัตถุประสงค์ ทวั่ ไป เพื่อเปรี ยบเทียบการติ ดเชื้ อปรสิ ตของประชาชนผูใ้ ช้แรงงานที่ อาศัยในชุ มชนเขตพื้นที่ พัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก วัตถุประสงค์ เฉพาะ 1. เปรี ยบเทียบอัตราการติดเชื้ อปรสิ ตชนิ ดต่างๆ ในประชาชนผูใ้ ช้แรงงานจากต่างถิ่ น กับประชาชนผูใ้ ช้แรงงานถิ่นเดิม 2. เปรี ย บเทีย บความรู้ ความคิดเห็ น และพฤติ กรรมอนามัยที่ เกี่ ยวข้องกับ การติ ดเชื้ อ ปรสิ ตในประชาชนผูใ้ ช้แรงงานจากต่างถิ่นกับประชาชนผูใ้ ช้แรงงานถิ่นเดิม 3. เปรี ยบเทียบความรู ้ ทัศนคติ และพฤติกรรมอนามัยที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้ อปรสิ ตใน ประชาชนผูใ้ ช้แรงงาน ที่ตรวจพบการติดเชื้อปรสิ ต และตรวจไม่พบการติดเชื้อปรสิ ต 4. เปรี ย บเที ย บการปฏิ บ ัติและสภาพแวดล้อมที่ ส อดคล้อ งกับ การติ ดเชื้ อปรสิ ต ของ ประชาชนผูใ้ ช้แรงงานจากต่างถิ่นกับประชาชนผูใ้ ช้แรงงานถิ่นเดิม 5. เปรี ย บเที ย บการปฏิ บ ัติและสภาพแวดล้อมที่ ส อดคล้อ งกับ การติ ดเชื้ อปรสิ ต ของ ประชาชนผูใ้ ช้แรงงานที่ตรวจพบการติดเชื้อปรสิ ต และตรวจไม่พบการติดเชื้อปรสิ ต

19


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตัวอย่างการเขียนวัตถุประสงค์ ของงานวิจัยสาขามนุษยศาสตร์ และสั งคมศาสตร์

ตัวอย่างที่ 2 ตัวอย่างการเขียนวัตถุประสงค์ของงานวิจยั เรื่ อง การศึกษาวิเคราะห์ สังเคราะห์ ภาพรวมจรรยาบรรณวิชาชี พในประเทศไทย (กุหลาบ รั ตนสัจธรรม พิสมัย เสรี ขจรกิ จเจริ ญ และ วิไล สถิตย์ เสถียร, 2546) วัตถุประสงค์ ทวั่ ไป เพื่อศึกษาวิเคราะห์ สังเคราะห์ภาพรวมจรรยาบรรณวิชาชีพในประเทศไทย วัตถุประสงค์ เฉพาะ 1. เพื่อรวบรวมจรรยาบรรณวิชาชี พในสาขาที่มีการจัดการเรี ยนการสอน ในสถาบัน อุดมศึกษา 2. เพื่อวิเคราะห์ สังเคราะห์ และเชื่ อมโยงถึงส่ วนร่ วมของจรรยาบรรณวิชาชี พ และหา ส่ วนต่างของจรรยาบรรณวิชาชีพที่สอดคล้องกับการพัฒนาและปลูกฝังจรรยาบรรณวิชาชีพต่อไป 3. เพื่อสรุ ป เสนอแนะเชิงนโยบาย การดาเนินการจัดการศึกษาระดับอุดมศึ กษาให้สอด รั บกับจรรยาบรรณวิชาชี พ ในเรื่ อง การประกันคุ ณภาพการศึ ก ษา การปรั บปรุ งหลักสู ตร การ จัดการเรี ยนการสอน และการพัฒนาและปลูกฝังจรรยาบรรณวิชาชีพ

2.5 ขอบเขตการวิจัย เมื่อกาหนดวัตถุประสงค์ได้ถูกต้อง ครบถ้วน ชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไป ควรกาหนด ขอบเขตของปั ญหาการวิจยั เพื่อให้นกั วิจยั ได้ภาพที่ชดั เจนในการวิจยั ซึ่ งส่ วนใหญ่แล้ว ผูท้ ี่สนใจทาวิจยั มักจะมีความคิดที่หลากหลายและต้องการหาคาตอบมากขึ้นเรื่ อยๆ เนื่องจากในการทบทวนวรรณกรรม หรื อ ความคิดต่างๆ มักจะแตกสาขาและกระจายไปเรื่ องนั้นเรื่ องนี้ อยูเ่ รื่ อยๆ ทาให้ไม่สามารถทาวิจยั เรื่ อง นั้นๆ สาเร็ จได้ตามเวลาที่กาหนด ดังนั้นเพื่อให้งานวิจยั สามารถทาได้สาเร็ จตามเวลาที่กาหนด จึง จาเป็ นต้องกาหนดขอบเขตของการศึกษาไว้

20


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

หลักการเขียนขอบเขตการวิจัย หลักที่สาคัญของการเขียนขอบเขตการวิจยั คือ 1. กาหนดขอบเขตการวิจยั ของประชากรที่ตอ้ งการศึกษา หลังจากที่ได้ทบทวนประเด็น ให้ชดั เจนแล้ว กลุ่มประชากรกลุ่มใดที่เป็ นกลุ่มที่จาเป็ นต้องศึกษาในขณะนี้ อาจพิจารณาจาก ความสามารถทาให้เกิดประโยชน์ได้กบั คนกลุ่มใหญ่ เป็ นกลุ่มที่สามารถเก็บข้อมูลได้โดยไม่เป็ น อันตรายกับนักวิจยั และที่สาคัญคือเป็ นกลุ่มที่ตรงประเด็นกับเรื่ องที่ตอ้ งการหาคาตอบ 2. กาหนดขอบเขตการวิจยั ของตัวแปรที่ตอ้ งการศึกษา ซึ่งจะสามารถทาได้หลังจากได้ ทบทวนวรรณกรรม และเอกสารอ้างอิงต่างๆ ได้อย่างครบถ้วนแล้ว การกาหนดขอบเขตในครั้งนี้จะช่วย ในการคัดกรองตัวแปรที่เกี่ยวข้องจริ งๆ กับเรื่ องที่ศึกษา ตัวแปรที่ไม่เกี่ยวข้องจะถูกคัดกรองออกตั้งแต่ เริ่ มต้น ซึ่ งจะช่วยประหยัดทรัพยากรและเวลาในการวิจยั ไปได้มาก 3. ในส่ วนของสถานที่และเวลาที่ทาวิจยั เมื่อกาหนดขอบเขตไว้ชดั เจนแล้ว จะทาให้ การวางแผนและการติดต่อประสานงาน ทาได้อย่างรวดเร็ ว ตัวอย่างการเขียนขอบเขตของการวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์ สุขภาพ

ขอบเขตของการวิจัย 1. การวิจยั นี้เป็ นการทาวิจยั เฉพาะประชาชนในวัยแรงงานเท่านั้น 2. กาหนดจังหวัดในการศึกษาเฉพาะ 3 จังหวัด ในโครงการพัฒนาการพื้นที่ชายฝั่งตะวัน ออก ซึ่ งได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทราและอาเภอใน 3 จังหวัด ที่มีแรงงานต่าง ถิ่นเข้าไปอาศัยอยูเ่ ป็ นเวลาไม่ต่ากว่า 1 ปี เท่านั้น 3. ปรสิ ตที่จะศึกษา จะเป็ นประเภทพยาธิ ตวั กลม พยาธิ ตวั แบน และโปรโตซัว ที่อาศัยอยู่ ในร่ างกายคน เพื่อความอยู่รอดและดารงชี วิตอยู่ต่อไปได้ โดยคนเป็ นทั้งแหล่งอาหาร และที่พกั อาศัย

21


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตัวอย่างการเขียนขอบเขตของการวิจัยสาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์

ขอบเขตของการศึกษา 1. ศึกษาเฉพาะสาขาวิชาที่จดั การเรี ยนการสอน อยูใ่ นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา ของรัฐ จานวน 23 แห่ง 2. แบ่งกลุ่มจรรยาบรรณวิชาชีพตามกลุ่มสาขาวิชาที่จดั การเรี ยนการสอนในสถาบันอุดม ศึกษาฯ 3 สาขา ได้แก่ สาขาวิชาชีพด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี สาขาวิชา วิทยาศาสตร์สุขภาพ และสาขาวิชามนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ 3. ศึกษาข้อมูลจากองค์กรวิชาชีพทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีจรรยาบรรณวิชาชีพที่ชดั เจน เป็ นลายลักษณ์อกั ษร ในช่วงเวลาตั้งแต่ตุลาคม 2545 – มีนาคม 2546 4. ศึกษาข้อมูลสถานภาพการมีจรรยาบรรณจากคณะ/สานักวิชา/ภาควิชา จะศึกษาจากที่ เปิ ดการเรี ยนการสอนสาขาวิชาต่างๆ ระหว่างปี การศึกษา 2545 ( มิถุนายน 2545 – มีนาคม 2546 ) 5. ศึกษาจรรยาบรรณวิชาชีพใน 3 กลุ่มวิชา จะใช้จรรยาบรรณตัวแทนในแต่ละกลุ่มสาขา ที่มีเป็ นลายลักษณ์อกั ษร

2.6 กรอบแนวคิดและสมมติฐานการวิจัย 2.6.1 กรอบแนวคิดในการวิจัย การสร้างกรอบแนวคิดในการวิจยั เป็ นขั้นตอนของการนาเอาตัวแปรและประเด็นที่ ต้องการทาวิจยั มาเชื่ อมโยงกับแนวคิดทฤษฏีที่เกี่ยวข้องในรู ปของคาบรรยาย แบบจาลองแผนภาพหรื อ แบบผสมการวางกรอบแนวคิดในการวิจยั ที่ดี จะต้องชัดเจน แสดงทิศทางของความสัมพันธ์ ของสิ่ งที่ ต้องการศึกษา หรื อตัวแปรที่จะศึกษา สามารถใช้เป็ นกรอบในการกาหนดขอบเขตของการวิจยั การ พัฒนาเครื่ องมือในการวิจยั รู ปแบบการวิจยั ตลอดจนวิธีการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ขอ้ มูล 22


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

หลักการเขียนกรอบแนวคิดในการวิจัย หลักสาคัญของการเขียนกรอบแนวคิดการวิจยั คือ 1. กาหนดตัวแปรต้น หรื อตัวแปรอิสระ ไว้ดา้ นซ้ายมือ พร้อมทั้งใส่ กรอบสี่ เหลี่ยมไว้ เพื่อให้สามารถแยกแยะตัวแปรที่ตอ้ งการศึกษาได้ 2. กาหนดตัวแปรตาม ไว้ดา้ นขวามือ พร้อมทั้งใส่ กรอบสี่ เหลี่ยมไว้ เพื่อให้สามารถ แยกแยะตัวแปรที่ตอ้ งการศึกษาได้ 3. เขียนลูกศรชี้จากตัวแปรต้นแต่ละตัวมายังตัวแปรตามให้ครบทุกคู่ที่ตอ้ งการศึกษา 2.6.2 สมมติฐาน สมมติฐานในการวิจยั แบ่งได้เป็ น 2 ประเภท คือ 2.6.2.1. สมมติฐานการวิจัย (Research Hypothesis) เป็ นสมมติฐานที่เขียนคาดเดา คาตอบของการวิจยั ในรู ปของการบรรยาย หรื อเปรี ยบเทียบความแตกต่าง หรื ออธิบายความสัมพันธ์ของ ตัวแปรที่ศึกษาสมมติฐานประเภทนี้ใช้ในการเขียนรายงานวิจยั ตัวอย่างสมมติฐาน การวิจยั เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่ เป็ นโรคมากกว่ าผู้ที่ไม่ สูบบุหรี่

(เขียนสมมติฐานในเชิงเปรี ยบเทียบความ

แตกต่าง ) การสูบบุหรี่ มีความสัมพันธ์ ทางบวก กับ การเป็ นมะเร็ งในปอด (เขียนสมมติฐานใน เชิงความสัมพันธ์ ) 2.6.2.2 สมมติฐานเชิงสถิติ (Statistical Hypothesis) เป็ นสมมติฐานที่นาสมมติฐาน การวิจยั มาเขียนเพื่อใช้ในการทดสอบทางสถิติ โดยเขียนในรู ปของสัญลักษณ์ที่ใช้แทนค่าพารามิเตอร์ (parameter) หรื อค่าที่ได้จากประชากรทั้งหมดที่สนใจศึกษา ตัวอย่าง เช่น  (มิว) แทนค่าคะแนนเฉลี่ย (Mean) 2 (ซิ กม่ากาลังสอง) แทนค่าความแปรปรวน (Variance)  (ซิ กม่า) แทนค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)  ( โร ) แทนค่าสัมประสิ ทธิ์ สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร (Correlation Coefficient)

23


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

การเขียนสมมติฐานเชิงสถิติ จะเขียนในรู ปของสมการทางคณิ ตศาสตร์ การเขียน สมมติฐานเชิงสถิติจะเขียนในรู ปสมมติฐานศูนย์ซ่ ึ งโดยทัว่ ๆ ไป ใช้สัญลักษณ์แทนด้วย  0 และสมมติ ฐานเลือกซึ่งใช้แทนด้วย  A หรื อ  1 ข้ อพิจารณาสาหรับการตั้งสมมติฐานทางการวิจัย การตั้งสมมติฐานควรเป็ นขั้นตอนหลังจากผูว้ จิ ยั ได้ทบทวนเอกสารและงานวิจยั ที่ เกี่ยวข้องมาแล้ว เพราะจะทาให้ผวู ้ จิ ยั มีขอ้ มูลมากพอที่จะทาให้ผวู ้ จิ ยั สามารถตั้งสมมติฐานได้ดีที่สุด การ ตั้งสมมติฐานควรพิจารณาจากหลักเกณฑ์ที่สาคัญดังนี้ 1. ความเกี่ยวข้องกับปั ญหา (Relevance) สมมติฐานที่ต้ งั ขึ้นจะต้องสอดคล้องกับ จุดมุ่งหมายของการวิจยั สะท้อนถึงแนวความคิดที่ชดั เจน ไม่คลุมเครื อ 2. ขอบเขตของสมมติฐาน (Scope) 3. ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร (Relationships) 4. การทดสอบ (Testability) 5. การทดสอบซ้ า (Repetition) 6. การสรุ ปอ้างอิง (Generalization) ข้ อเสนอแนะในการเขียนสมมติฐานทางวิจัย ในการเขียนสมมติฐานที่ดี ผูว้ จิ ยั ควรปฏิบตั ิดงั นี้ 1. สมมติ ฐ านต้อ งเขี ย นในลัก ษณะของการบรรยายในรู ป ของประโยคที่ แ สดง ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรตาม พร้ อมทั้งระบุทิศทางของความสัมพันธ์ หรื อทิศทาง ความแตกต่างในลักษณะการเปรี ยบเที ยบไว้อย่างชัดเจน (ยกเว้นปั ญหาในบางเรื่ องที่ไม่สามารถระบุ ทิศทางความสัมพันธ์หรื อทิศทางของความแตกต่างในการเปรี ยบได้) ความสัมพันธ์หรื อความแตกต่างที่ ระบุไว้ตอ้ งมีเหตุ มีผลเหมาะสม สอดคล้องกับปั ญหาการวิจยั หรื อทฤษฎี ที่นามาเป็ นกรอบในการวิจยั และถ้าสมมติฐานที่ต้ งั ขึ้นนั้นเป็ นแนวความคิดใหม่ที่ยงั ไม่เคยมีการศึกษาวิจยั มาก่อน ประโยคที่แสดง สมมติฐานต้องแสดงความเป็ นเหตุเป็ นผลที่เหมาะสมน่าเชื่อถือได้ 2. ประโยคของสมมติฐานแต่ละข้อควรเป็ นประโยคสั้นๆ ใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจง่าย ไม่ กากวม คาศัพท์เกี่ยวกับตัวแปรต้องระบุความหมายให้ชดั เจน ในแง่ของการวัดให้มากที่สุดเท่าที่จะทาได้ 24


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

3. สมมติฐานต้องเป็ นเรื่ องที่เกี่ยวข้องหรื ออยูใ่ นกรอบของปั ญหาวิจยั เท่านั้น อย่า ตั้งสมมติฐานโดยที่ไม่เกี่ยวข้อง หรื อออกนอกกรอบของปั ญหาวิจยั 4. ในปัญหาวิจยั เรื่ องหนึ่ง อาจเขียนสมมติฐานได้หลายข้อ แต่สมมติฐานแต่ละข้อควร เป็ นสมมติฐานที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัว หรื อมากกว่า 2 ตัวขึ้นไป สาหรับประเด็นใด ประเด็นหนึ่งของปั ญหาวิจยั เท่านั้น ไม่ควรเขียนปั ญหาวิจยั ในหลายๆ ประเด็นรวมเข้าไว้ในสมมติฐาน ข้อเดียวกัน เพราะจะทาให้เกิดความสับสนในการทดสอบสมมติฐานในภายหลัง 5. สมมติฐานทุกข้อที่ต้ งั ขึ้น ผูว้ จิ ยั ต้องตั้งคาถามว่า สมมติฐานนั้นทดสอบได้หรื อไม่ หมายความว่าสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวแปร เก็บรวบรวมข้อมูล ทดสอบ หรื อวิเคราะห์เพื่อให้ได้ผลที่ จะยืนยันว่าสนับสนุนหรื อขัดแย้งกับสมมติฐานที่ต้ งั ไว้ได้หรื อไม่ ถ้าตอบคาถามไม่ได้หรื อตอบได้วา่ ไม่ได้จะต้องแก้ไขปรับปรุ งสมมติฐานนั้นใหม่ 6. สมมติฐานที่ต้ งั ขึ้น ควรเรี ยงลาดับข้อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้ งั ไว้ในการวิจยั อย่าเรี ยงสับสนหรื อสลับไปสลับมา การเรี ยงสมมติฐานให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เป็ นอย่างดีแล้ว จะ เป็ นแนวทางที่ดีสาหรับการวางหัวข้อในการวิเคราะห์ขอ้ มูล เพื่อทดสอบสมมติฐานในภายหลังอีกด้วย

25


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตัวอย่างการเขียนกรอบแนวคิดและสมมติฐานการวิจัย ตัวอย่างที่ 1 กรอบแนวคิดและสมมติฐานการวิจยั ของการวิจยั เรื่ อง การเปรี ยบเที ยบการติดเชื ้อ ปรสิ ตของประชาชนผู้ใช้ แรงงานจากต่ างถิ่นกับผู้ใช้ แรงงานถิ่นเดิ ม ที่ อาศัยในชุ มชนเขตพื น้ ที่ พัฒนาชายฝั่ งทะเลตะวันออก (กุหลาบ รั ตนสัจธรรม และคณะ, 2545) ดังภาพที่ 2 กรอบแนวคิดในการวิจัย

ตัวแปรต้ น

ตัวแปรตาม

ภูมิลาเนาเดิม ความคิดเห็น เกีย่ วกับปรสิ ต

การติดเชื้อปรสิต

ความรู้ เกีย่ วกับ ปรสิ ต พฤติกรรม อนามัยที่ เกีย่ วข้ องกับการ ติดเชื้อปรสิ ต

ภาพที่ 2 กรอบแนวคิดในการวิจยั สมมติฐานการวิจัย 1. อัตราการติดเชื้ อปรสิ ตชนิ ดต่างๆ ในประชาชนผูใ้ ช้แรงงานจากต่างถิ่ นสู งกว่าผูใ้ ช้ แรงงานถิ่นเดิม 2. อัตราการติ ดเชื้ อปรสิ ตในประชาชนผูใ้ ช้แรงงานในพื้นที่ ที่มีประชาชนฯ ต่างถิ่ น เคลื่อนย้ายมามาก ติดเชื้อสู งกว่าพื้นที่ที่มีประชาชนฯ ต่างถิ่น เคลื่อนย้ายมาน้อยกว่า 3. ความรู ้โดยรวมเกี่ยวกับการติดเชื้ อปรสิ ต ของประชาชนผูใ้ ช้แรงงานจากต่างถิ่นสู ง กว่าผูใ้ ช้ แรงงานถิ่นเดิม ฯลฯ 26


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

2.7 คาจากัดความทีใ่ ช้ ในการวิจัย เพื่อให้ผูอ้ ่านเข้าใจในความคิ ดในเรื่ องคาจากัดความของการวิจยั ผูเ้ ขี ยนจะนาเสนอ เนื้อหาในหัวข้อนี้ 2 ประเด็นดังนี้ 2.7.1 ตัวแปรและประเภทของตัวแปรในการวิจัย ผูศ้ ึกษาจะต้องกาหนดให้ชดั เจนว่าตัวแปรที่ใช้ในการวิจยั มีตวั แปรอะไรบ้าง และตัวใด เป็ นตัวแปรอิสระ ตัวใดเป็ นตัวแปรตาม ตัวแปรแทรก ตัวแปรกด หรื อตัวแปรบิดเบือน เป็ นต้น การระบุ ประเภทตัวแปรมีความสัมพันธ์ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล นักวิจยั จะต้องตระหนักถึงบทบาทของตัวแปรแต่ ละตัวว่า เป็ นตัวแปรประเภทใด แต่ละประเภทมีคุณสมบัติอย่างไร ดังนั้นสิ่ งแรกที่นกั วิจยั ต้องทาความ เข้าใจเกี่ ยวกับตัวแปร ก่อนที่จะก้าวล้ าไปถึ งคาจากัดความที่ใช้ในการวิจยั คือ ประเภทและความหมาย ของตัวแปรแต่ละประเภท ตัวแปร หมายถึ ง คุณสมบัติของสิ่ งที่ตอ้ งการศึกษาที่มีค่าเปลี่ ยนแปลงได้ เช่น น้ าหนัก ของนักเรี ยนในชั้นอนุบาล 1 ใน โรงเรี ยนดรุ ณีศึกษา เจตคติของผูเ้ รี ยนต่อวิชาคณิ ตศาสตร์ ซ่ ึ งมีค่าเปลี่ยน แปรไปตามผูเ้ ป็ นเจ้าของคุณสมบัติน้ นั ๆ ตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้ น (Independent Variable) หมายถึง สิ่ งที่มีค่าเปลี่ยนแปลง ได้ ที่นกั วิจยั กาหนดให้เป็ นตัวแปรที่มีอิทธิ พลต่อตัวแปรอื่น เมื่อตัวแปรอิสระเปลี่ยนแปลงไปจะทาให้ ตัวแปรอื่นเปลี่ยนแปลงไปด้วย นอกจากนี้ ตวั แปรอิสระ มักจะต้องเป็ นตัวแปรที่มีความถาวรมากกว่า ตัว แปรตาม ตัวแปรตาม (Dependent Variable) หมายถึ ง ตัวแปรอื่นที่เปลี่ ยนแปลงไปตามการ เปลี่ยนแปลงของตัวแปรอิสระ โดยทัว่ ไปตัวแปรที่จะเป็ นตัวแปรอิสระได้ จะต้องเกิดขึ้นก่อนตัวแปรตาม ทั้งนี้เพราะสิ่ งที่เกิดขึ้นทีหลังจะเป็ นสาเหตุที่ทาให้สิ่งที่เกิดขึ้นก่อน เกิดขึ้น หรื อเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ตัวแปรแทรกซ้ อน (Extraneous Variable) เป็ นตัวแปรที่ผวู ้ ิจยั ไม่ได้สนใจศึกษาแต่มี อิทธิ พลต่อตัวแปรตาม ทาให้ผลการวิจยั ไม่ชดั เจนเท่าที่ควรเนื่ องจากไม่ได้เป็ นผลจากตัวแปรต้นเพียง อย่างเดียว เช่น การวิจยั เรื่ องระดับการศึกษา กับภาวะเจริ ญพันธ์ ซึ่ งพบว่าผูท้ ี่มีการศึกษาสู ง มีบุตรโดย เฉลี่ยน้อยกว่าผูท้ ี่มีการศึกษาต่า ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งสองนี้ ที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ เนื่ องมาจาก การปฏิบตั ิตนเกี่ยวกับการคุมกาเนิ ดโดยที่ผทู ้ ี่มีการศึกษาสู งกว่า คุมกาเนิ ดมากกว่าผูท้ ี่มีการศึกษาต่ากว่า และผูท้ ี่คุมกาเนิดมีบุตรน้อยกว่าผูท้ ี่ไม่คุมกาเนิด การปฏิบตั ิตนเกี่ยวกับการคุมกาเนิ ดจึงเป็ นตัวแปรแทรก 27


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ซ้อน ถ้าควบคุมตัวแปรการคุมกาเนิดโดยใช้แต่ผทู ้ ี่ไม่ได้คุมกาเนิ ด ความสัมพันธ์ระหว่างระดับการศึกษา กับภาวะเจริ ญพันธุ์อาจเปลี่ยนแปลงไป ตัวแปรกด (Suppress Variable) เป็ นตัวแปรที่ทาให้ตวั แปรอิสระและตัวแปรตามไม่มี ความสั ม พันธ์ ก ันทั้ง ๆ ที่ ค วรมี แต่ ถู ก ตัวแปรกดกดไว้ ต่ อเมื่ อควบคุ ม ตัว แปรกดแล้ว ความสั ม พัน ธ์ ระหว่างตัวแปรทั้งสองนี้จึงเกิดขึ้น ตัวแปรบิดเบือน (Mediator Variable) เป็ นตัวแปรที่ทาให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัว แปรอิสระและตัวแปรตามกลับแปรเปลี่ยนไปในทิศทางตรงข้าม เมื่อได้ควบคุมตัวแปรบิดเบือนไว้ กลับ พบว่า ค่าของความสัมพันธ์น้ นั ไม่เป็ นเช่ นเดิ ม เปลี่ ยนไปในอีกทิศทางหนึ่ ง ตัวแปรเช่ นนี้ เป็ นตัวแปร บิดเบือน 2.7.2 การเขียนคาจากัดความในการวิจัย เมื่อนักวิจยั เข้าใจตัวแปรแต่ละประเภทแล้ว นักวิจยั ต้องให้คาจากัดความตัวแปรที่สนใจ ศึกษาซึ่งโดยทัว่ ๆ ไป คือ ตัวแปรต้นและตัวแปรตามเท่านั้น การให้ คานิ ยามตัว แปร หรื อค าจากัดความของตัวแปร จะเป็ นการให้ค านิ ย ามเชิ ง ปฏิ บ ตั ิ ก าร ซึ่ ง หมายถึ ง ค านิ ย าม ที่ ก าหนดความหมายให้แก่ ตัวแปร โดยการระบุ กิ จกรรมหรื อการ ดาเนิ นงานที่จาเป็ นต่อการวัดตัวแปร คานิ ยามปฏิ บตั ิการเปรี ยบเสมือนคู่มือหรื อคาสั่งสาหรับผูว้ ิจยั ใน การวัดตัวแปร

28


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตัวอย่างการเขียนคาจากัดความทีใ่ ช้ ในการวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์ สุขภาพ คาจากัดความทีใ่ ช้ ในการวิจัย การติดเชื้อปรสิ ต หมายถึง การตรวจอุจจาระของประชาชนผูใ้ ช้แรงงานแล้วพบไข่หรื อตัว แก่ของปรสิ ตชนิดใดชนิดหนึ่ง ความรู้ เกี่ยวกับการติดเชื้ อปรสิ ต หมายถึง การตอบถูกต้องในเรื่ องของการรู้จกั พยาธิ ประเภทของอาหารที่ จะท าให้ ติดเชื้ อปรสิ ต โรคและอาการที่ พบเมื่ อติ ดเชื้ อปรสิ ต รวมทั้งการ ป้ องกันและรักษา ความคิดเห็นเกี่ยวกับการติดเชื้อปรสิ ต หมายถึง การบอกถึงความรู้สึกนึกคิดในเรื่ องการ พบเห็นพยาธิ อาหารสุ กๆ ดิบๆ การป้ องกัน การรักษา และทาลายปรสิ ตไม่ให้เป็ นอันตรายต่อคน พฤติกรรมอนามัยที่เกี่ยวข้ องกับการติ ดเชื้อปรสิ ต หมายถึ ง การปฏิบตั ิในรู ปแบบต่างๆ เพื่อลดโอกาสเสี่ ยงต่อการติดเชื้อปรสิ ต ภูมิลาเนาเดิม หมายถึง จังหวัดที่เกิดหรื อใช้ชีวิตในวัยเด็กเป็ นส่ วนใหญ่ จาแนกเป็ น 2 ลักษณะ คือ ต่างถิ่น หมายถึง ภูมิลาเนาเดิมอยูถ่ ิ่นอื่นที่ไม่ใช่จงั หวัดในภาคตะวันออก ถิ่นเดิม หมายถึง ภูมิลาเนาเดิมอยูใ่ นจังหวัดภาคตะวันออก

29


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตัวอย่างการเขียนคาจากัดความทีใ่ ช้ ในการวิจัยสาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์

คาจากัดความทีใ่ ช้ ในการวิจัย จรรยาบรรณ หมายถึ ง ข้อกาหนด กฎเกณฑ์อนั เป็ นบรรทัดฐานสาหรับผูป้ ระกอบ วิชาชี พนั้นๆ ยึดถื อปฏิ บตั ิ โดยผลสัมฤทธิ์ ต้องการความเป็ นระเบียบเรี ยบร้ อย ความดี งาม ความ สงบสุ ข และความเจริ ญในตัวตน และวิชาชีพ วิชาชีพ หมายถึง อาชีพที่ตอ้ งอาศัยวิชาความรู ้ที่มีความก้าวหน้าหรื อความชานาญใน ระดับสู ง รวมทั้งการฝึ กฝนที่มีความเฉพาะเจาะจง แบ่งเป็ น 3 กลุ่มวิชาชีพ คือ กลุ่มสาขาวิชาชีพ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี กลุ่มสาขาวิชาชีพวิทยาศาสตร์ สุขภาพ และกลุ่มสาขาวิชาชีพ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ การวิเคราะห์ หมายถึง การแยกแยะคาสาคัญ ซึ่ งเป็ นข้อกาหนด กฏเกณฑ์ ของวิชาชี พ นั้น ๆ โดยจาแนกเป็ นคาสาคัญด้านข้อควรปฏิบตั ิและข้อควรละเว้น การสั งเคราะห์ หมายถึง การนาคาสาคัญด้านข้อควรปฏิบตั ิและข้อควรละเว้นของแต่ละ วิชาชี พมาจัดกลุ่มคาสาคัญใหม่ให้มีความหมายเป็ นรู ปธรรม สามารถนาไปใช้เป็ นประโยชน์ใน การประกันคุ ณภาพการศึ กษา การปรั บปรุ งหลักสู ตร การจัดการเรี ยนการสอน การพัฒนาและ ปลูกฝังจรรยาบรรณวิชาชีพ ส่ วนร่ วมของจรรยาบรรณ หมายถึง มีคาสาคัญในจรรยาบรรณที่เหมือนกันสู งกึ่งหนึ่ งขึ้น ไปหรื อร้อยละ 50 ของจานวนจรรยาบรรณในกลุ่มสาขาวิชา ส่ วนต่ างของจรรยาบรรณ หมายถึ ง มี คาสาคัญในจรรยาบรรณที่ พบมากในบางกลุ่ ม สาขาวิชา และพบน้อยในบางกลุ่ ม สาขาวิช า โดยมี ค วามแตกต่ า งอย่า งน้อย หนึ่ ง ในสามของ จานวนจรรยาบรรณในแต่ละกลุ่มสาขาวิชา

30


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

2.8 ประโยชน์ ทคี่ าดว่ าจะได้ รับจากการวิจัย ในการสนับสนุนทุนเพื่อทาวิจยั หรื อการพิจารณาความคุม้ ค่าของการวิจยั นอกจากการ พิจารณาจากความเป็ นมาและความสาคัญของปั ญหาแล้ว ที่สาคัญที่ขาดไม่ได้ที่นกั วิจยั ต้องนาเสนอให้ ผูอ้ ่าน หรื อผูส้ นใจ หรื อผูเ้ กี่ยวข้องได้มองเห็นภาพ คือ การเขียนประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ซึ่ งมี หลักการเขียนดังนี้คือ 1. นาเสนอ เป็ นข้อๆ โดยเรี ยงตามลาดับความสาคัญ อธิบายให้เห็นชัดเจน 2. แยกประโยชน์ทางตรงและทางอ้อมออกจากกัน 3. แสดงให้เห็นว่า ผลการศึกษาครั้งนี้ จะนาไปทาอะไรต่อได้บา้ ง หรื อจะมีการใช้ อย่างไร 4. ควรนาเสนอให้เห็นประโยชน์ที่ตกแก่คนกลุ่มต่างๆ หรื อหน่วยงานต่างๆ ให้เห็น ชัดเจน เพื่อให้มองเห็นภาพของผูท้ ี่จะใช้ประโยชน์ได้ ไม่ใช่งานวิจยั ที่ทาเสร็ จแล้ววางเก็บไว้บนหิ้ง โชว์ บุคคลทัว่ ไปเฉย ๆ นามาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ชดั เจน เป็ นสิ่ งที่ตอ้ งห้ามในปั จจุบนั ตัวอย่างการเขียนประโยชน์ ที่คาดว่าจะได้ รับจากการวิจัย ประโยชน์ ทคี่ าดว่าจะได้ รับ 1. ทบวงมหาวิ ท ยาลัย และหน่ ว ยงานอื่ น สามารถน าส่ ว นร่ ว มและส่ ว นต่ า งของ จรรยาบรรณวิชาชีพไปพัฒนา และเป็ นแนวทางในการกาหนดจรรยาบรรณวิชาชีพได้ 2. ทบวงมหาวิทยาลัยสามารถใช้เป็ นแนวทางในการกาหนดนโยบายและการดาเนิ นการ การจัดการศึ กษาระดับอุ ดมศึ กษาให้สอดรับกับจรรยาบรรณวิชาชี พในเรื่ อง การพัฒนาระบบ ประกันคุณภาพการศึกษา การพัฒนาและปรับปรุ งหลักสู ตรการศึกษา การจัดการเรี ยนการสอน ในสถาบันอุดมศึกษา การพัฒนาและปลูกฝังจรรยาบรรณวิชาชีพ 3. องค์กรวิชาชีพ ทบวงมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษา มีการประสาน ร่ วมมือ ในการพัฒนาและปรับปรุ งจรรยาบรรณวิชาชีพให้สอดคล้องกับการจัดการศึกษายิง่ ขึ้น 4. เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ให้ผมู ้ ีส่วนได้ส่วนเสี ย ได้รับรู ้และใช้ประโยชน์จาก จรรยาบรรณวิชาชีพ สามารถนาไปใช้ในชีวติ ประจาวันได้อย่างเหมาะสม

31


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

2.9 กระบวนการวิจัย เมื่อนักวิจยั เข้าใจมโนทัศน์ที่สาคัญของการวิจยั แล้ว ในขั้นตอนต่อไปคือ การลงมือทา ในการทาวิจยั มีกระบวนการ ที่สาคัญอยู่ 10 ประการ ซึ่งหลายๆ ข้อในกระบวนการได้อธิบายไว้แล้วใน ส่ วนต้นของมโนทัศน์ ส่ วนประเด็นสาคัญของบางข้อจะกล่าวถึงรายละเอียดในบทต่อไป กระบวนการวิจยั ที่สาคัญ คือ 2.9.1. การกาหนดปั ญหา การวิจยั เพื่อนามาใช้ในตั้งชื่อเรื่ อง และวัตถุประสงค์การวิจยั 2.9.2 การทบทวนวรรณกรรม และ ผลงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง 2.9.3. การวางกรอบทฤษฎีหรื อ แนวคิดในการวิจยั 2.9.4. การตั้งสมมติฐาน 2.9.5. การกาหนดตัวแปรที่ใช้ในการวิจยั 2.9.6. การกาหนดวิธีวดั ตัวแปร 2.9.7. การออกแบบการวิจยั 2.9.8. ประชากรและการเลือกตัวอย่าง 2.9.9. เครื่ องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 2.9.10. การวิเคราะห์ขอ้ มูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล 2.9.1 การกาหนดปัญหาการวิจัย เพื่อนามาใช้ในการตั้งชื่อเรื่ องและวัตถุประสงค์ของ การวิจยั ปั ญหาในการวิจยั หมายถึง สิ่ งที่ก่อให้เกิดความสงสัย ใคร่ รู้คาตอบ 2.9.1.1 แหล่งทีม่ าของปัญหาการวิจัย ปัญหาการวิจยั สามารถหาได้จาก 1. ประสบการณ์ของผูท้ าวิจยั 2. ข้อเสนอแนะจากการทาวิจยั ของ คนอื่น 3. ปั ญหาที่หน่วยงาน ผูน้ าทางวิชา การ แหล่งทุน หรื อผูอ้ ื่นเสนอแนะ 4. จากการอ่านหนังสื อ 5. จากบทคัดย่อหรื องานวิจยั

32


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

2.9.1.2 การกาหนดประเด็นสาหรับปัญหาการวิจัย เมื่อผูว้ ิจยั ได้ประเด็นปั ญหาการวิจยั แล้ว ควรแยกแยะประเด็นปั ญหาเป็ นปั ญหาย่อยๆ หลายๆ ประเด็น โดยที่ลกั ษณะของประเด็นปั ญหาย่อยควรสอดคล้องหรื อสัมพันธ์กบั ปั ญหาหลัก แต่ละ ปั ญหาย่อยไม่ควรซ้ าซ้อนกัน และมีความชัดเจน การระบุปัญหาวิจยั จะช่วยในการตั้งชื่อเรื่ องวิจยั ส่ วนปั ญหาย่อย ๆ จะใช้ในการตั้ง วัตถุประสงค์ของการวิจยั 2.9.1.3 เกณฑ์ ในการประเมินปัญหา 1. เป็ นปัญหาวิจยั ที่วจิ ยั ได้หรื อไม่ มีคาตอบหรื อไม่ ปลอดภัยหรื อไม่ 2. มีเงินทุนเพียงพอหรื อไม่ 3. มีเวลาเพียงพอหรื อไม่ 4. มีเครื่ องอานวยความสะดวกในการทาวิจยั หรื อไม่ 5. ผูว้ จิ ยั มีความสามารถที่จะวิจยั ปั ญหานั้นหรื อไม่ 6. ปั ญหานั้นมีความสาคัญเพียงพอ หรื อไม่ ถ้าตอบใช่ในทุกข้อสามารถลงมือทาวิจยั ในเรื่ องนั้นๆ ได้ 2.9.2 การทบทวนวรรณกรรม และ ผลงานวิจัยทีเ่ กีย่ วข้ อง การทบทวนวรรณกรรมฯ เป็ น ขั้นตอนหนึ่งที่สาคัญในกระบวนการวิจยั และมีความ เกี่ยวโยงกับขั้นตอนอื่นๆ ได้แก่ การกาหนดกรอบแนวความคิดที่ใช้ในการทาวิจยั การกาหนดสมมติฐาน การกาหนดตัวแปร ที่ใช้ในการวิจยั การกาหนดรู ปแบบการวิจยั การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ ข้อมูล ถึงแม้วา่ ขั้นตอนการกาหนดปั ญหาการวิจยั จะเป็ นขั้นตอนแรกของกระบวนการวิจยั ก็ตาม การ ทบทวนวรรณกรรมฯ ควรจัดกระทา ควบคู่ไปกับการกาหนดปั ญหาการวิจยั เนื่องจากปั ญหาที่ตอ้ งการ ทาวิจยั ในระยะแรก มักจะมีลกั ษณะกว้างเกินไปจนไม่สามารถวางแผน การวิจยั ที่ชดั เจนได้ การทบทวน วรรณกรรมฯ ในขั้นต้นจะช่วยในการกาหนดปั ญหาให้แคบและชัดเจนขึ้น ช่วยให้ผวู ้ จิ ยั มัน่ ใจในความ เป็ นไปได้ในการทาวิจยั ในเรื่ องนั้น ประโยชน์ ของการสารวจเอกสาร และรายงานการวิจัยทีเ่ กี่ยวข้ อง 1. ทาให้ไม่ทาวิจยั ซ้ ากับผูอ้ ื่น 33


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

2. ทาให้ทราบอุปสรรค หรื อข้อบกพร่ อง ในการทาวิจยั ในเรื่ องนั้น ๆ 3. ใช้เป็ นข้อมูลพื้นฐานประกอบการพิจารณากาหนดขอบเขตและตัวแปรในการวิจยั 4. ใช้เป็ นข้อมูลในการกาหนดกรอบแนวคิดในการวิจยั 5. ช่วยในการกาหนดสมมติฐานการวิจยั 6. ช่วยในการกาหนดรู ปแบบและวิธีการวิจยั 7. ช่วยในการเชื่อมโยงสิ่ งที่คน้ พบในการวิจยั ครั้งนี้กบั ที่พบจากการวิจยั ที่ผา่ นมา 2.9.3 การวางกรอบทฤษฎีหรือ แนวคิดในการวิจัย กระบวนการนี้ จะทาต่อเนื่ องจากกระบวนการที่ 2 คือ การสร้างกรอบแนวคิดในการ วิจยั เป็ นขั้นตอนของการนาเอาตัวแปรและประเด็นที่ ตอ้ งการทาวิจยั มาเชื่ อมโยงกับแนวคิ ดทฤษฏี ที่ เกี่ยวข้องในรู ปของคาบรรยาย แบบจาลองแผนภาพหรื อรู ปแบบที่ผสมกัน การวางกรอบแนวคิดในการ วิจยั ที่ดี จะต้องชัดเจน แสดงทิศ ทางของความสัมพันธ์ของสิ่ งที่ตอ้ งการศึกษา หรื อตัวแปรที่ จะศึ กษา สามารถใช้เป็ นกรอบในการกาหนดขอบเขตของการวิจยั การพัฒนา เครื่ องมือในการวิจยั รู ปแบบการ วิจยั ตลอดจนวิธีการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ขอ้ มูล 2.9.4 การตั้งสมมติฐาน ในการวิจยั พรรณนาข้อมูลทัว่ ไป ซึ่ งเป็ นการพรรณนาตัวแปรเดี่ยวๆ ไม่อยูใ่ นลักษณะ ของตัวแปรต้นและตัวแปรตามที่เป็ นเหตุเป็ นผลกัน อาจไม่จาเป็ นต้องตั้งสมมติฐาน ส่ วนการหาคาตอบที่ ต้องการศึกษาความสัมพันธ์ของตัวแปรต้นและตัวแปรตาม หรื อต้องการทราบความแตกต่าง ควร ตั้งสมมติฐานให้ครบทุกคาตอบที่ตอ้ งการ หากมีการทบทวนวรรณกรรมและเอกสารอ้างอิงที่มีหลักฐาน แสดงให้ทราบทิศทางของสมมติฐานแล้ว ควรตั้งสมมติฐานแบบมีทิศทางซึ่งอาจจะเป็ นความสัมพันธ์ใน ทางบวก หรื อความสัมพันธ์ในทางลบก็ได้ โดยเฉพาะในกรณี การวิจยั ที่ศึกษาความสัมพันธ์ของตัวแปร ควรจะระบุทิศทางด้วย และเขียนแสดงถึงความมากกว่า น้อยกว่า ในกรณี ตอ้ งการศึกษาความแตกต่าง ของตัวแปรนั้นๆ 2.9.5 การกาหนดตัวแปรทีใ่ ช้ ใน การวิจัย ตัวแปรที่ใช้ในการวิจยั ผูศ้ ึกษาจะต้องกาหนดให้ชดั เจน ตัวแปรแต่ละตัวมีสภาพไม่ เหมือนกัน ตัวแปรบางตัวเป็ นตัวแปรอิสระ บางตัวเป็ นตัวแปรตาม นอกจากนั้นบางตัวอาจเป็ น ตัวแปร

34


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

แทรก ตัวแปรกด ตัวแปรบิดเบือน เป็ นต้น ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล นักวิจยั จะต้องตระหนัก ถึงบทบาท ของตัวแปรแต่ละตัวว่า เป็ นตัวแปรประเภทใด แต่ละประเภทมีคุณสมบัติอย่างไร 2.9.6 การกาหนดวิธีวดั ตัวแปร การกาหนดวิธีวดั ตัวแปรที่ใช้ในการวิจยั เป็ นขั้นตอนที่มีความสาคัญมากต่อการกาหนด คุณภาพของการวิจยั หากมีการวัดไม่ดีไม่มีคุณภาพ ผลที่ได้จากการวิจยั ก็ยอ่ มบกพร่ องตามไปด้วย ข้อบกพร่ องเหล่านี้ไม่สามารถ จะแก้ไขหรื อชดเชยได้ดว้ ยการใช้วธิ ี การวิเคราะห์ ไม่วา่ วิธีการวิเคราะห์ นั้นจะดี เพียงใด 2.9.6.1 ความหมาย การวัดตัวแปร หมายถึง กระบวนการแปรสภาพข้อความคิด ซึ่งมีลกั ษณะเป็ น นามธรรม ให้เป็ นข้อมูลทางสถิติเชิงปริ มาณ หรื อเชิงคุณภาพ กระบวนการดังกล่าวนี้ รวม ถึงวิธีการ ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลและ กฏเกณฑ์ต่าง ๆ ที่จะนาข้อมูลนั้นมาใช้ เช่น แบ่งกลุ่ม จัดอันดับ จัดช่วง ความแตกต่าง กฏเกณฑ์ที่แตกต่างกัน จะมีผลทาให้การวัด แตกต่างกัน ดังนั้นในการวัดตัวแปร จะต้อง เริ่ มต้นจากการกาหนดให้เด่นชัดว่า ตัวแปรที่ ต้องการวัดนั้นคืออะไร ต้องการวัดอะไรของ สิ่ งนั้น หรื อ วัดตามคานิยามปฏิบตั ิการของตัว แปรนั้น ถ้าผูว้ ิจยั สามารถกาหนดคานิยาม ปฏิบตั ิการได้ชดั เจน จะช่วย ให้สามารถวัดตัวแปรได้ถูกต้องชัดเจนไปด้วย 2.9.6.2 หลักของการวัดตัวแปร หลักสาคัญของการวัดตัวแปร มี 4 ประการ ที่สาคัญคือ ความถูกต้องของการวัด (Validity) ความเชื่อถือได้ของการวัดหรื อความเที่ยง (Reliability) ความไว (Sensitivity) และการมี ความหมายของการวัด (Meaningful) 1) ความถูกต้ องของการวัด เป็ นการ วัดในสิ่ งที่ตรงประเด็นที่ตอ้ งการ วัดตามหลัก วิชาการ โดยมีเอกสารอ้างอิงได้ 2) ความเชื่ อ ถื อ ได้ ข องการวัด หมายถึ ง เมื่ อได้วดั แล้ว ผลที่ ไ ด้จากการวัดมี ความ เหมือนกันหรื อสอดคล้องกันไม่วา่ จะมีการวัดบ่อยครั้งเพียงใด 3) ความไวของการวัด หมายถึงความสามารถของเครื่ องมือที่ใช้วดั ในการจาแนกความ แตกต่ า งระหว่า งหน่ วยต่ า งๆ ที่ ต้องการจะศึ ก ษา วิธี ก ารวัดบางวิธี จาแนก บุ ค คลได้อย่า งหยาบ ไม่ 35


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สามารถจะวัดรายละเอียดของความแตกต่างของหน่วยที่ตอ้ งการวัดได้ วิธีการวัดดังกล่าวเรี ยกได้วา่ ขาด ความไว 4) การมีความหมายของการวัด หมายถึงการวัดนั้นวัดได้ถูกต้องมีความหมาย แต่ละคน ดูแล้วตีความหมายได้ เช่น การแบ่งอาชีพ ควรมีการแบ่งให้ได้ ความหมายของ ความแตกต่างในเรื่ องของ อาชีพ 2.9.6.3 ระดับของการวัด ระดับของการวัด การวัด คือ การจัดระเบียบข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการเก็บข้อมูล ให้อยู่ ในสภาพที่จะนาไปใช้ ในการวิเคราะห์ สามารถแบ่งออกได้เป็ น 4 ระดับคือ ระดับ กลุ่ม(Nominal Scale) ระดับอันดับ (Ordinal Scale) ระดับช่วง (Interval Scale) ระดับอัตราส่ วน (Ratio Scale) แต่ละระดับมี คุณสมบัติ กฎเกณฑ์ และความยากง่าย ของการวัดแตกต่างกัน ความแตกต่างในเรื่ องระดับของการวัด มี ผลต่อการเลือกวิธีการทางสถิติ ที่จะนามาใช้วิเคราะห์ขอ้ มูล จึงจาเป็ นที่นกั วิจยั จะต้องวางแผนล่วงหน้า ในการวิเคราะห์ ข้อมูล ซึ่ งจะช่วยให้สามารถเลือกระดับข้อมูล ได้ตรงและถูกต้องกับความต้องการ ถ้ายัง ไม่แน่ใจในเรื่ องการวิเคราะห์ขอ้ มูล ควรเก็บข้อมูลในระดับช่วง หรื อระดับอัตราส่ วนไว้ก่อน เพราะ ข้อมูลในระดับนี้ สามารถปรับให้เป็ นข้อมูลระดับกลุ่มได้ แต่ถา้ เก็บข้อมูลในระดับกลุ่มหรื อระดับอันดับ แล้ว ไม่สามารถนามาปรับเป็ นข้อมูลในระดับช่วงหรื ออัตราส่ วนได้ 1) การวัดระดับกลุ่ม (Nominal Scale) เป็ นวิธีการที่ง่ายที่สุด เพียงแต่กาหนดหลักเกณฑ์ แบ่งแยก ประชากรที่ศึกษาออกเป็ นกลุ่ม ถ้ามีคุณสมบัติเหมือนกันก็จดั อยูใ่ นกลุ่มเดียวกัน ถ้าแตกต่างกัน ก็จดั อยูใ่ นอีกกลุ่มหนึ่ง ข้อมูลเหล่านี้ ไม่สามารถบอกอัตราของความแตกต่างมากน้อยได้ จึงเป็ นข้อมูล ประเภทคุณภาพ หลักเกณฑ์ในการแบ่งกลุ่มคือ จะต้องให้มีกลุ่มครบถ้วน ให้ทุกหน่วยของประชากรที่ วัดมีกลุ่มลงได้ และกลุ่มแต่ละกลุ่มจะต้องมีคุณสมบัติไม่ซ้ าซ้อนกัน แยกออกจากกันและ กันโดย เด็ดขาด 2) การวัด ระดั บ อัน ดั บ (Ordinal Scale) เป็ นการวัด ที่ ใ ห้ รายละเอี ย ดได้ม ากขึ้ น สามารถจัดอันดับความแตกต่างระหว่างผลการวัด ในระบบการวัดนี้ ใช้ ความมากกว่า น้อยกว่าเป็ นหลัก การวัดระดับนี้ เป็ นการจัดอันดับ สู ง-ต่ า ก่อน-หลัง เท่านั้น โดยที่ไม่ทราบถึ งปริ มาณของความมากกว่า หรื อน้อยกว่า

36


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

3) การวัดระดับช่ วง (Interval Scale) การวัดแบบนี้ สามารถกาหนดความห่างระหว่าง สิ่ งที่วดั ได้แน่นอน ทั้งนี้ เพราะในการวัดนี้ หน่วยของการวัดมีลกั ษณะคงที่ ซึ่ งใช้เป็ นมาตรฐานร่ วมใน การกาหนดค่าเป็ นตัวเลขจานวนเต็มให้กบั สิ่ งที่วดั ได้ ระบบการวัดแบบนี้อาจจะมีจุดเริ่ มต้นที่ไม่เป็ นศูนย์ แท้ เช่น ในการวัดทัศนคติในเรื่ องใดเรื่ องหนึ่ง ไม่ได้คะแนนเลย หรื อได้ศูนย์ ไม่ได้หมายความว่าบุคคล นั้นไม่ มีทศั นคติในเรื่ องนั้นเลย แต่ทศั นคติอาจจะ เป็ นกลาง คือไม่บวก ไม่ลบ เป็ นต้น 4) การวัดระดับอัตราส่ วน (Ratio Scale) เป็ นการวัดที่มีคุณสมบัติของการวัด โดยมี จุดเริ่ มต้นโดยธรรมชาติที่แท้จริ ง เช่น น้ าหนัก ความสู ง ในขณะที่ค่าเป็ นศูนย์ของการวัดในระดับอันตร ภาคเป็ นศูนย์ไม่แท้ คือสิ่ งที่วดั ยังคงมีอยูใ่ นระดับหนึ่ง ค่าที่เป็ นศูนย์ในการวัดระดับนี้ ถือว่า เป็ นศูนย์แท้ เนื่องจากแสดงว่าไม่มีสิ่งที่วดั อยูเ่ ลย ตัวอย่ างลักษณะข้ อมูลกับระดับการวัด ตัวแปร

ระดับการวัด

เพศ

Nominal

ระดับการศึกษา

Ordinal

ความรู้

Interval

ส่ วนสู ง

Ratio

ศาสนา

Norminal

ความคิดเห็น

Interval

2.9.7 การออกแบบการวิจัย แบบของการวิจยั เป็ นสิ่ งที่เชื่อมโยงกิจกรรมของงานวิจยั ที่จะต้องทาในแต่ละขั้นตอน เข้าด้วยกันเป็ นการเชื่ อมโยงประเด็นของการวิจยั แนวความคิดที่ใช้ในการทาวิจยั ให้เข้ากับการวัด เครื่ องมือ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล กาหนดวิธีการสุ่ มตัวอย่าง และ การวิเคราะห์ขอ้ มูลให้สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ของการวิจยั แบบแผนของการวิจยั เป็ นสิ่ งที่สาคัญมากแทบจะเรี ยกได้วา่ เป็ นสมองและ หัวใจของงานวิจยั

37


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

2.9.8 ประชากรและการเลือกตัวอย่าง ในการวิจยั โดยทัว่ ไป นักวิจยั จาเป็ นต้องเข้าใจสิ่ งที่ศึกษาซึ่ งอาจเป็ นคน สัตว์ หรื อ สิ่ งของก็ได้ 2 อย่าง คือ ประชากรและตัวอย่าง นักวิจยั อาจไม่จาเป็ นต้องเกี่ยวข้องกับตัวอย่างก็ได้ หาก ทาการศึกษาในสิ่ งที่ตอ้ งการศึกษาทุกหน่วย แต่อย่างไรก็ตามในการวิจยั โดยทัว่ ไปที่มีประชากรจานวน มาก หรื ออาจไม่มีความจาเป็ นต้องศึกษาในสิ่ งที่ตอ้ งการศึกษาทุกหน่วย จะมีการสุ่ มตัวแทนของ ประชากรมาศึกษา ซึ่ งหากนักวิจยั เลือกใช้วธิ ี การสุ่ มที่เป็ นตัวแทน มีลกั ษณะเสมอเหมือนประชากร ได้มากที่สุด เมื่อได้ผลการวิจยั หรื อคาตอบเพื่อตอบปั ญหาการวิจยั ได้แล้ว จะได้ผลการวิจยั ที่ใกล้เคียงกับ ผลจากการศึกษาในกลุ่มประชากรทั้งหมด 2.9.9 เครื่องมือทีใ่ ช้ ในการเก็บรวบรวมข้ อมูล ในขั้นตอนของการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อนามาวิเคราะห์หาคาตอบนั้นต้องมีการสร้าง เครื่ องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่ งมีข้ นั ตอนที่สาคัญคือ 1. กาหนดข้อมูลและตัวชี้ วดั ซึ่ งจะมาจากตัวแปรที่นกั วิจยั สนใจศึกษา 2. กาหนดแหล่งข้อมูล 3. เลือกตัวอย่าง 4. เลือกวิธีการรวบรวมข้อมูล ซึ่งอาจใช้วธิ ีการสัมภาษณ์ สอบถาม หรื อบันทึกข้อมูล เองหลักจากไปสังเกตประเด็นของตัวแปรนั้นๆ แล้ว 5. นาเครื่ องมือรวบรวมข้อมูลไปทดลองใช้ เพื่อหาคุณภาพของเครื่ องมือที่มีความตรง ความเที่ยง ที่เชื่อถือได้ 6. การออกรวบรวมข้อมูลจริ ง 2.9.10 การวิเคราะห์ ข้อมูลและสถิติทใี่ ช้ ในการวิเคราะห์ ข้อมูล การวิเคราะห์ขอ้ มูลในการวิจยั เป็ นขั้นตอนของการนาเอาข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้มา จัดอยูใ่ นระเบียบ แล้วนาไปทดสอบสมมติฐานเพื่อหาคาตอบตามที่กาหนดไว้ในวัตถุประสงค์ของการ วิจยั การเลือกใช้สถิติในการวิเคราะห์ขอ้ มูลนั้นอยูก่ บั วัตถุประสงค์ สมมติฐาน และระดับของตัวแปรที่ ใช้ในการวิจยั กล่าวโดยสรุ ป คือ นักวิจยั ต้องเข้าใจมโนทัศน์ของการวิจยั ทั้ง 9 ประเด็น ซึ่งประกอบ ไปด้วย ความหมายของการวิจัย เกณฑ์ การพิจารณาการวิจัย สภาพและความสาคัญของปัญหาและการ ตั้งชื่ อเรื่องในการวิจัย วัตถุประสงค์ ของการวิจัย ขอบเขตการศึกษา กรอบแนวคิดและสมมติฐานการวิจัย 38


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

คาจากัดความทีใ่ ช้ ในการวิจัย ประโยชน์ ทคี่ าดว่าจะได้ รับจากการวิจัย และกระบวนการวิจัย เพื่อให้ สามารถมองภาพของการวิจยั ให้เห็นได้ท้ งั ระบบ และเป็ นประเด็นที่สาคัญที่ใช้ในการศึกษารายละเอียด อื่นๆ ในบทต่อไป

39


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

40


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

บทที่ 3 ทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกีย่ วข้ อง เนื้อหาในบทนี้ ผูเ้ ขียนได้นาเสนอประเด็นที่เกี่ยวข้องแยกเป็ น 4 เรื่ องดังนี้ 3.1 การทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกีย่ วข้ อง ประกอบด้ วย 3.1.1 ความหมายของ “แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง” 3.1.2 ความสาคัญของการทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในการวิจยั 3.1.3 จุดมุ่งหมายของการทบทวนหรื อการตรวจสอบแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 3.1.4 การใช้ประโยชน์จากผลการทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 3.1.5 ประเด็นด้านเนื้อหาสาระที่ตอ้ งการการทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 3.2 แหล่งและกระบวนการค้ นคว้าแนวคิดทฤษฎีทเี่ กีย่ วข้ อง ประกอบด้ วย 3.2.1 แหล่งค้นคว้าแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องบนอินเตอร์ เน็ต 3.2.2 กระบวนการค้นคว้าแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องบนอินเตอร์เน็ต 3.3 หลักการเขียนแนวคิดทฤษฎีทเี่ กีย่ วข้ อง ประกอบด้ วยเนือ้ หาหลัก ๆ ดังนี้ 3.3.1 สถานการณ์ของเรื่ องที่ทาวิจยั 3.3.2 การเขียนทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 3.3.3 การเขียนงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง 3.4 ตัวอย่างการเขียนแนวคิดทฤษฎีทเี่ กี่ยวข้ องในการวิจัย

3.1 การทบทวนแนวคิดทฤษฎีทเี่ กีย่ วข้ อง 3.1.1 ความหมายของ “แนวคิดทฤษฎีทเี่ กีย่ วข้ อง” กิจกรรมในระยะเริ่ มแรกของการสร้างงานวิจยั กิจกรรมหนึ่งคือ การทบทวนแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหมายถึงการค้นคว้าหาข่าวสารความรู ้ที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กบั ปั ญหาวิจยั การ ทบทวนหรื อการสื บค้นแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เป็ นกิจกรรมที่อาจทาทั้งก่อนและหลังการเขียนโครง ร่ างวิจยั เป็ นกระบวนการที่ให้ประโยชน์สาหรับผูว้ ิจยั ในการหาหัวข้อวิจยั และให้แนวทางการดาเนินงาน วิจยั

41


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ในทางวิจยั แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง หมายถึง งานเขียน งานวิจยั เกี่ยวกับหลักการและ ทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อวิจยั อาจอยูใ่ นรู ปที่เป็ นเอกสาร และที่ไม่เป็ นเอกสาร อาจมีท้ งั ที่บนั ทึก ไว้หรื อไม่มีการบันทึกไว้เป็ นแต่เพียงการบอกเล่าต่อๆ กันมา หรื อบันทึกไว้ในลักษณะต่างๆ กัน เช่น สื่ อ สิ่ งพิมพ์ สื่ ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น วีดีโอเทป ซี ดีรอม เป็ นต้น จากความหมายของแนวคิ ดทฤษฎี ที่เกี่ ยวข้องดังกล่าว จะเห็ นว่ารู ปแบบของแนวคิ ด ทฤษฎี ที่เกี่ ยวข้องและแหล่งค้นคว้าแนวคิดทฤษฎี ที่เกี่ ยวข้องเป็ นสิ่ งที่ข้ ึนอยู่กบั ความเปลี่ ยนแปลงของ เทคโนโลยีในขณะหนึ่ ง เราอาจต้องเดิ นทางไปที่สถานที่ต่างๆ เพื่อสัมภาษณ์ ดู ค้นคว้า อ่าน หรื อถ่าย เอกสาร ในอีกขณะหนึ่ งเราไม่ตอ้ งเดิ นทางไปที่ใดเลย เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์ และโมเด็ม รวมทั้งบริ การ ต่ออินเตอร์ เน็ตจากสถาบันที่ให้บริ การอินเตอร์ เน็ต (Internet Service Provider - ISP) เราก็สามารถ ท่องเที่ยวไปในฐานข้อมูลต่างๆ ที่อยูห่ ่างไกลออกไปทั้งในและนอกประเทศ โดยไม่ตอ้ งเสี ยเวลาเดินทาง เหมื อนเช่ นแต่ก่อน ปั ญหาคือเราจะทาอย่างไรจึงจะไม่เพลิ ดเพลิ นหลงใหลไปกับการได้พบกับข้อมูล ข่าวสารมากมาย จนเสี ยเวลาไปเท่าๆ หรื อมากกว่าที่ตอ้ งใช้ในการเดินทางเหมือนแต่ก่อน ทาอย่างไรการ ค้นคว้าแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องจึงจะไม่เป็ นเพียงการอ่าน การเข้าห้องสมุด อ่านหนังสื อเล่มแล้วเล่มเล่า เข้าสู่ ระบบ อินเตอร์ เน็ต กดปุ่ มแล้วปุ่ มเล่าเข้าสู่ ฐานข้อมูลจานวนมากมาย ใช้เวลามากมายในการค้นและ อ่าน ซึ่ งผูท้ ี่รักการอ่านคงรู ้ สึกเพลิ ดเพลิ นและหลงใหลกับฐานข้อมูลเหล่านี้ แต่ประโยชน์ที่ได้สาหรั บ การวิจยั ในการทบทวนแนวคิ ดทฤษฎี ที่เกี่ ยวข้องคงไม่ก้าวหน้าเท่า ที่ ควร ดังนั้นจึ งต้องมี การควบคุ ม ขอบเขตการค้นและเวลาที่ใช้ในการค้น 3.1.2 ความสาคัญของการทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกีย่ วข้ องในการวิจัย ในการที่จะออกแบบวิจยั ทั้งในด้านกรอบแนวคิด กรอบประชากร วิธีการเลือกกลุ่ม ตัวอย่าง การพัฒนาเครื่ องมือ และกระบวนการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ขอ้ มูล หรื อการนาเสนอ ภาพรวมของการวิจยั เพื่อสื่ อแนวคิดในการวิจยั ในรู ปของโครงการวิจยั การดาเนินงานวิจยั ได้อย่างมี ประสิ ทธิภาพ และการเขียนรายงานวิจยั ที่มีประโยชน์ต่อวงการวิชาชีพนั้น สิ่ งที่สาคัญ คือ ก่อนที่จะ ตัดสิ นใจเลือกหัวข้อ ต้องสารวจความสนใจของตนเองก่อนว่าสนใจเรื่ องใดบ้าง เมื่อได้เรื่ องที่สนใจแล้ว ต้องวิเคราะห์วา่ เรื่ องใดที่ตนรู ้เรื่ องมากที่สุด เรื่ องนั้นๆ ยังมีช่องว่างอะไรในตัวองค์ความรู ้ ในการปฏิบตั ิ ในแนวคิด ฯลฯ การที่จะทราบข้อมูลดังกล่าวได้ตอ้ งมีขอ้ มูลว่ามีทฤษฎีแนวคิดอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง มี อะไรที่เกิดขึ้นใหม่ในขอบเขตเนื้ อหานั้น มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง มีใครเคยทาวิจยั ในเรื่ องที่ เกี่ยวข้องไปแล้วบ้าง ได้ขอ้ ค้นพบอะไรบ้าง ยังมีอะไรที่น่าสนใจอีก สิ่ งเหล่านี้จะได้จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและทันสมัย

42


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

3.1.3 จุดมุ่งหมายของการทบทวนหรือการตรวจสอบแนวคิดทฤษฎีทเี่ กีย่ วข้ อง การทบทวนหรื อการตรวจสอบแนวคิดทฤษฎี ที่เกี่ ยวข้องเป็ นการรายงานเชิ งประเมิ น ของสารสนเทศที่พบในแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับสิ่ งที่เลือกมาศึกษารายงาน ควรมีเนื้ อความที่บรรยาย สรุ ป ประเมินและให้ความชัดเจนในสารสนเทศที่เลือกมานาเสนอ ควรให้ฐานทางทฤษฎีสาหรับการ วิจยั ที่จะทา และช่วยให้ผวู ้ จิ ยั ได้พิจารณาตัดสิ นใจถึงธรรมชาติของการวิจยั งานที่นามาเสนอควรเป็ นงาน ที่เกี่ยวข้องกับบริ บทแวดล้อมและตัวแปรที่มุ่งศึกษา การตรวจสอบแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องไม่ใช่เพียง การค้นหาสารสนเทศ และไม่ใช่เพียงการบรรยายประกอบรายการหนังสื อ งานที่นามาเสนอต้องผ่านการ อ่าน การประเมิน และการสังเคราะห์มาก่อน และแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดทฤษฎีที่ นามาเสนอ รวมทั้งสามารถแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงขอบเขตของงานวิจยั ที่ทา การเขียนส่ วนที่เป็ นแนวคิดทฤษฏีที่เกี่ยวข้องนั้น เป้ าหมายเพื่อการถ่ายทอดให้ผอู ้ ่านได้ ทราบถึงความรู้พ้ืนฐานในเรื่ องที่ทาวิจยั และแนวคิดที่ได้พฒั นาขึ้น รวมถึงจุดเด่นและจุดด้อยของ ความรู้และแนวคิดที่นาเสนอ ทาไมต้ องตรวจสอบแนวคิดทฤษฎีทเี่ กี่ยวข้ อง แม้วา่ รู ปแบบของการเขียนรายงานการตรวจสอบแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้อง อาจมีความแตกต่างกันตามประเภทและสาขาของการวิจยั แต่จุดมุ่งหมายพื้นฐานในการตรวจสอบ แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้องจะเป็ นเช่นเดียวกัน การตรวจสอบแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องมี จุดมุ่งหมายโดยทัว่ ไป ดังนี้ 3.1.3.1 ให้ความรู ้พ้นื ฐานด้านบริ บทของการวิจยั 3.1.3.2 ให้หลักฐานสนับสนุนการวิจยั 3.1.3.3 ให้ความมัน่ ใจว่างานวิจยั นั้นมี หรื อไม่มีผทู ้ ามาก่อน 3.1.3.4 แสดงให้เห็นว่างานวิจยั นั้นเหมาะสมกับองค์ความรู ้ที่มีอยู่ 3.1.3.5 แสดงให้เห็นว่าสิ่ งที่ศึกษานั้นได้มีผอู ้ อกแบบศึกษาไว้อย่างไรบ้างจากงานที่ ผ่านมา 3.1.3.6 นาเสนอจุดอ่อนที่มีอยูใ่ นงานวิจยั ที่มีผทู ้ ามาแล้ว 3.1.3.7 ได้เห็นโครงสร้างของช่องโหว่ที่มีอยูใ่ นงานวิจยั ที่ผา่ นมา 3.1.3.8 แสดงให้เห็นว่า งานวิจยั ที่ทาเพิ่มความเข้าใจและความรู ้ในสาขาวิชาที่มีความ เกี่ยวข้อง นอกจากนั้น การทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง จะช่วยตัวผูท้ าวิจยั อย่างน้อย สองประเด็นต่อไปนี้ 43


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

1) ทาให้ผวู้ จิ ยั ได้เกิดการเรี ยนรู ้จากหลักการ และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับสิ่ งที่ศึกษาใน งานวิจยั ที่ผา่ นมาแล้ว 2) ช่วยทาให้เห็นความชัดเจนของหัวข้อวิจยั หรื ออาจช่วยให้สามารถเปลี่ยน จุดเน้นของการวิจยั หรื ออาจต้องเปลี่ยนหัวข้อวิจยั ใหม่ 3.1.4 การใช้ ประโยชน์ จากผลการทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกีย่ วข้ อง ในการค้นคว้าหรื อทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการวิจยั นั้น ครอบคลุมพอ ผูว้ จิ ยั จะได้สารสนเทศดังต่อไปนี้

ถ้าผูว้ จิ ยั ทาได้

3.1.4.1 มีผใู ้ ดทาอะไรไปแล้วบ้างในขอบเขตเนื้อหาวิชาที่เราต้องการศึกษา 3.1.4.2 ให้แนวทางที่เป็ นไปได้ในทางปฏิบตั ิเกี่ยวกับแบบแผนการวิจยั กระบวนการ และขั้นตอนในการวิจยั 3.1.4.3 ชี้ให้เห็นช่องว่างหรื อความไม่สมบูรณ์ขององค์ความรู ้ในขอบเขตเนื้ อหาวิชาที่ สนใจ อันจะนาไปสู่ ประเด็นปั ญหาการวิจยั 3.1.4.4 ให้สารสนเทศเกี่ยวกับปั ญหา อุปสรรค หรื อข้อจากัดที่อาจเกิดขึ้นในการวิจยั ในขอบเขตเนื้ อหาวิชาที่เราต้องการศึกษา และแนวทางแก้ไขปรับปรุ งปั ญหา อุปสรรคที่คาดการณ์ได้วา่ จะเกิดขึ้นล่วงหน้า 3.1.4.5 ให้พ้นื ฐานในการแปลความหมายผลของการวิจยั และสารสนเทศดังกล่าวทาให้ ผูว้ จิ ยั สามารถใช้เป็ นพื้นฐานในการออกแบบ และการดาเนินงานวิจยั ในด้าน ต่อไปนี้ 1) การระบุและกาหนดขอบเขตของปั ญหาและสมมติฐาน 2) ข้อมูลที่ตอ้ งการในการแก้ปัญหา และการทดสอบสมมติฐาน 3) การกาหนดกรอบประชากร 4) การกาหนดวิธีการเลือกตัวอย่างเพื่อใช้ในการวิจยั 5) เครื่ องมือและระดับการวัดที่ตอ้ งใช้ในการได้มาซึ่งข้อมูลที่ ต้องการ 6) เนื้ อหาสาระ หรื อโครงสร้างที่สาคัญสาหรับการพัฒนาเครื่ องมือ 7) การกาหนดวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล รวมทั้งปั ญหาและการ แก้ไขปั ญหาที่อาจเกิดขึ้นในการเก็บรวบรวมข้อมูล 8) การกาหนดวิธีการวิเคราะห์ขอ้ มูล และการแปลผลการวิเคราะห์ ข้อมูล 44


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

9) การอ้างอิงในการอภิปรายผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล และข้อเสนอ แนะในการนาผลไปใช้และการวิจยั ต่อ 3.1.5 ประเด็นด้ านเนือ้ หาสาระทีต่ ้ องการทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกีย่ วข้ อง เมื่อได้ทราบว่า แนวคิดหลักๆ ของการทบทวนแนวคิดทฤษฎีเป็ นอย่างไรแล้ว ทาให้ เห็นภาพได้วา่ การที่จะใช้ประโยชน์จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องในการวิจยั ได้อย่างเต็มที่น้ นั ประเด็นเนื้ อหาสาระเกี่ยวกับแนวความคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่ตอ้ งนามาทบทวนนั้น ควรประกอบด้วย ประเด็นในด้านต่อไปนี้ 3.1.5.1 บริบทในการวิจัย บริ บทในการวิจยั ส่ วนใหญ่มกั ได้จากหัวข้อหรื อหัวเรื่ องวิจยั เช่น การศึกษาผลกระทบ จากกรณี ยา้ ยถิ่นของชาวไทยภูเขา ตัวแปรที่ศึกษาคือการย้ายถิ่นและผลกระทบจากการย้ายถิ่น บริ บทของเรื่ องนี้คือชาว ไทยภูเขา ซึ่ งมีเอกลักษณ์บางอย่างของตนที่ผวู ้ จิ ยั จะต้องนาเสนอ เพื่อความเข้าใจของผูส้ นใจอ่านงาน วิจยั และผูเ้ กี่ยวข้องอื่นๆ ประเด็นที่ตอ้ งมีการทบทวนแนวคิดทฤษฎีในเรื่ องนี้คือ เรื่องของชาวไทยภูเขา การนาเสนอเรื่ องของชาวไทยภูเขา ควรนาเสนอสองประเด็น ประเด็นแรกเป็ นเรื่ องของการแนะนาให้รู้จกั กับชาวไทยภูเขา ซึ่ งอาจนาโดยการเกริ่ นถึงชาวไทยภูเขา ทัว่ ไป แล้วกาจัดขอบเขตที่ชาวไทยภูเขาที่เราต้องการศึกษา ถ้าไม่ได้ศึกษาชาวไทยภูเขาทัว่ ๆ ไป แต่ เจาะจงศึกษาเฉพาะเผ่าใดเผ่าหนึ่ง สิ่ งที่นาเสนอเป็ นเนื้อหาเกี่ยวกับ ลักษณะต่าง ๆ ของไทยภูเขา และสิ่ ง ที่เกี่ยวข้องที่ทาให้เกิดการย้ายถิ่น เช่น เศรษฐกิจ ความเป็ นอยู่ ลักษณะของครอบครัว ความคาดหวัง และ ปั ญหาอุปสรรคต่าง ๆ และประเด็นทัว่ ไป ที่เกี่ยวข้องจากนั้น ต้องนาเสนอให้เห็นภาพของปัญหา คือการ ย้ายถิ่นของชาวไทยภูเขา จากนั้น ต้องนาเสนอให้เห็นภาพของปั ญหา คือการย้ายถิ่นของชาวไทยภูเขา หัวข้อเรื่ อง แสดงว่า เป็ นการศึกษาในลักษณะที่ตอ้ งการบรรยายถึงการย้ายถิ่นของชาวไทยภูเขา ไม่ได้มีการจากัด ขอบเขตเฉพาะเจาะจงว่าเป็ นเรื่ องใด 3.1.5.2 แนวคิดทฤษฎีเกีย่ วกับตัวแปรที่ศึกษา เช่นเดียวกับบริ บทในการวิจยั ตัวแปรที่ศึกษาวิจยั ส่ วนใหญ่จะอยูใ่ นหัวข้อหรื อชื่อเรื่ อง การนาเสนอแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับตัวแปรที่ศึกษา จะช่วยให้ผวู ้ จิ ยั สามารถกาหนดกรอบแนวคิดทฤษฎี ในการวิจยั ของตน สามารถกาหนดขอบเขตของการศึกษาด้วยการยึดหลักการหรื อทฤษฎีที่นามาเสนอ หรื อดัดแปลงหรื อผสมผสานแนวคิดทฤษฎีต่างๆ เพื่อให้เหมาะกับบริ บทของการวิจยั ที่ตอ้ งการศึกษา 45


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับตัวแปรที่ศึกษาอาจประกอบด้วยความหมายหรื อนิยามศัพท์ของ ตัวแปรที่นามาศึกษา เนื้ อหาของแนวคิด และทฤษฎีเกี่ยวกับตัวแปรที่ศึกษา อาจนาเสนอจากมุมมองของ ผูเ้ ชี่ยวชาญในตัวแปรนั้นๆ หลายๆ คน แต่ไม่ควรนาเสนอเหมือนภาพที่ไม่มีการเชื่ อมโยงติดต่อกัน การ นาเสนอไม่จาเป็ นหรื ออันที่จริ งไม่ควรนาเสนอเป็ นรายบุคคล แต่อาจอยูใ่ นรู ปของการวิเคราะห์และการ สังเคราะห์ผมู ้ ีแนวคิดที่สอดคล้องกัน แล้วนาเสนอแนวคิดนั้น โดยอ้างอิงผูเ้ ชี่ยวชาญเหล่านั้น นอกจาก นาเสนอในด้านข้อเท็จจริ งที่ได้ศึกษาจากแต่ละบุคคลหรื อแต่ละประเด็นของตัวแปรแล้ว ควรมีการ นาเสนอในรู ปของการเปรี ยบเทียบ หรื อการอภิปรายในแง่มุมต่างๆ ที่ตรงกัน สอดคล้องกัน และที่อาจ ขัดแย้งกัน ตัวอย่างเช่น การศึกษาผลกระทบจากกรณี ยา้ ยถิ่นของชาวไทยภูเขา ที่ได้ยกตัวอย่าง มาแล้วนั้น การนาเสนอเนื้ อหาในส่ วนของตัวแปรได้แก่ - แนวคิดทฤษฎี เรื่ องการย้ายถิ่น ประเด็นที่นาเสนอควรเป็ นการให้ความหมายของ การย้ายถิ่น ลักษณะของการย้ายถิ่น ความสาคัญ และเนื้อหาด้านผลกระทบอันเนื่ องจากการย้ายถิ่น เป็ น ต้น - แนวคิดทฤษฎีในเรื่ องผลกระทบ การศึกษาผลกระทบ แล้วตามด้วยผลกระทบอัน เนื่องมาจากการย้ายถิ่น 3.1.5.3 งานศึกษาค้ นคว้าทีเ่ กีย่ วข้ องกับตัวแปรทีศ่ ึกษาทีอ่ ยู่ในบริบททีค่ ล้ายคลึงกับที่ ต้ องการศึกษา ในส่ วนนี้เป็ นงานวิจยั และข้อค้นพบจากการวิจยั ที่เกี่ยวกับเรื่ องการย้ายถิ่น เมื่อถึงตอนนี้ ผูว้ จิ ยั ต้องมีความชัดเจนในเรื่ องกรอบแนวคิดที่จะศึกษามากพอที่จะวางกรอบการนาเสนอให้อยูใ่ น บริ บทที่ตอ้ งการศึกษา นัน่ คือควรนาเสนองานวิจยั ในตัวแปรที่ตอ้ งการศึกษาในบริ บทที่ตรงกันกับที่ ต้องการศึกษาหรื อในกรอบแนวความคิดที่ตอ้ งการศึกษา เช่นเป็ นเรื่ องที่ศึกษาเกี่ยวกับการย้ายถิ่นของ ชาวไทยภูเขาหรื อกลุ่ม เป้ าหมายที่มีลกั ษณะคล้ายคลึงกัน หรื อที่มีลกั ษณะอื่น ๆ คล้ายกัน เป็ นต้น

3.2 แหล่งและกระบวนการค้ นคว้ าแนวคิดทฤษฎีทเี่ กีย่ วข้ อง 3.2.1 แหล่งค้ นคว้าแนวคิดทฤษฎีที่เกีย่ วข้ อง แหล่งค้นคว้าแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในที่น้ ี จะได้แบ่งเป็ นสามแหล่งหลัก ๆ คือแหล่ง ที่บนั ทึกในรู ปสื่ อสิ่ งพิมพ์ แหล่งที่บนั ทึกในรู ปสื่ ออิเล็คทรอนิคส์ และแหล่งที่ไม่ได้บนั ทึกเป็ นลาย ลักษณ์อกั ษร 46


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

3.2.1.1 แหล่ งทีบ่ ันทึกในรู ปสื่ อสิ่ งพิมพ์ เช่ น 1) วารสารรายคาบต่างๆ ซึ่ งปกติมีดชั นีคน้ หาในห้องสมุดทุกแห่ง ทั้งภาษาไทยและ ภาษาต่างประเทศ 2) ดัชนีการศึกษา เป็ นดัชนีวารสารที่ใช้กนั มาก มีรายชื่อวารสารทางการศึกษาถึงมาก กว่า 360 รายการ เป็ นดัชนี ที่พิมพ์ข้ ึนในปี ค.ศ.1929 เป็ นดัชนีวารสารรายเดือน และเย็บรวมเป็ นราย 3 เดือน รายปี ภายในจะบรรจุแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในรู ปของวารสารรายคาบเอกสารจากการสัมมนา หนังสื อรายปี หนังสื อข่าว บทความ และเอกสารทางราชการต่าง ๆ เกี่ยวกับการศึกษา 3) ดัชนีและบทคัดย่องานวิจยั ทางการศึกษาอื่นๆ ตัวอย่างเช่น Psychological Abstracts เป็ นเอกสารที่บรรจุบทคัดย่องานวิจยั ด้านจิตวิทยา ออกทุก 2 เดือน 4) Review & Educational Research (RER) เป็ นหนึ่งในแหล่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ปัญหาวิจยั ในหลายๆ หัวข้อและหลายๆ ประเด็น RER เป็ นวารสารรายเดือน จัดพิมพ์โดยสมาคมการวิจยั ทางการศึกษาของอเมริ กา (American Educational Research Association – AERA) 5) Encyclopedia of Educational Research (EER) เป็ นโครงการของสมาคมการวิจยั ทางการศึกษาของสหรัฐอเมริ กา บรรจุเรื่ องย่องานวิจยั ในการศึกษา ซึ่ งมีการประเมินเชิงวิพากษ์วจิ ารณ์ การสังเคราะห์ และการบูรณาการแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในหัวข้อเรื่ องเดียวกันให้ผอู ้ ่านได้อ่านด้วย 6) International Encyclopedia of Social Science สรุ ปว่าแหล่งแนวคิดทฤษฎีที่ เกี่ยวข้องทัว่ ๆ ไปที่อยูใ่ นรู ปสื่ อสิ่ งพิมพ์อื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น - Book Review Digest - Library Journal 3.2.1.2 แหล่ งทีบ่ ันทึกในรู ปสื่ ออิเล็กทรอนิกส์ แหล่งที่บนั ทึกในรู ปสื่ ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่ งต้องอาศัยคอมพิวเตอร์ ช่วยในการสื บค้น ซึ่ ง แหล่งข้อมูลประเภทนี้คือแหล่งฐานข้อมูลที่เก็บในรู ปอิเล็กทรอนิกส์ เป็ นฐานข้อมูลที่เรี ยกว่าไร้พรมแดน เนื่ องจากฐานข้อมูลที่เราเข้าไปใช้อาจอยู่ไกลถึ งคนละซี กโลก แหล่ งข้อมูลประเภทนี้ แบ่งได้เป็ น 2 ประเภท 1) ฐานข้ อมูลทีเ่ ก็บใน CD-Rom ซึ่ งมีสถาบันด้านวิชาการที่จดั ทาขึ้น แหล่งข่าวสารหรื อ ฐานข้อมูลในรู ปอิเล็กทรอนิกส์ที่จดั ทาในรู ปของ CD Rom ที่นิยมใช้กนั มากที่สุดได้แก่ฐานข้อมูลของ ERIC 47


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

2) แหล่ งค้ นคว้ าผ่ านเครือข่ ายอินเตอร์ เน็ต โดยอาศัย Browser และ Search Engine ต่า งๆ นอกจากนั้นยังมี เทคโนโลยีบ นอิ นเตอร์ เน็ ตที่ นามาใช้ป ระโยชน์ ใ นการวิจยั ได้ เช่ น จดหมาย อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) กลุ่มข่าว / กลุ่มสนใจ (News group / List serve) กระดานข่าว กระดานข้อมูล สาหรับคาถามที่มีผถู้ ามบ่อย ห้องสนทนา (Chat room) เป็ นต้น แหล่งข้อมูลบนเครื อข่ายอินเตอร์ เน็ต ส่ วนใหญ่จะแบ่งประเภทได้ 4 ประเภท ดังนี้ (1) แหล่งที่เปิ ดเป็ นสาธารณะ ผูท้ ี่เข้าไปในฐานข้อมูลสามารถถ่ายโอนข้อมูล จากฐานข้อมูลนั้น ๆ มาเก็บไว้ในฮาร์ ดดิสก์ หรื อฟล็อปปี้ หรื อซี ดีของเรา โดยที่เราจะสามารถศึกษาบน จอคอมพิวเตอร์หรื อพิมพ์เป็ นเอกสารเพื่อศึกษาภายหลังได้ (2) แหล่งที่เปิ ดเป็ นสาธารณะเหมือนประเภทแรก ผูท้ ี่เข้าไปในฐานข้อมูลจะ สามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลต่างๆ หรื อสิ่ งพิมพ์ที่ตอ้ งการได้ แต่ไม่สามารถถ่ายโอนข้อมูลเก็บไว้ได้เหมือน ดังประเภทแรก (3) แหล่งที่เปิ ดเป็ นสาธารณะแต่จะมีขอ้ มูลเพียงบางส่ วนที่เปิ ดให้เข้าไปศึกษา ถ่ายโอน หรื อสั่งพิมพ์ได้ แต่บางส่ วนต้องลงทะเบียนหรื อเป็ นสมาชิกจึงจะเข้าถึงข้อมูลได้ (4) แหล่งที่ นาเสนอข้อมูลข่าวสารเกี่ ยวกับแหล่ งข้อมูล ฐานข้อมูล และหรื อ เอกสารและแนวคิดทฤษฎี ที่เกี่ ยวข้องต่างๆ ซึ่ งอาจมีขอ้ มูลมาเสนอ แต่การจะได้ขอ้ มูลที่ ตอ้ งการ ต้อง สั่งซื้ อโดยสามารถสั่งซื้ อทั้งไปรษณี ย ์ ทางโทรศัพท์ และทางอินเตอร์ เน็ ต แหล่ งข้อมูลประเภทนี้ ส่วน ใหญ่ จ ะเป็ นสถาบัน ที่ มี บ ริ การให้ ค าปรึ กษา และองค์ ก รในลั ก ษณะที่ เ รี ยกว่ า ร้ า นขายหนั ง สื อ อิเล็กทรอนิ กส์ โดยที่หนังสื อที่ สั่งซื้ ออาจอยู่ในรู ปอิเล็กทรอนิ กส์ แต่ส่วนใหญ่ยงั คงอยู่ในรู ปเอกสาร สิ่ งพิมพ์ แหล่งข้อมูลประเภท (1)–(3) ส่ วนใหญ่จะเป็ นสถาบันการศึกษา องค์กรระหว่างประเทศ องค์กรที่ ให้บริ การสาธารณะด้า นวิช าการและวิช าชี พ ต่า งๆ ส่ วนประเภทสุ ดท้า ยถื อเป็ นสถาบันให้ คาปรึ กษาต่างๆ และ/หรื อร้านขายหนังสื ออิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ ตัวอย่างแหล่งข้อมูลดังกล่าว เช่น - ศู นย์ แหล่ งข้ อมูลข่ าวสารทางการศึ กษา (Educational Resources Information Center - ERIC) ERIC เป็ นศูนย์ขอ้ มูลข่าวสารระดับชาติของประเทศสหรัฐอเมริ กา ซึ่ งให้บริ การ เกี่ ยวกับรายงานและเอกสารทางการศึกษา มีที่ต้ งั ฐานข้อมูล (Clearing House) ทั้งหมด 21 แห่ งทัว่ ประเทศ แต่ละแห่งรับผิดชอบในด้านฐานข้อมูลแต่ละด้าน เช่น ในด้านการศึกษา ด้านประถมศึกษา และ เด็กในวัยแรกเริ่ ม ตั้งอยูท่ ี่เมืองเออร์ บานา ในรัฐอิลลินอยส์ ดัชนี วารสารทางการศึกษา (Current Index to Journals in Education) ซึ่ง ERIC จัดพิมพ์ข้ ึนจะมีชื่อที่ต้ งั ฐานข้อมูล ทั้งหมดของ ERIC - เครื อข่ ายข้ อมูลข่ าวสารของ AERA ซึ่ งมีฐานข้อมูลเกี่ยวกับการวิจยั ทางการศึกษา ตัวอย่างแหล่งแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่นาเสนอบนโฮมเพจของ AERA (http://www.aera.net) ดัง ภาพ ที่ 3 และ 4 48


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ภาพที่ 3 หน้าที่เข้าสู่ เอกสารที่มีอยูใ่ นเว็บไซต์ของสมาคม AREA*

ภาพที่ 4 หน้าในเว็บไซต์ของสมาคม AREA* *

http://www.area.net 49


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

3.1.2.3 แหล่งทีไ่ ม่ ได้ บันทึกเป็ นลายลักษณ์อกั ษร แหล่งแนวคิ ดทฤษฎี ที่เกี่ ยวข้อง บางครั้งไม่ได้อยู่ในรู ปที่มีการบันทึ กเป็ นลายลักษณ์ อักษร แต่อาจเป็ นรู ปภาพ สถานที่ สิ่ งของ หรื ออาจเป็ นบุคคล แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องประเภทนี้ อาจ ต้องอาศัยการตรวจสอบด้วยกระบวนการ หรื อเทคนิ คพิเศษ การใช้เครื่ องมือ การใช้วิธีการในการเก็บ รวบรวมสารสนเทศหรื อการบันทึกด้วยวิธีที่เฉพาะ ในกรณี ที่เป็ นบุคคล อาจต้องการการบันทึกภาพ การ สังเกต การสัมภาษณ์ เป็ นต้น 3.2.2 กระบวนการค้ นคว้าแนวคิดทฤษฎีทเี่ กีย่ วข้ องบนอินเตอร์ เน็ต ดังได้กล่าวแล้วว่า ปั ญหาในการค้นคว้าแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่พบกันบ่อยๆ คือการ ค้นมากเกินไป การใช้แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องมาอ้างอิงมากเกินไป จะทาให้การค้นจบไม่ลง ดังนั้นต้อง ประเมินคาถามวิจยั ของตนเองว่าคืออะไร และใช้แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องอ้างอิงในขอบเขตที่จากัดตาม คาถามวิจยั วิธีน้ ีจะช่วยจากัดขอบเขตและเวลาที่ใช้ในการค้นหาได้ ปั ญหาการค้นแนวคิดทฤษฎีที่ เกี่ยวข้องได้มากเกินไปนี้เป็ นปั ญหาสาคัญพอๆ กับที่คน้ ได้นอ้ ยเกินไปจนไม่สามารถให้ภาพและทิศทาง ของการดาเนินงานได้พอเพียง กระบวนการที่จะช่วยให้มีการทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องอย่างมีความหมาย ต้อง การกาหนดจุดมุ่งหมายในการค้น การใช้คาถามวิจยั เป็ นเครื่ องนาทางในการค้นทุกครั้งที่ใช้คอมพิวเตอร์ ค้นฐานข้อมูลและวางแผนกาหนดเวลาที่ใช้คน้ ไว้ล่วงหน้า จะช่วยให้ได้แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่ตรง ประเด็นด้วยเวลาที่เหมาะสม จากนั้น ค าถามคื อจะเริ่ ม ที่ ใ ด วิ ธี ที่ ดี ที่ สุ ด อาจเริ่ ม จากการอ่ า นบทคัดย่อในวารสาร เพื่อให้ได้ภาพทัว่ ๆ ไปของแนวคิ ดทฤษฎี ที่เกี่ ยวข้องที่มีอยู่ก่อน จากนั้นอาจเริ่ มที่ แหล่ งทัว่ ๆไป เช่ น หนังสื อ งานวิจยั และค้นต่อจากบรรณานุ กรมหรื ออาจใช้วิธีการหลายๆ วิธี หรื ออาจเริ่ มจากอินเตอร์ เน็ต เข้าไปที่ฐานข้อมูลต่างๆ ค้นคว้าหาแนวคิดทฤษฎี ที่เกี่ ยวข้องล่าสุ ดแล้วย้อนกลับไปหาแนวคิดทฤษฎี ที่ เกี่ ยวข้องที่เก่ากว่าหรื อแนวคิ ดทฤษฎี ที่เกี่ ยวข้องประเภทคลาสสิ ค ซึ่ งผูท้ าการวิจยั ในเรื่ องนั้น หรื อใน ขอบเขตนั้น ๆ ใช้เป็ นแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องหลักในการอ้างอิง เช่น ถ้าพูดถึงการวิจยั แนวคิดทฤษฎีที่ เกี่ยวข้องคลาสสิ คในเรื่ องการวิจยั คืองานเขียนของ Kerlinger เป็ นต้น การวางแผนการค้นและการศึกษาแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ด้วยการใช้แหล่งข้อมูลใน ลักษณะที่เป็ นระบบและมีโครงสร้าง จะช่วยผูว้ ิจยั ให้ใช้เวลาอย่างมีประสิ ทธิ ภาพมากที่สุด การพัฒนา กลยุทธ์ในการค้นเป็ นสิ่ งที่สาคัญ เนื่องจากทาให้สามารถพัฒนาโครงสร้างสาหรับการค้น และการบันทึก ประวัติการค้นของผูว้ จิ ยั ได้ การจัดระบบอย่างดีจะช่วยทั้งในการพัฒนาแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องตาม หัวข้อที่กาหนด และทั้งในกรณี ที่ผวู ้ จิ ยั ต้องมีการปรับเปลี่ยนหัวข้อหรื อประเด็นของการวิจยั ขั้นตอนที่ แนะนามีดงั นี้ 50


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

3.2.2.1 ระบุสารสนเทศที่ตอ้ งการในรู ปของคาถาม 3.2.2.2 แยกสารสนเทศที่ตอ้ งการออกเป็ นส่ วนย่อย ๆ 3.2.2.3 ระบุและจัดลาดับคาหลักที่สาคัญๆ และคาที่มีความหมายเหมือนกัน หรื อคล้าย กัน 3.2.2.4 ลงมือค้นและศึกษาสารสนเทศ 3.2.2.5 การบริ หารจัดการหรื อการจัดลาดับสารสนเทศ 3.2.2.6 จัดลาดับแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 3.2.2.1 การระบุสารสนเทศที่ต้องการในรู ปของคาถาม เป็ นการระบุรายการสารสนเทศ ที่ตอ้ งการเป็ นลายลักษณ์อกั ษร เป็ นขั้นตอนที่ช่วยให้ผวู ้ จิ ยั ได้ใช้เวลาคิดใคร่ ครวญว่า ต้องการสารสนเทศ ในเรื่ องอะไรบ้าง และแนวคิดหลักหรื อคาหลักสาหรับการวิจยั นี้ คืออะไร สารสนเทศ แนวคิด และลง ท้ายด้วยคาหลัก จะช่วยในการค้นคว้าแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้ตรงเป้ าหมายที่ตอ้ งการได้อย่างดี อาจ เริ่ มด้วยการเปิ ดพจนานุ กรมหรื อสารานุ กรม เพื่อการทาความกระจ่างในหัวข้อหรื อปั ญหาวิจยั และตัว แปรต่างๆ ที่ตอ้ งการศึกษา จากนั้นจึงทารายการคาหลัก และคาที่มีความหมายเหมือนกันหรื อคล้ายคลึ ง กัน 3.2.2.2 แยกสารสนเทศทีต่ ้ องการออกเป็ นส่ วนย่ อย ๆ จากหัวข้อหรื อชื่อเรื่ องและที่จะ ทา ซึ่ งควรสะท้อนให้เห็นตัวแปรที่ตอ้ งการศึกษานั้น ผูว้ จิ ยั ควรวิเคราะห์แลระบุถึงแนวคิดและคาหลักที่ สาคัญๆ ได้ อาจใช้ทาแผนที่ทางแนวคิด ดังภาพที่ 5 ตัวแปรที่ ประเมิน 1

ตัวแปรที่ ประเมิน 2

ชุมชน

ตัวแปรที่ ประเมิน 3

ตัวแปรที่ ประเมิน 1

ผู้ปกครอง

ตัวแปรที่ ประเมิน 1

ตัวแปรที่ ประเมิน 1

ตัวแปรที่ ประเมิน 1

ตัวแปรที่ ประเมิน 1

ตัวแปรที่ ประเมิน 1

เพือ่ น นักเรียน

การประเมินตามสภาพจริง

ครู สถาบันอื่นใน ชุมชน ตัวแปรที่ ประเมิน 1

ตัวแปรที่ ประเมิน 1

ตัวนักเรียน

ตัวแปรที่ ประเมิน 1

ตัวแปรที่ ประเมิน 1 ตัวแปรที่ ประเมิน 1

ภาพที่ 5 โครงสร้างและระบบการประเมินตามสภาพจริ ง 51


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตัวอย่างในภาพที่ 5 เป็ นการแยกสารสนเทศที่ตอ้ งการออกเป็ นสารสนเทศย่อยๆ หรื อ จากตัวแปรรวมเป็ นตัวแปรย่อยๆ ในการวิจยั เพื่อศึกษารู ปแบบการประเมินคุณลักษณะที่ตอ้ งการของ นักเรี ยนตามสภาพจริ ง 3.2.2.3 ระบุและจัดลาดับคาหลักทีส่ าคัญ ๆ และคาทีม่ ีความหมายเหมือนกันหรือ คล้ ายกัน ตอนนี้ ผูว้ ิจยั อาจต้องระบุคาหลักและคาที่มีความหมายเหมือนหรื อคล้ายกับคาหลัก รวมทั้ง แนวคิ ดที่ ไ ด้พ ฒ ั นาขึ้ น ควรเลื อกค าที่ บ รรยายถึ ง หัว ข้อ ที่ น ามาศึ ก ษาได้ ท ารายการค าหรื อแนวคิ ด เหล่านั้นไว้ รวมทั้งรายการคาหรื อแนวคิ ดที่ไม่ตอ้ งการด้วย อาจต้องคิดถึ งขอบเขตของสาขาวิชา และ ฐานข้อมูลที่จะค้น เนื่องจากอาจให้รายการคาหลักที่จะใช้ในการค้นเพิ่มเติม 3.2.2.4 ลงมือค้ นและศึกษาสารสนเทศ แม้ว่า ในปั จ จุ บ ัน มี แ หล่ ง สารสนเทศ และ ฐานข้อมูลที่สะดวกในการค้นทั้งที่เป็ นเอกสารในห้องสมุดของสถาบันต่างๆ และในเว็บ แต่เอกสาร อิเล็กทรอนิ กส์ ส่วนใหญ่ อาจไม่ใช่ เอกสารที่สมบูรณ์ บางครั้งมีเพียงรายการชื่ อเอกสาร ชื่ อผูเ้ ขียน หรื อ บางครั้งมีแต่บทคัดย่อ หรื อรายงานย่อ ซึ่ งอาจใช้ได้ในการให้แนวคิดหลักๆ หรื อคาหลักที่ตอ้ งการ แต่ การนามาอ้างอิงต้องการเอกสารที่เป็ นตัวรายงาน รายการคาถามต่อไปนี้ เป็ นเครื่ องช่วยในการตัดสิ นใจเลือกแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่ จะศึกษา 1. มีการระบุปัญหาวิจยั หรื อไม่ 2. ระบุได้ชดั เจนหรื อไม่ 3. ปั ญหานี้ควรศึกษาด้วยวิธีที่มีประสิ ทธิ ผลดีกว่านี้หรื อไม่ 4. งานวิจยั นี้เป็ นงานวิจยั ในประเภทใด 5. ผูว้ จิ ยั ใช้กรอบแนวคิดทฤษฎีดา้ นใด 6. มีความสัมพันธ์อย่างไรระหว่างกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีและกรอบแนวคิดการวิจยั 7. แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่นาเสนอเกี่ยวข้องกับหัวข้อวิจยั หรื อไม่ มีแนวคิดทฤษฎี ที่เกี่ยวข้องใดที่ผเู ้ ขียนไม่เห็นด้วย 8. การออกแบบการวิจยั มีลกั ษณะอย่างไร มี ความถูกต้องหรื อไม่ มี คุณภาพหรื อไม่ สอดคล้องกับปั ญหาวิจยั หรื อไม่ มีการสรุ ปผลได้ตรงตามข้อค้นพบหรื อไม่ 9. มีลกั ษณะของความลาเอียงหรื ออคติในการนาเสนอหรื อไม่ 52


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

10. มีโครงสร้างของการอภิปรายอย่างไรบ้าง ถ้านามาเขียนเป็ น flow chart จะเห็นถึง ความสมเหตุสมผลของการอภิปรายหรื อไม่ 11. งานวิจยั หรื องานเขียนนี้ มีประโยชน์ในการให้ความเข้าปั ญหาที่ศึกษา มีประโยชน์ ทางปฏิบตั ิ มีจุดเด่น หรื อข้อจากัดตรงใด 12. มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กบั งานวิจยั หรื อคาถามเชิงวิจยั ที่จะพัฒนาขึ้นหรื อไม่ 3.2.2.5 การบริหารจัดการหรือการจัดลาดับสารสนเทศ สารสนเทศที่อ่าน และจดบันทึก อาจบันทึกลงในบัตรบันทึก จัดทารายการสารสนเทศ และรายการอ้างอิง หรื ออาจเก็บในคอมพิวเตอร์ จัดระบบเนื้ อหาตามหมวดหมู่ สิ่ งที่ให้ความสะดวกใน การค้น และนามาใส่ ในส่ วนอ้างอิง ไม่วา่ จะเก็บในลักษณะที่เป็ นเอกสารที่เขียนบันทึกหรื อสิ่ งพิมพ์ หรื อ เอกสารอิเล็กทรอนิ กส์ คื อ การเขียนรายละเอียดเอกสารที่อ่านและบันทึก ในรู ปแบบที่สามารถนาไป พิม พ์หรื อเพิ่ ม เติ ม เป็ นบรรณานุ ก รมหรื อเอกสารอ้า งอิ ง ท้า ยรายงานวิจยั ได้ท นั ที โดยมี รายละเอี ย ด เกี่ยวกับชื่ อผูเ้ ขียนและอื่นๆ ในรู ปแบบที่ถูกต้องตามรู ปแบบของการอ้างอิงในบรรณานุ กรม ทั้งนี้ จะทา ให้สะดวกในการค้นหาได้ง่ายเมื่อต้องการใช้ 3.2.2.6 จัดลาดับแนวคิดทฤษฎีทเี่ กีย่ วข้ อง การจัดลาดับแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่คน้ มาได้ให้อยูเ่ ป็ นหมวดเป็ นหมู่หรื อในลาดับที่ หรื อตาแหน่งที่ที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้ 1) ทาความเข้าใจ และทาให้กระจ่างถึงความสัมพันธ์ระหว่างงานวิจยั ที่จะทาและ ขอบเขตด้านวิชาการที่เกี่ยวข้อง 2) พิจารณาความพอเพียงของแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ต่องานวิจยั ที่จะทา 3) ทาความเข้าใจถึงสารสนเทศที่ได้มา และความความสัมพันธ์กบั งานวิจยั การอ่านแนวคิดทฤษฎี ที่เกี่ ยวข้องในงานวิจยั จะนาไปสู่ การนาเสนอแนวคิ ดทฤษฎี ที่ เกี่ยวข้องที่ครอบคลุมสิ่ งที่ตอ้ งการศึกษาและแสดงถึงความสามารถของผูว้ จิ ยั ในการย่อยสารสนเทศ ด้วย ความรู ้และความเข้าใจในเรื่ องที่อ่านและที่จะศึกษา รวมทั้งความสามารถในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ ของผูว้ จิ ยั ได้เป็ นอย่างดี การจะเขียนส่ วนของการทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้ดี อย่างน้อยต้องมี กระบวนการดังนี้ 1) บันทึกสิ่ งที่ได้อ่านให้สมบูรณ์และถูกต้องที่สุด 2) สรุ ปงานที่อ่านทุกชิ้น 3) วิเคราะห์สิ่งที่อ่านได้ในรู ปของภาพรวม 4) ใช้ความเข้าใจของตนเองในการบันทึก แทนการลอกคาพูดของผูเ้ ขียน นอกจาก ประเด็นหรื อข้อความที่ตอ้ งการนามาอ้างโดยใช้ขอ้ ความของผูเ้ ขียนทั้งหมด 53


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

5) แบ่งหัวข้อที่เขียนออกเป็ นเรื่ องย่อยๆ และจัดหมวดหมูแ่ ละลาดับตามเรื่ องย่อย 6) เลือกอ่านงานที่เป็ นปั จจุบนั หรื อใกล้กบั ปั จจุบนั ให้มากที่สุด การอ่านแนวคิดทฤษฎี ที่เกี่ ยวข้องทั้งหมด จะช่ วยให้สามารถพัฒนาแนวคิดหลักๆ ใน เรื่ องต่อไปนี้ได้ 1) 2) 3) 4) 5) 6)

ขอบเขตของหัวข้อเรื่ อง จุดมุ่งหมายของการวิจยั การกาหนดกรอบผูใ้ ช้งานวิจยั ระยะเวลาในการวิจยั เท่าไร ขอบเขตของการวิจยั ทั้งในด้านเนื้ อหา ตัวแปร และพื้นที่เพียงไร สาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง

และช่วยในการออกแบบวิจยั และแนวทางการวิจยั ต่อไป

3.3 หลักการเขียนแนวคิดทฤษฎีทเี่ กีย่ วข้ อง ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าการทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องเป็ นการให้ภูมิหลังและบริ บท สาหรับปัญหา/คาถาม/สมมติฐานวิจยั การทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ควรแสดงถึงความรู้จริ งของ ผูเ้ ขียนที่มีต่อเรื่ องที่ตอ้ งการศึกษา และเป็ นฐานข้อมูลสาหรับองค์ประกอบต่างๆ ที่ตอ้ งการสารสนเทศ จากการทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้แก่องค์ประกอบในงานวิจยั ต่อไปนี้ 1) ปัญหาวิจยั 2) สมมติฐานวิจยั 3) ขอบเขตในการวิจยั 4) การนิยามศัพท์ที่เกี่ยวข้อง 5) กรอบแนวคิดทฤษฎีในการวิจยั 6) โครงสร้างเนื้อหาของเครื่ องมือ หลังจากการทบทวนวรรณกรรมได้ครบถ้วน จนสามารถดาเนินงานวิจยั ได้ นาเสนอเนื้ อหาในส่ วนนี้ในรายงานวิจยั ช่วยให้เกิดผลต่องานวิจยั ดังนี้

การ

1) ผูอ้ ่านได้มีส่วนร่ วมรับรู ้ถึงผลการวิจยั อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กบั งานวิจยั ที่ ที่กาลังอ่าน และสามารถเชื่อมโยงการวิจยั เรื่ องที่อ่านกับการวิจยั อื่นๆ ที่ เกี่ยวข้อง ทาให้ภาพของสิ่ งที่คน้ พบในการวิจยั มีความสมบูรณ์ข้ ึน 54


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

2) เป็ นฐานหรื อกรอบสาหรับผูอ้ ่านในการประเมินคุณค่า และความน่าเชื่อถือ ของงานวิจยั ที่ทา และในขณะเดียวกัน สามารถใช้เป็ นสิ่ งเปรี ยบเทียบผล ของการศึกษาที่จะเกิดขึ้นกับผลของการศึกษาอื่นๆ ที่นามาเสนอ 3) แสดงถึงความน่าเชื่ อถือของผูว้ จิ ยั ในแง่ของการแสดงให้เห็นว่ามีความรู ้และ เข้าใจในสิ่ งที่ศึกษา การเขียนแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวข้องกับสิ่ งต่อไปนี้ 3.3.1 โครงสร้ างเนือ้ หาที่นาเสนอ โครงสร้างของเนื้ อหาในส่ วนนี้ ประกอบด้วย องค์ประกอบ 3 ส่ วน 3.3.1.1 ส่ วนนา ส่ วนนาประกอบด้วยหัวข้อหรื อประเด็นของเนื้อหาที่นามาเสนอเพื่อ ให้เห็นโครงสร้างและภาพรวมของแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่นาเสนอ 3.3.1.2 ส่ วนเนือ้ หา ในภาพรวม ส่ วนเนื้ อหามีการพัฒนาขึ้นจากการประเมินเนื้อหาของ แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่ได้คน้ มา ตรวจสอบและนามาใช้เฉพาะส่ วนที่ตรงประเด็นกับตัวแปรที่ศึกษา และนามาเขียนในเชิงของสิ่ งที่ได้พบจากการค้นคว้า การสรุ ป เนื้อหาในส่ วนนี้ ควรประกอบด้วย องค์ประกอบดังนี้ 1) ภาพรวมตามประเด็นที่ศึกษา แนวคิด หรื อทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรที่ศึกษา 2) เนื้อหาที่แบ่งเป็ นส่ วนตามประเภท 3) การวิพากษ์วจิ ารณ์ในแง่ของความคล้ายคลึง ความแตกต่างหรื อความขัดแย้งกัน ของงานที่นามาเสนอ 4) สรุ ปให้เห็นภาพว่าเนื้ อหาหรื อข้อความใดที่นามาเสนอที่มีความเกี่ยวข้องกับ งานวิจยั ที่ทามากที่สุด หรื อที่ผวู ้ จิ ยั จะนาไปใช้เป็ นฐานในการวิจยั ครั้งนี้ นาไปเป็ น ฐานในการสร้างกรอบแนวคิดในการวิจยั ครั้งนี้ 3.3.1.3 ส่ วนสรุ ป เป็ นส่ วนที่ควรบรรยายให้เห็นภาพของความสัมพันธ์ของงานวิจยั ที่มีผทู้ ามาแล้ว หรื อวิธีการใหม่ ๆ ในการแปลความหมาย การค้นคว้าหาสิ่ งที่ยงั มีช่องว่างอยู่ บรรยายถึง แนวทางในการแก้ปัญหาความขัดแย้งหรื อความไม่สอดคล้องกันของการวิจยั ที่ผา่ นมา ระบุกรอบแนวคิด ในการวิจยั ชี้ให้เห็นสิ่ งที่ควรมีการวิจยั ต่อหรื อเพิ่มเติมและแสดงให้เห็นว่าไม่ได้เสี ยเวลาทาวิจยั ซ้ าในสิ่ ง ที่มีผทู ้ ามาแล้วโดยไม่จาเป็ น กล่าวโดยสรุ ป เนื้ อหาที่เขียนควรมีลกั ษณะดังนี้ 1) นาเสนอทฤษฎี หลักการ บทความ แนวความคิดที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรที่จะศึกษา 2) นาเสนอผลงานวิจยั ที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรที่จะศึกษาว่ามีขอ้ ค้นพบอะไรบ้าง 55


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

3) เขียนในลักษณะสรุ ปย่อใจความเป็ นภาษาของผูว้ จิ ยั ให้เชื่ อมโยงต่อกันตลอดทั้ง เรื่ อง 4) วิเคราะห์ให้เห็นความต่อเนื่ องหรื อความขัดแย้งของแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่ นามาเสนอ 5) สังเคราะห์แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องและนาเสนอเป็ นกรอบแนวคิดหรื อรู ปแบบการ วิจยั 3.3.2 การตรวจสอบคุณภาพของการทบทวนแนวคิดทฤษฎีทเี่ กีย่ วข้ อง เมื่อเขียนส่ วนทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องแล้ว การประเมินคุณภาพของสิ่ งที่เขียน ควรคานึงถึงสิ่ งต่อไปนี้ 3.3.2.1 ส่ วนทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องแสดงถึงความเข้าใจของผูว้ จิ ยั ต่องานวิจยั 3.3.2.2 กรอบแนวคิดในการวิจยั สอดคล้องกับการทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 3.3.2.3 ได้แสดงให้เห็นถึงการสังเคราะห์แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่นาเสนอเป็ นกรอบ แนวคิดในการวิจยั 3.3.2.4 นิยามศัพท์หรื อตัวแปรที่ศึกษาแสดงถึงการสังเคราะห์จากแนวคิดทฤษฎีที่ เกี่ยวข้องที่นาเสนอ 3.3.2.5 นาผลการทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องไปใช้ในการอภิปรายและสรุ ปผล 3.3.2.6 ส่ วนทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องช่วยให้ผอู ้ ่านเข้าใจและมีความรู ้เกี่ยวกับ ตัวแปรที่ศึกษา 3.3.2.7 อ้างถึงทฤษฎีและผลการวิจยั ที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอและตรงกับเรื่ อง 3.3.2.8 การจัดลาดับเรื่ องเป็ นไปอย่างเหมาะสม 3.3.2.9 มีการสรุ ป/สังเคราะห์เป็ นกรอบการวิจยั 3.3.2.10 เนื้อหาและขอบเขตที่นาเสนอ ครอบคลุมแนวคิดและสารสนเทศเกี่ยวกับตัว แปรสาคัญ ๆ ที่นามาศึกษา 3.3.3 การเขียนส่ วนทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกีย่ วข้ องในการวิจัย คาถามหลักในการพิจารณาก่อนเขียนคือ 1) ทาไมจึงศึกษาปั ญหาวิจยั นี้ 2) งานวิจยั ที่จะศึกษามีประโยชน์อย่างไรบ้าง 3) ควรใช้แบบแผนการวิจยั อย่างไร 4) เรารู้เรื่ องอะไรแล้วบ้าง 5) ลักษณะของแนวคิดหรื อตัวแปรที่สาคัญคืออะไรบ้าง 56


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

6) แนวคิดหรื อตัวแปรดังกล่าวมีความสัมพันธ์กนั อย่างไร 7) ทฤษฎีเกี่ยวกับตัวแปรที่จะศึกษาเป็ นอย่างไรบ้าง 8) สิ่ งใดที่ยงั ขาดความรู ้หรื อขาดความเข้าใจ 9) ยังต้องการทดสอบหรื อหาข้อสรุ ปในแนวคิดในเรื่ องใดเพิ่มอีกบ้าง 10) มีหลักฐานใดบ้างที่ยงั ขาดอยู่ ยังมีความขัดแย้งกันหรื อยังมีขอ้ จากัด คาตอบที่กระจ่างชัดเจน และกิจกรรมเพิ่มเติมที่อาจต้องทาหลังจากตอบ จะช่วยให้เขียนแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้ชดั เจน ครอบคลุม และมีคุณภาพมากขึ้น หลักการเขียนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องมี ดังนี้ 3.3.3.1 พิจารณาให้ รอบคอบในการเลือกตัวอย่าง แนวคิดทฤษฎี ที่เกี่ยวข้องที่นามา ศึกษา วิธีการคือต้องเลือกที่ตรงกับปั ญหา และตรงประเด็น เลือกอ้างอิงเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่ อง ระบุจุดสาคัญอย่างชัดเจนและไม่เยิน่ เย้อ เน้นในส่ วนที่ไม่ลงรอยกัน และสะท้อนถึงประเด็นที่สาคัญ ๆ 3.3.3.2 แนวคิดทฤษฎีที่เกีย่ วข้ องที่นามาเสนอต้ องคัดสรรและสาคัญ ต้องอภิปราย ให้กระจ่างว่าปั ญหาวิจยั คืออะไร และมีการทาอะไรไปบ้าง โดยแสดงให้เห็นว่างานที่ทามาก่อนหน้านี้ ต้องมีการศึกษาต่อไปเพราะเหตุใด 3.3.3.3 ไม่ ควรเขียนเพียงเพื่อนาเสนอข้ อมูลหรือข้ อเท็จจริง แต่เป็ นไปเชิงการวิพากษ์ วิจารณ์และการประเมินค่า การเขียนต่อ ๆ กันมาโดยปราศจากหลักฐานว่าท่าน ได้อ่านและมีความเห็น อย่างไร ทาให้แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่นามาเสนอปราศจากคุณค่าต่อโครงการวิจยั 3.3.3.4 หลีกเลีย่ งการใช้ ข้อความทีแ่ สดงว่ามีการทาในเรื่องนีน้ ้ อยมากหรื อว่าสิ่ งที่ทา มาแล้วในเรื่ องนี้มีข้ ึนกว้างขวางมากจนเกินที่จะสรุ ปผลได้ง่ายๆ การพูดในลักษณะนี้ทาให้เกิดความ เข้าใจว่าผูเ้ ขียนไม่ได้ทาความเข้าใจกับเรื่ องนี้ได้อย่างเพียงพอ 3.3.3.5 การอภิปรายถึงงานทีผ่ ้ อู นื่ ทาจะนาทางให้ผอู ้ ่านมีความเข้าใจกระจ่างว่ามีอะไร ที่ ท าไปแล้ว และงานที่ อ่ า นต่ า งจากของผูอ้ ื่ น อย่า งไร ที่ ส าคัญ คื อ ต้อ งแสดงให้ เห็ นว่า มี เ หตุ ก ารณ์ อะไรบ้างที่เปลี่ยนไปตั้งแต่งานวิจยั ในแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง และมีอะไรที่เป็ นเอกลักษณ์เฉพาะใน ด้านแนวคิด หลักการและทฤษฎี รวมทั้งเวลาและสถานที่สาหรับโครงร่ างวิจยั ที่นาเสนอ 3.3.3.6 การกาหนดกรอบแนวคิด เป็ นส่ วนที่นาเสนอหลังจากการได้ทบทวนแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องของผูอ้ ื่น ผูว้ จิ ยั จะต้องให้กรอบแนวคิดในการวิจยั ของตนในครั้งนี้ เป็ นการแสดง แนวคิดของตนเอง เป็ นส่ วนที่ผเู ้ ขียนจะแสดงถึงการบูรณาการในสิ่ งที่ได้ทบทวนมาแล้วนามา สร้างเป็ น กรอบการวิจยั หรื อโมเดลของตนเองในการวิจยั ที่จะทา พร้อมทั้งแสดงถึงทฤษฎีหรื อแนวคิดที่ใช้ในการ 57


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

วิจยั พร้อมทั้งให้เหตุผลว่าทาไมทฤษฎีแนวคิดดังกล่าวนาไปสู่ สมมติฐานหรื อคาถามวิจยั และอย่างไร กรอบแนวคิดที่นาเสนอมีจุดเด่นจุดด้อยอย่างไร การทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องอย่างดีและครอบคลุมปัญหาและหัวข้อวิจยั จะ นาไปสู่ การกาหนดกรอบแนวคิดในการวิจยั ซึ่ งจะนาไปสู่ การกาหนดเนื้อหาหรื อโครงสร้างในการสร้าง เครื่ องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้เครื่ องมือที่มีความตรงในการนาไปใช้วดั ตัวแปรที่เกี่ยวข้องได้ครบถ้วน 3.3.4 ความสั มพันธ์ ของแนวคิดทฤษฎีทเี่ กีย่ วข้ องและองค์ ประกอบอืน่ ของงานวิจัย การทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องนั้น ต้องการสารสนเทศเพื่อนาไปออกแบบ งานวิจยั ให้มีคุณภาพทั้งในด้านความตรง และความเที่ยง การที่งานวิจยั ชิ้นใดชิ้นหนึ่ง จะเป็ นอย่างนั้นได้ เนื้อหาในส่ วนทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องต้องมีลกั ษณะดังนี้ 3.3.3.1 ครอบคลุมตัวแปรสาคัญทุกตัวที่นามาศึกษา 3.3.3.2 ช่วยให้ผวู ้ จิ ยั สามารถนิยามศัพท์ โดยเฉพาะอย่างยิง่ การนิยามตัวแปรที่จะวัด 3.3.3.3 ช่วยให้ผวู ้ จิ ยั กาหนดขอบเขตการวิจยั 3.3.3.4 เป็ นข้อมูลในการกาหนดแนวคิดในการวิจยั 3.3.3.5 เป็ นข้อมูลในการกาหนดสมมุติฐาน 3.3.3.6 ช่วยในการออกแบบการวิจยั ทั้งในด้าน ตัวแปรที่ศึกษา การวัดตัวแปรทั้งใน ด้านเครื่ องมือและวิธีการ ประชากร และการวิเคราะห์ขอ้ มูล 3.3.3.7 เป็ นข้อมูลในการอภิปรายข้อค้นพบหรื อผลการวิจยั และการให้ขอ้ เสนอแนะ ในการวิจยั โดยใช้เป็ นสารสนเทศเพื่อการเปรี ยบเทียบกับผลการวิจยั ตาม ทฤษฎี หลักการ และผลการวิจยั ของผูอ้ ื่นที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นในขั้นตอนของการวิจยั การวางแผนการวิจยั ในด้าน วัตถุประสงค์ เป้ าหมาย การ นิยามศัพท์ การกาหนดขอบเขตวิจยั การกาหนดแบบแผนวิจยั และการดาเนินงานวิจยั จะดาเนินการได้ อย่างมีคุณภาพ มีความเป็ นไปได้ ส่ วนสาคัญอยูท่ ี่การตรวจสอบแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้ น และการ จะประเมินคุณภาพงานวิจยั ส่ วนหนึ่ง พิจารณาได้จากความสอดคล้องของส่ วนต่างๆ ที่ได้กล่าวในข้อ 3.3.3.1-3.3.3.7 ต่อเนื้อหาในส่ วนการทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง และพิจารณาได้จากร่ องรอยการ นาแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่นาเสนอในส่ วนนี้ไปใช้ในการวิจยั

3.4 ตัวอย่ างการเขียนแนวคิดทฤษฎีทเี่ กีย่ วข้ องในการวิจัย ตัวอย่างที่ 3.4.1 : เป็ นตัวอย่างจากการเขียนโครงร่ างวิจัย ของ กนิษฐา แสนแก ชื่อ การ ปรับแต้มเฉลี่ยสะสมระดับมัธยมศึกษาตอนปลายด้วยคะแนนความถนัดทางการเรี ยน : การเปรี ยบ 58


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เทียบระหว่างวิธีการปรับเทียบแบบอีควิเปอร์ เซ็นไทล์, เชิงเส้นตรงและไออาร์ที โดยเขียนในรู ปของ กรอบแนวคิดทฤษฎี เนื้อหาประกอบด้วยทฤษฎีที่เกี่ยวข้องและตัวแปรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่ งผูเ้ ขียนได้ นามาเสนอครบทุกหัวข้อ แต่ได้ตดั ข้อความบางส่ วนออกเพื่อให้ส้ นั เหมาะกับการนาเสนอ และได้เห็น ภาพรวมของการทบทวนแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 3.4.1.1 กรอบแนวคิดทฤษฎี ในการวิจยั ครั้งนี้ ผูว้ ิจยั ได้วางกรอบแนวคิดจากการศึกษาค้นคว้าทฤษฎีและเอกสาร ทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง ซึ่ งจะเสนอตามลาดับ ดังนี้ 1. ทฤษฎีการเรี ยนรู้แบบปัญญานิยมของพีอาเจย์ 2. ความถนัดทางการเรี ยน 3. ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน 4. การปรับเทียบคะแนน 5. การปรับเทียบแบบอีควิเปอร์ เซ็นไทล์ 6. การปรับเทียบเชิงเส้นตรง 7. การปรับตามทฤษฎีการตอบสนองข้อสอบ 1) ทฤษฎีการเรี ยนรู้แบบปัญญานิยมของพีอาเจย์ พีอาเจย์เชื่ อว่า คนเราทุกคนตั้งแต่เกิดมามีความพร้อมที่จะปฏิสัมพันธ์กบั สิ่ งแวดล้อม และปฏิสัมพันธ์น้ ีทาให้เกิดการเรี ยนรู ้ องค์ประกอบที่ช่วยเสริ มสร้างการเรี ยนรู้ คือ วุฒิภาวะ (Maturation) ประสบการณ์ (Experience) การถ่ายทอดความรู ้ทางสังคม (Social Transmission) และการควบคุมพฤติกรรมของตนเอง (Self – regulation) พัฒนาการของนักเรี ยนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะอยูใ่ นขั้นที่ 4 (Formal Operations) … 2) ความถนัดทางการเรี ยน (Scholastic Aptitude Test) จากการศึกษาเกี่ยวกับ ความถนัด (Aptitude) สรุ ปได้วา่ ความถนัด หมายถึง ความสามารถที่บุคคลได้รับประสบการณ์ ฝึ กฝนตนเอง และมีการสั่งสมไว้มากจนเกิดเป็ นทักษะ พิเศษเด่นชัดด้านใดด้านหนึ่ง พร้อมที่จะปฏิบตั ิกิจกรรมด้านนั้นได้อย่างดี (Warren, 1934; English and English, 1961; Cronbach, 1963; Brown, 1970 อ้างถึงใน ล้วน สายยศ, 2527) ความถนัดเป็ นผลจากสิ่ งแวดล้อม การฝึ กอบรม ประสบการณ์เรี ยนรู ้และ …

59


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ดังนั้น ความถนัดทางการเรี ยน (Scholastic Aptitude) หมายถึง สมรรถภาพทางสมอง ที่เกิดจากการฝึ กฝนมาตั้งแต่อดีต … แบบสอบวัดความถนัดทางการเรี ยน (Scholastic Aptitude Test) หรื อ SAT เป็ น เครื่ องมือวัดความฉลาดหรื อเชาว์ปัญญา เป็ น… 3) ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน (Academic Achievement) ผลสัมฤทธิ์ (Achievement) หมายถึง ผลสาเร็ จที่เกิดจาการปฏิบตั ิงานอย่างใดอย่าง หนึ่งที่อาศัยความพยายามทั้งร่ างกายและสมอง (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่ งชาติ, 2527 อ้างถึงใน สุ ขมุ มูลเมือง, 2539) นอกจากนั้น กรมวิชาการ (2537) ได้ให้นิยามผลสัมฤทธิ์ วา่ … โดยเฉพาะผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนตามกรอบทฤษฎีของ Bloom ประกอบด้วยผลด้านพุทธิพิสัย … แต้มเฉลี่ยสะสมระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของนักเรี ยนแต่ละคนคานวณจากผลการ เรี ยนในทุกวิชาตลอดหลักสู ตร… งานวิจยั ที่เกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรี ยนและความถนัดทางการเรี ยน มีดงั นี้ นงลักษณ์ ประเสริ ฐ (2516) ได้ศึกษาองค์ประกอบที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการ เรี ยนชั้นมัธยมศึกษาพบว่ามี 3 ด้าน คือ … ชาติชาย สุ ภสร (2531) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย ความถนัดทางการเรี ยน แรงจูงใจใฝ่ สัมฤทธิ์ นิสัยในการเรี ยนและทัศนคติ ในการเรี ยนกับคะแนนสอบคัดเลือกเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ของนักเรี ยนใน โรงเรี ยนสังกัดสามัญศึกษา จังหวัดอุบลราชธานี พบว่า … จากงานวิจยั ดังกล่าวมา สามารถสรุ ปได้วา่ ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนและความถนัด ทางการเรี ยน มีความสัมพันธ์กนั สู งและมีทิศทางบวก แต่มีความแตกต่างกันในลักษณะของ … 4) การปรับเทียบคะแนน (Test Equating) จากสภาพการศึกษาในปัจจุบนั ซึ่งมีการใช้แบบสอบและผลการสอบในการวัดและ ประเมินผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนของผูเ้ รี ยนอาจมีขอ้ จากัดหลายประการ … การพัฒนาการปรับเทียบคะแนนระหว่างแบบสอบ ได้รับความสนใจมาเป็ นเวลาช้า นาน ซึ่ง แองกอฟ (Angoff, 1971) ได้ให้ความหมาย …

60


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ลอร์ด (Lord, 1980) ได้กล่าวถึงการปรับเทียบคะแนนระหว่างแบบสอบว่า .. การปรับเทียบคะแนนสามารถจาแนกตามทฤษฎีการวัดที่นามาใช้ คือ การปรับเทียบ ตามแนวทฤษฎีการวัดแบบดั้งเดิม (Classical Test Theory) และการปรับเทียบตามแนวทฤษฎี ตอบสนองข้อสอบ (Item Response Theory) (Angoff, 1971; Hambleton & Swaminathan, 1984) … นอกจากนี้การปรับเทียบคะแนนยังมีความแตกต่างกันในเรื่ อง แบบแผนการเก็บ รวบรวมข้อมูล ซึ่ง Angoff, 1971; Hambleton & Swaminathan, 1984 ได้แบ่งแบบแผนการเก็บ รวบรวมข้อมูลไว้ 3 แบบด้วยกัน คือ แบบแผนกลุ่มเดี่ยว (Single Group Design) แบบแผนกลุ่ม สมมูล (Equivalent Group Design) และแบบแผนข้อสอบร่ วม (Anchor Test Design) … สาหรับงานวิจยั ที่เกี่ยวกับการปรับเทียบคะแนนในประเทศไทย ได้มีผศู ้ ึกษาเกี่ยวกับ การใช้แบบสอบร่ วม โดย ชูชีพ พงษ์สมบูรณ์ (2528) ได้ศึกษาเปรี ยบเทียบประสิ ทธิ ภาพของการ ปรับเทียบระหว่างรู ปแบบที่ใช้ผสู ้ อบร่ วมกับรู ปแบบที่ใช้แบบสอบร่ วม… ภาวิณี ศรี สุขวัฒนานันท์ (2528) ได้ศึกษาผลของการใช้รูปแบบการปรับเทียบ 3 วิธี คือ การปรับเทียบแบบอีควิเปอร์ เซ็นไทล์ การปรับเทียบเชิงเส้นตรง และการปรับเทียบตามโมเดล สามพารามิเตอร์ … สุ นิสา จุย้ ม่วงศรี (2534) ได้ตรวจสอบคุณภาพของการปรับเทียบเชิงเส้นตรง 5) การปรับเทียบแบบอีควิเปอร์ เซ็นไทล์ (Equipercentile Equating) มโนทัศน์ของการปรับเทียบแบบอีควิเปอร์เซ็นไทล์ คือ การแจกแจงของคะแนน… ข้อจากัดของวิธีการปรับเทียบแบบอีควิเปอร์ เซ็นไทล์ มีดงั นี้ คือ… 6) การปรับเทียบเชิงเส้นตรง (Linear Equating) การปรับเทียบเชิงเส้นตรง เป็ นรู ปแบบที่ง่ายต่อการปฏิบตั ิ โดย… 7) การปรับตามทฤษฎีการตอบสนองข้อสอบ (Item Response Theory) จากทฤษฎีการตอบสนองข้อสอบ ความสามารถของผูส้ อบ () … ยัง (Young, 1990) ได้ประยุกต์ทฤษฎีการตอบสนองข้อสอบมาใช้ในการปรับผลการ เรี ยนและเรี ยกวิธีการนี้วา่ The IRT-based GPA … 61


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

จากการศึกษาในประเด็นต่าง ๆ ดังที่กล่าวมา ผูว้ จิ ยั สามารถสรุ ปและวางกรอบ แนวคิดของการวิจยั ได้ดงั นี้ ดังภาพที่ 6 คุณภาพการศึกษาของ โรงเรี ยน

สูง

แผนการเรี ยน การออกแบบการวิจยั วิทย์คณิ ต ศิลป์ คานวณ

HSPA ปรับด้วยวิธี อีควิเปอร์เซ็นไทล์

ศิลป์ ภาษา วิทย์

ปานกลาง

ศิลป์คณิ คานวณ ต

ทดสอบ SAT

HSPA ปรับด้วย วิธีเชิงเส้นตรง

ศิลป์ ภาษา วิทย์- คณิ ต

ต่า

ศิลป์ คานวณ ศิลป์ ภาษา

HSPA ปรับด้วย วิธี IRT

ประเมิน ประสิ ทธิภ าพของ วิธีการ ปรับจาก ค่าความ ตรงเชิง ทานาย ENT และ FGPA โดยใช้การ วิเคราะห์ การถดถอย พหุคูณ

ภาพที่ 6 กรอบแนวคิดของการวิจยั

ตัวอย่างที่ 3.4.2 : กรณี ตวั อย่างต่อไปนี้ เป็ นกรณี ตวั อย่างของชุ ดโครงการที่ มหาวิทยาลัยสุ โขทัยธรรมาธิราชโดยสถาบันวิจยั และพัฒนา เป็ นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการประสาน งานเป็ นชุดโครงการที่ประกอบด้วยโครงการหลัก 1 โครงการคือ ความเพียงพอกับความอยู่รอดของ สั งคมชนบทไทย และโครงการย่อยที่เกี่ยวข้องอีก 3 โครงการคือ (1) เศรษฐกิจพอเพียงกับการอยูร่ อดของชุมชนชนบทไทย (2) ความพอเพียงทางสังคมของชนบทไทย และ (3) สภาพแวดล้อมทางกายภาพที่เหมาะสมสาหรับสังคมชนบทไทย

62


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ส่ วนที่เป็ นแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้องได้นาเสนอเฉพาะหัวข้อซึ่ งถือได้วา่ เป็ น แนวคิดหลัก หรื อคาหลักในการค้นแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องโดยละเอียดต่อไป ดังนี้ แนวคิดทฤษฎีที่เกีย่ วข้ องทีเ่ กี่ยวข้ อง แนวคิดเรื่ องความพอเพียงนั้น เป็ นแนวคิดที่เหมาะสมกับประเทศกาลังพัฒนาจึง ไม่ได้รับความสนใจมากนักจากประเทศที่พฒั นาแล้ว ซึ่ งมักเป็ นสังคมที่มีความสมบูรณ์พนู สุ ข (Abundant Society) ในที่น้ ีจะกล่าวถึงความหมายและแนวคิดของความพอเพียงโดยสังเขป 1. ความหมายของความพอเพียง คาว่าความพอเพียงนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ได้ทรงอธิ บายความหมายของ คาว่า “พอเพียง” ว่าหมายถึง “พอมีพอกิน” “…พอมีพอกิน ก็แปลว่าเศรษฐกิจพอเพียงนัน่ เอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกินก็ใช้ได้ ยิง่ ถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยงิ่ ดี…” 2. แนวคิดเรื่องความพอเพียงในกรอบของการวิจัย คาว่า ความพอเพียงนี้ ไม่ได้หมายความถึงการประหยัด แต่หมายความทั้งความพอ และความพอดี ไม่มากไม่นอ้ ย ความพออยูพ่ อกิน สามารถทาให้ดารงชีพอยูไ่ ด้ตามอัตภาพและ ตามความเหมาะสม ข้อเสนอโครงการวิจยั นี้ กาหนดกรอบความพอเพียงไว้สองประการคือ 1) ความพอเพียงเพื่อการดารงชีวติ หมายถึง ระดับความพอเพียงในการดารงชีวติ สาหรับบุคคลระดับต่าง ๆ ซึ่ งย่อมแตกต่างกันไปตามฐานะความเป็ นอยูข่ องแต่ละครอบครัวหรื อ แต่ละบุคคล การดารงชีวติ นี้หมายรวมไปถึงความพอเพียงเพื่อการยังชีพในสังคมยุคปัจจุบนั (ปั จจัยสี่ การพักผ่อน) ความพอเพียงเพื่อการพัฒนาหรื ออานวยความสุ ขให้ตนเอง (การศึกษา ฝึ กอบรมการออกกาลังกาย การบันเทิง) และความพอเพียงเพื่อการสนับสนุนผูอ้ ยูใ่ นอุปการะ สาหรับคาหลักในการวิจัยซึ่งเป็ นคาทีใ่ ช้ ในการค้ นแนวคิดทฤษฎีทเี่ กี่ยวข้ องต่ อไป ได้ แก่ ความพอเพียง สภาพสังคมชนบท/ชุมชนชนบท การศึกษา

เศรษฐกิจพอเพียง สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เทคโนโลยี

63


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

64


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

บทที่ 4 ประเภทของการวิจยั การจาแนกประเภทของการวิจยั ในเบื้องต้นจะจาแนกตามสาขาได้ 2 กลุ่ม การวิจยั ทาง สังคมศาสตร์ ก ับการวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ (การวิจยั ทางสังคมศาสตร์ หมายถึ ง การสารวจ วิเคราะห์ ทดลองอย่ า งมี ร ะบบและเป็ นขั้น ตอนด้ ว ยอุ ป กรณ์ ห รื อวิ ธี พิ เ ศษ เกี่ ย วกั บ ธรรมชาติ สิ่ ง มี ชี วิ ต ปรากฎการณ์ธรรมชาติ ตลอดจนสิ่ งที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ข้ ึนมาด้วยความรู ้ หรื อประสบการณ์ เพื่อเสนอ ความรู ้ ใ หม่ เพื่ อ สุ ข ภาพอนามัย ความผาสุ ก และความเจริ ญ ก้า วหน้า ของมนุ ษ ยชาติ การวิจ ัย ทาง วิทยาศาสตร์ หมายถึ ง การศึ ก ษาค้นคว้าหาความจริ งด้วยระบบและวิธีการทางวิท ยาศาสตร์ เกี่ ยวกับ พฤติกรรม ปรากฎการณ์ หรื อปฎิกริ ยาตลอดจนความรู้สึกนึ กคิดของมนุ ษย์และสังคม เพื่อให้ทราบถึง ความรู ้และความจริ งที่จะนามาแก้ไขปั ญหาของสังคม หรื อก่อให้เกิดความรู ้ใหม่) และยังสามารถจาแนก ตามหลักอื่ นๆ ได้หลายวิธี โดยต้องคานึ งสิ่ งต่างๆ หลายประการประกอบในการพิจารณา นอกจาก จาเป็ นต้องคานึ งถึ งเหตุผลของการวิจยั เป็ นหลักแล้ว ยังมี มิติอื่นๆ ของการวิจยั ในแง่มุมต่างๆ ที่ตอ้ ง พิจารณาประกอบ ไม่ ว่า ผูว้ ิ จยั จะท าการวิ จ ัย ทางสั ง คมศาสตร์ ห รื อ วิ ท ยาศาสตร์ ก็ ตามความรู ้ เ กี่ ย วกับ ประเภทของการวิจยั ย่อมมีประโยชน์ในการพิจารณาโครงการต่างๆ เพื่อการวางแผนการวิจยั ได้อย่างมี ประสิ ท ธิ ภ าพหรื อ หลัก เกณฑ์อื่ น ๆ อี ก ที่ ส ามารถน ามาใช้จ าแนกประเภทของการวิจ ัย ได้ มิ ติ ห รื อ หลักเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้นาเอาคุณสมบัติที่สาคัญของการวิจยั มาเป็ นหลักในการจาแนกประเภท การวิจยั แต่ละประเภทจะมีความยากง่าย ความสลับซับซ้อนของการวิจยั และใช้ระเบียบวิธีการวิจยั ที่แตกต่างกัน ความรู ้เกี่ยวกับประเภทต่าง ๆ ของการวิจยั จึงมีประโยชน์ไม่นอ้ ยต่อการพิจารณาโครงการวิจยั ในแง่มุม ต่าง ๆ

4.1 หลักในการจาแนกประเภท การจาแนกประเภทไม่ว่าจะใช้เพื่อจาแนกโครงการวิจยั หรื อสิ่ งอื่นใด มี หลักปฏิ บตั ิ ที่ ต้องคานึงถึงอยู่ 3 ประการ คือ 1. ต้องมีกลุ่มให้ครบถ้วน (Mutually Exhaustive) กล่าวคือ เมื่อใช้หลักเกณฑ์น้ นั แล้ว จะต้องมีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่สมาชิกของสิ่ งที่ตอ้ งการจาแนกนั้นสามารถลงได้ 2. แต่ละกลุ่มที่กาหนดเพื่อจาแนกประเภทจะต้องแยกออกจากกันและกันโดยเด็ดขาด (Mutually Exclusive) กล่าวคือ เมื่อสมาชิกของสิ่ งที่ตอ้ งการจาแนกประเภท ได้เป็ นสมาชิกของกลุ่มใด 65


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

กลุ่มหนึ่งแล้วจะต้องไม่เป็ นสมาชิกของกลุ่มอื่นอีก 3. ในการจาแนกประเภทหรื อจัดกลุ่มคือ กลุ่มแต่ละกลุ่มควรจะมีความหมายที่ชดั เจน และมีจานวนมากเพียงพอ หลักปฏิบตั ิท้ งั 3 ข้อที่เสนอมานี้ แม้จะเป็ นหลักที่ใช้กนั ทัว่ ไปในการจาแนกประเภท ของทุกอย่างรวมทั้งการประมวลข้อมูล การแบ่งกลุ่มย่อยของตัวแปรและการให้รหัสตัวแปรกลุ่ม เมื่ อ นามาใช้ได้กบั การจาแนกประเภทของการวิจยั โดยอาศัยมิติอย่างใดอย่างหนึ่ งของการวิจยั ในแต่ละมิติ ของการวิจยั จะต้องสามารถแบ่งครอบคลุมโครงการวิจยั ได้ทุกโครงการ แต่ละโครงการสามารถลงได้ใน กลุ่ ม หนึ่ งเท่ า นั้ น เนื่ อ งจากลัก ษณะของโครงการวิ จ ัย แต่ ล ะโครงมี ห ลายลัก ษณะหรื อหลายมิ ติ เช่นเดียวกับลักษณะของบุคคลที่มีลกั ษณะหลายอย่าง การจาแนกประเภทของโครงการวิจยั ตามลักษณะ ต่าง ๆ ของโครงการวิจยั จึงทาได้หลายแง่หลายมุม หรื อหลายมิติสุดแท้แต่วา่ นาลักษณะใดหรื อมิติใดของ โครงการวิจยั มาพิจารณา

4.2 มิติต่าง ๆ ของการวิจัย Abdellah และ Levine (1965) ได้แบ่งแยกประเภทของการวิจยั ตามมิติของการวิจยั ซึ่ ง แบ่งออกได้เป็ น 6 มิติดว้ ยกันคือ 1. เหตุผลของการทาวิจยั 2. วัตถุประสงค์ของการวิจยั 3. วิธีการวิจยั 4. สถานที่หรื อทาเลของการวิจยั 5. วัตถุหรื อสิ่ งที่ตอ้ งการวิจยั 6. ผูก้ ระทาการวิจยั การเข้าใจถึงมิติต่างๆ ของโครงการวิจยั ตามอับเดลล่าห์ และลีวายน์มีประโยชน์ต่อการ เข้าใจงานวิจยั ประเภทต่างๆ จึงนามิติต่างๆ เหล่านี้ มาพิจารณาจาแนกประเภทของโครงการวิจยั ออกเป็ น กลุ่มต่างๆ โดยทัว่ ไปในทางปฏิ บตั ิการพิจารณาโครงการวิจยั มักจะพิจารณาหลายๆ ด้าน หรื อหลายมิติ ไปพร้อมๆ กันแต่ก่อนที่จะเข้าใจโครงการวิจยั หลายๆ มิติพร้อมๆ กันได้ จาเป็ นต้องมีความรู ้ความเข้าใจ ในแต่ละมิติเป็ นอย่างดี

4.3 การจาแนกตามเหตุผลของการวิจัย ในการจาแนกประเภทของการวิจยั โดยพิจารณาจากเหตุผลของการทาวิจยั อาจจะแบ่ง 66


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ออกได้เป็ น 2 ประเด็น คือ 1. การวิจยั เพื่อแสวงหาความรู ้ความเข้าใจในเรื่ องนั้นให้มากขึ้น 2. การวิจยั เพื่อนาเอาผลไปใช้ในทางปฏิบตั ิ 4.3.1 การวิจัยเบือ้ งต้ น (Basic Research) เป็ นการวิจยั เพื่อมุ่งแสวงหาข้อเท็จจริ ง หรื อความสัมพันธ์ระหว่างข้อเท็จจริ งเกี่ ยวกับ ปรากฏการณ์ที่ศึกษาเพื่อนาไปใช้ทดสอบ หรื อสร้างทฤษฎีอธิ บายปรากฏการณ์น้ นั ไม่ได้มีวตั ถุประสงค์ ที่จะนาเอาผลการวิจยั หรื อข้อค้นพบไปใช้เป็ นประโยชน์ทนั ทีในชีวติ จริ ง การวิจยั เบื้องต้นเป็ นประโยชน์ ต่อการเพิ่มพูนความรู ้ทางวิชาการและการวิจยั ในขั้นต่อๆ ไป ตัวอย่างของการวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ เช่น การศึกษาวิจยั เพื่อหาข้อเท็จจริ งของกลไก การดูดซึ มของยา เพื่อสามารถที่จะตอบคาถามของการออก ฤทธิ์ ของยานั้นๆ หรื อการศึกษาวิจยั อิทธิ พลของอุณหภูมิต่อความคงตัวของยา เป็ นการวิจยั ที่ตอ้ งการหา คาตอบของสิ่ งนั้น เป็ นข้อมูลตอบคาถามเพื่อการวิจยั ขั้นต่อไป 4.3.2 การวิจัยประยุกต์ (Applied Research) เป็ นการวิจยั ที่มุ่งแสวงหาข้อเท็จจริ ง หรื อความสัมพันธ์ระหว่างข้อเท็จจริ ง โดยมุ่งที่จะ นาผลการวิจยั หรื อข้อค้นพบนั้นไปใช้เป็ นประโยชน์ในชี วติ จริ งเพื่อการแก้ไขปั ญหาการตัดสิ นใจ เพื่อ การพัฒนาโครงการหรื อวิธีการ หรื อเพื่อประเมินผลโครงการและวิธีการ โครงการวิจยั ประยุกต์บาง โครงการอาจมีวตั ถุประสงค์หลายๆ ด้านพร้อมๆ กันก็ได้ ตัวอย่างเช่น โครงการวิจยั ประเมินความ ต้องการของบุคลากรด้านสังคมศาสตร์ สิ่งแวดล้อม เป็ นโครงการวิจยั ที่มุ่งเน้นแสวงหาข้อมูล ประกอบการตัดสิ นใจว่า โครงการผลิตบัณฑิตในด้านนี้สมควรได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัย หรื อไม่ แต่ในขณะเดียวกัน โครงการดังกล่าวได้เก็บข้อมูลเพื่อปรับปรุ งแก้ไขเพิม่ เติมวิชาต่างๆ ใน หลักสู ตรเพื่อพัฒนาหลักสู ตรดังกล่าวให้ดีข้ ึน ตัวอย่างของโครงการวิจยั ประเมินผลที่มีเป้ าหมายด้าน อื่นๆ ด้วย เช่น เพื่อการพัฒนาโครงการและเพื่อแก้ปัญหา คือ โครงการวิจยั ประเมินผลการเรี ยนและการ สอนที่สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้จดั ทาขึ้น เพื่อประเมินคุณภาพของการสอนทั้งในด้านเนื้อหา และ บุคลากรเพื่อหาข้อบกพร่ อง และวิธีการแก้ไขปรับปรุ งข้อบกพร่ องเหล่านั้นให้ดีข้ ึน โดยคานึงถึงผูท้ ี่ ได้รับบริ การหรื อนักศึกษาเป็ นหลักสาคัญ ผลที่ได้จากการประเมินได้นาไปสู่ การเปลี่ยนแปลงบุคลากร และเนื้อหาสาระ รายละเอียดของวิชา ตลอดจนวิธีการสอนภายในข้อจากัดต่างๆ ทั้งในด้านระเบียบ ราชการและงบประมาณ การวิจยั ประยุกต์ทางด้านวิทยาศาสตร์ มีมากมายซึ่งเมื่อวิจยั จบแล้วสามารถนาผลงาน นั้นๆ ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างแท้จริ ง ตัวอย่างของการวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ เช่น การศึกษาวิจยั พัฒนายา รักษาโรคมาเลเรี ย ซึ่ งเมื่อสิ้ นสุ ดการวิจยั แบบบูรณาการแล้ว สามารถนายาไปใช้ในการรักษาผูป้ ่ วยได้ อย่างแท้จริ ง หรื อการศึกษาวิจยั เพื่อหากระบวนการของการผลิตยางพาราให้มีประสิ ทธิภาพ วิจยั ถึง ปั ญหาของกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิม ทดลองพัฒนาการใช้กรรมวิธีใหม่ๆ เพื่อให้ได้ยางพาราที่มี 67


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

คุณภาพดียงิ่ ขึ้น สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ 4.3.3 การวิจัยและพัฒนา (Research and Development) เป็ นการวิจยั ที่ มุ่ง ค้นหารู ปแบบ วิธี ก าร หรื อแนวความคิ ดใหม่ ๆ เพื่ อสนอง ความจาเป็ น หรื อความต้องการให้เกิดประสิ ทธิ ภาพสู งขึ้นในการดาเนินกิจกรรมใด ๆ

4.4 การจาแนกตามวัตถุประสงค์ ของการวิจัย นอกจากเหตุ ผ ลของการวิจยั แล้ว โครงการวิจยั ต่าง ๆ ยังจาแนกได้จากการพิจารณา วัตถุประสงค์ของการวิจยั ซึ่งสามารถแบ่งแยกออกได้เป็ น 2 ประเภท คือ 4.4.1 เพื่อการพรรณนา 4.4.2 เพื่อการอธิบาย 4.4.1 การวิจัยประเภทพรรณนา (Description Research) เป็ นการวิจยั ที่ มุ่ง ศึ ก ษาหาข้อเท็จจริ งใหม่ เท่า นั้น มิ ไ ด้มี วตั ถุ ป ระสงค์ที่ จะแสวงหา คาอธิ บายว่าปรากฏการณ์ ที่ศึกษานั้นเกิ ดขึ้นได้อย่างไร การวิจยั ประเภทพรรณนาเพียงแต่พรรณนาให้ เห็นว่าปรากฏการณ์น้ นั เป็ นอย่างไร เช่น เกิดขึ้นบ่อยเพียงใด กระจายไปตามกลุ่มประชากรต่างๆ อย่างไร มีลกั ษณะที่สาคัญๆ อะไรบ้าง 4.4.2 การวิจัยประเภทอธิบาย (Explanatory Research) มีวตั ถุ ประสงค์ที่จะมุ่งตอบปั ญหาว่าทาไมและอย่างไร ปรากฏการณ์ น้ นั ถึงได้เกิ ดขึ้ น อันเป็ นวัตถุประสงค์เบื้องต้นของศาสตร์ ในการศึกษาวิจยั แบบบูรณาการประกอบด้วยโครงการย่อยต่างๆ มากมายเพื่ อให้ผลของการวิจยั บรรลุ ว ตั ถุ ประสงค์โดยสมบู รณ์ โครงการวิจยั หนึ่ งอาจจะเป็ น โครงการวิจยั แบบพรรณนา แต่อีกโครงการหนึ่งอาจเป็ นโครงการวิจยั แบบอธิ บายได้ เช่น ในเรื่ องยาเสพ ติ ด โครงการวิจยั หนึ่ งอาจมุ่ง หาอัตราของการติ ดยาของประชากรในกลุ่ มอาชี พ และสถานภาพทาง เศรษฐกิจและสังคมต่างๆ กัน ดูการกระจายของความถี่มากน้อยของเขตภูมิศาสตร์ ต่างๆ แต่อีกโครงการ หนึ่ งอาจมุ่งหาเหตุผลว่าทาไมคนบางกลุ่มถึงติดยาเสพติดมากกว่าคนกลุ่มอื่น เป็ นต้น วัตถุประสงค์ของ การศึกษาที่แตกต่างกันมีผลกระทบต่อข้อมูลที่จะเก็บ วิธีการเก็บ และวิธีการวิเคราะห์ขอ้ มูล สาหรับการวิจยั บูรณาการด้านวิทยาศาสตร์ ในการศึกษาวิจยั ทางสาธารณสุ ขของ ประเทศ ในบางโครงการอาจเป็ นการวิจยั แบบพรรณนา เป็ นการศึกษาอัตราการเกิดของโรคใน ประชากรตามภูมิภาคต่างๆ ขณะที่อีกโครงการหนึ่งมุ่งศึกษาถึงปั ญหาและปั จจัยที่เป็ นสาเหตุของการเกิด โรคนั้นๆ ซึ่ งย่อมมีวตั ถุประสงค์ของการศึกษาที่แตกต่างกัน รวมทั้งวิธีการเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ขอ้ มูล เช่นเดียวกับการวิจยั ทางสังคมศาสตร์ ดังนั้นการทราบถึงวัตถุประสงค์อย่างถ่องแท้ของการวิจยั 68


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ย่อมทาให้ผลงานวิจยั นั้นได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อเป็ นแนวทางสาหรับการวิจยั ขั้นต่อไปได้อย่างถูกต้อง

4.5 การจาแนกตามวิธีการเก็บข้ อมูล ในเรื่ อ งที่ เกี่ ย วกับ วิธี ก ารเก็ บ ข้อ มู ล ได้มี ก ารแบ่ ง จ าแนกประเภทของโครงการวิจ ัย ออกเป็ น 3 ประเภท คือ 1) แบบที่อาศัยการทดลอง (Experimental Method) 2) แบบที่ไม่ตอ้ งอาศัยการทดลอง (Nonexperimental Method) 3) แบบกึ่งการทดลอง (Quasi Experimental Method) 4.5.1 การวิจัยทีอ่ าศัยทดลอง หมายถึง กระบวนการที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใต้ การควบคุมดูแลผลของการกระตุน้ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เป็ นกระบวนการทดลอง ที่ได้มีการวางแผนอย่างรอบคอบ มีการคาดคะเนผลที่เกิดขึ้นไว้ล่วงหน้า แต่มีความไม่แน่นอน แม้วา่ การ วิจยั โดยการอาศัยการทดลองเป็ นคุณสมบัติที่สาคัญของศาสตร์ กายภาพและชี วภาพแต่เป็ นวิธีการหนึ่ งที่ นักสังคมศาสตร์ ใช้ในการศึกษา ในทางสังคมศาสตร์ ได้มีการนาวิธีการทดลองมาใช้ศึกษาทั้งที่ มีการ ทดลองโดยตรงและไม่ได้ทดลองโดยตรง ตัวอย่างของการวิจยั ทางสังคมศาสตร์ ที่ใช้การทดลองโดยตรง คือ การศึกษาอิทธิ พลของภาพยนตร์ ให้สมาชิกกลุ่มทดลองชม หลังจากการฉายภาพยนตร์ ได้มีการวัดผล เปรี ยบเทียบความแตกต่างในด้านความคิ ดของกลุ่มทดลอง (Experimental Group) และกลุ่มที่ไม่ได้ ทดลอง หรื อ การศึกษาอิทธิ พลของการหาเสี ยงที่มีต่อทัศนคติของประชาชนในการเลือกตั้ง ซึ่ งผูศ้ ึกษา ไม่ได้ทาการทดลองโดยตรง แต่ได้ทาการเก็บข้อมูลก่อนและหลังการหาเสี ยง เพื่อทาการเปรี ยบเทียบ การเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อพรรคการเมือง หลัก ใหญ่ ข องการวิจยั ทางวิท ยาศาสตร์ น้ ัน มักจะเน้นไปทางการทดลองเพื่ อค้นหา ทฤษฎีใหม่ หรื อการทดลองศึกษาอิทธิ พลของปั จจัยที่มีผลกระทบต่อสิ่ งต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ ตัวอย่าง ที่เด่นชัดของการวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ ที่ตอ้ งอาศัยการทดลองเป็ นหลักสาคัญคือ การพัฒนายา ทุกขั้นตอน ของการวิจยั ต้องอาศัยการทดลองทั้งสิ้ น เริ่ มแต่การสังเคราะห์สารที่จะนามาใช้ทางยา ทดลองศึกษาฤทธิ์ ของสารนั้นๆ ทดสอบความเป็ นพิษ กลไกการออกฤทธิ์ ของยา และกระบวนการต่างๆ มากมายเป็ นการ วิจยั แบบทดลองทั้งนั้น หรื อการพัฒนายาจากสมุนไพร เป็ นการทดลองเริ่ มแรกนับแต่การทดลองสกัด สารสาคัญจากพืชสมุนไพรด้วยตัวเองทาละลายชนิ ดต่าง ๆ นาสารที่ได้จากการสกัดมาทดสอบฤทธิ์ ทาง ยา ทดสอบความเป็ นพิษและการทดลองอีกต่าง ๆ มากมายเช่นเดียวกับยาที่ได้มาจากการสังเคราะห์ แต่ ในการวิจยั พัฒนายาแต่ละชนิดนั้น จะครบวงจรได้สมบูรณ์แบบที่สุดก่อนการจาหน่ายสู่ ทอ้ งตลาดได้น้ นั นอกเหนื อจากการวิจยั แบบทดลองแล้ว จาเป็ นต้องมีการวิจยั บางส่ วนแบบการวิจยั ไม่ทดลองหรื อเชิ ง พรรณนาด้วย เช่น การวิจยั การตลาด การวิจยั ด้านคุณภาพชีวติ ของประชาชน 69


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

4.5.2 การวิจัยทีไ่ ม่ ได้ อาศัยการทดลอง เป็ นวิธีการที่นกั สังคมศาสตร์ นิยมใช้กนั มากเป็ น การเก็บรวบรวมข้อมูลตามสภาพที่เป็ นอยู่โดยไม่ได้มีการกระตุน้ ให้เกิ ดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ตัวอย่าง ของการวิจยั ประเภทนี้ ได้แก่ การศึกษาปั จจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะเจริ ญพันธุ์ของสตรี ไทยในชนบท การ วางแผนครอบครัวในเขตชุมชน แหล่งเสื่ อมโทรมในกรุ งเทพมหานคร ค่าใช้จ่ายและประโยชน์ของการมี บุตรในชนบทไทย โครงการศึกษาการเปลี่ ยนแปลงทางเศรษฐกิ จ สังคม และประชากรระยะยาว ทุกๆ โครงการที่กล่าวมานี้ ไม่มีการกระตุน้ เร้าให้เกิดการเปลี่ ยนแปลงอย่างหนึ่ งอย่างใดโดยตรงเพื่อศึกษาถึ ง ผลของการกระตุน้ นั้น การวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ ย่อมประกอบด้วยการวิจยั หลายรู ปแบบ ซึ่ งมีหลายส่ วนที่ไม่ จาเป็ นต้องอาศัยการทดลองเช่นเดียวกับทางสังคมศาสตร์ ตัวอย่างของการวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ ที่ไม่ อาศัยการทดลอง เช่น การวิจยั เพื่อต้องการทราบข้อมูลของประชากรที่นิยมใช้ยาสมุนไพรแบบยาตารับ ของไทย ว่ายังมีความนิ ยมใช้กนั อยูม่ ากน้อยเพียงใด มีผลในการรักษาโรคจริ งหรื อไม่ (เป็ นการอาศัยภูมิ ปั ญญาไทยแต่เดิ ม) เพื่อสารวจความคุ ม้ ทุ นในการนาไปขยายผล นาไปสู่ การวิจยั เชิ งทดลองในการ ทดสอบประสิ ทธิภาพและความปลอดภัยทางวิทยาศาสตร์ ต่อไป 4.5.3 การวิจัยกึ่งทดลอง เป็ นแบบของการวิจยั ทางสังคมศาสตร์ แบบหนึ่ ง ที่ผวู้ ิจยั พยายามศึกษากิ จกรรมต่างๆ ที่ผวู ้ ิจยั กาหนดแล้วติดตามศึกษาดูว่า กิจกรรมต่างๆ เหล่านั้นมีผลอย่างไร เป็ นไปตามเป้ าหมายหรื อข้อสมมติฐานที่กาหนดไว้หรื อไม่อย่างไร การที่เรี ยกว่า “กึ่งทดลอง” เพราะ ผูว้ จิ ยั ไม่สามารถควบคุมได้ครบถ้วนเช่นเดียวกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ สาหรับทางวิทยาศาสตร์ น้ นั ในปั จจุบนั เน้นการวิจยั แบบบูรณาการ เพื่อให้ผลของการ วิจยั นั้นสามารถนามาประยุกต์ใช้ประโยชน์ใ นการพัฒนาสัง คมและประเทศชาติ ไ ด้อย่างแท้จริ ง จะ ประกอบด้วยการวิจยั แบบทดลองเป็ นหลัก และมีบางส่ วนที่เป็ นการวิจยั แบบไม่ทดลอง เป็ นแบบเชิ ง พรรณนา หรื อบางส่ วนอาจเป็ นการวิจยั กึ่งทดลอง เพื่อให้ได้ขอ้ มูลการวิจยั ต่าง ๆ ครบถ้วนสมบูรณ์

4.6 การจาแนกตามสภาวะทีว่ จิ ัย นอกจากเหตุผล วัตถุประสงค์ และวิธีการที่ใช้ในการวิจยั แล้ว การวิจยั ยังจาแนกออกได้ ตามสถานที่ หรื อทาเลที่ทาการวิจยั ซึ่ งแบ่งออกได้เป็ น 3 ประเภท คือ 4.6.1 ในที่ ๆ มีการควบคุมได้เต็มที่ (Highly Controlled Settings) 4.6.2 ในที่ ๆ มีการควบคุมได้บา้ ง (Partially Controlled Settings) 4.6.3 ในที่ ๆ ไม่มีการควบคุม (Uncontrolled Settings)

70


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

4.6.1 การวิจัยในทีๆ่ มีการควบคุมได้ เต็มที่ ได้แก่ การวิจยั ในศูนย์กลางปฏิบตั ิ หน่วย ทดลอง การวิจยั ในสภาวะที่ๆ มีการควบคุมได้เต็มที่ทางสังคมศาสตร์ มีนอ้ ยมาก ยกเว้นแต่ในการทดลอง ทางด้านจิตวิทยา เช่น มีการศึกษาผลของความผิดหวังที่มีต่อการสร้างสรรค์ของเด็ก โดยมีการให้คะแนน การสร้างสรรค์แก่เด็กจากการเล่นสิ่ งของ จากนั้นก็นาเด็กไปยังห้องอื่นให้เล่นของเล่นที่น่าสนใจกว่าแล้ว นากลับมาสู่ หอ้ งเดิม และสังเกตดูการเล่นของเด็กพร้อมกับให้คะแนนการสร้างสรรค์ใหม่ เพื่อการศึกษา เปรี ยบเทียบผลของความผิดหวังที่มีต่อการสร้างสรรค์ ทางด้านวิทยาศาสตร์ มี การวิจยั ในหลายๆ ด้านที่มีการควบคุ มได้เต็มที่ เช่ น การวิจยั ทางด้านเครื่ องสาอาง ในการทดสอบอิทธิพลของระดับความร้อนหรื อความเข้มของแสงอัลตราไวโอเล็ท ต่อประสิ ทธิ ภาพของโลชัน่ หรื อครี มกันแดด หรื อการทดสอบประสิ ทธิ ภาพครี มกันแดดในห้องทดลอง โดยการใช้แสงอัลตราไวโอเล็ทเทียมที่ควบคุมความเข้มของแสงได้ ตามต้องการ เช่ น ฤดูร้อน ฤดูหนาว ซึ่ งไม่สามารถควบคุมสภาวะของภูมิอากาศได้ 4.6.2 การวิจัยที่มีการควบคุมบ้ าง บ่อยครั้งที่การวิจยั ทางสังคมศาสตร์ มีการทดลองใน สภาวะที่ไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่ เพื่อศึกษาดูวา่ เมื่อได้ก่อกระตุน้ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยวิธีใดวิธี หนึ่ งแล้วผลจะเป็ นอย่างไร เช่ น การทดลองให้การศึกษาทางด้านการวางแผนครอบครัวในชุ มชนโดย การจัดกลุ่มสัมมนา การเยีย่ มบ้าน และวิธีอื่นๆ แม้วา่ จะมีการแบ่งกลุ่มสตรี ออกเป็ นกลุ่มเป้ าหมายเฉพาะ แต่ละวิธี แต่สตรี ในชุ ม ชนก็ย งั ติ ดต่ อแลกเปลี่ ย นความคิ ดเห็ นกันได้ การแบ่ งกลุ่ ม เพื่อการทดลองจึ ง ควบคุ มไม่ได้เต็มที่ หากมองในแง่ของการนาผลวิจยั ไปใช้ในทางปฏิ บตั ิ แล้วจะเห็ นว่าการทดลองใน สภาวะธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้เต็มที่ ย่อมนาไปสู่ ความสาเร็ จในสภาพความเป็ นจริ งได้ดีกว่าการนาผล ของการทดลองในห้องปฏิ บตั ิการไปใช้ในสภาวะแตกต่างจากห้องหรื อศูนย์ทดลองมาก ทั้งนี้ เพราะใน สภาพความเป็ นจริ งเราไม่สามารถควบคุมกลุ่มบุคคลได้เหมือนอย่างในห้องทดลอง การวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ ที่มีการควบคุ มได้เพียงบางส่ วน เช่น การศึกษาประสิ ทธิ ภาพ ของ Night Cream โดยการกาหนดให้ทาผิวหนังบริ เวณหางตา โดยการให้ทาในบริ เวณที่กาหนดบริ เวณ หางตาวันละ 2 ครั้ง หลังล้างหน้าแล้ว ในทางปฏิบตั ิจริ งแล้ว อาสาสมัครอาจจะไม่ได้ใช้ตามที่กาหนดให้ และ/หรื อไม่ได้ใช้ทุกวันตามที่ออกแบบการวิจยั ได้ หรื ออาจมีการใช้เครื่ องสาอางอื่นร่ วมด้วย บางครั้ง อาจลืมบ้าง ดังนั้นผลของการทดลองย่อมเป็ นไปตามธรรมชาติมากกว่าในห้องปฏิบตั ิการ 4.6.3 การวิจัยในทีท่ คี่ วบคุมไม่ ได้ การวิจยั ทางด้านสังคมศาสตร์ ส่ วนใหญ่ทาให้สภาวะ ที่ไม่มีการควบคุม กล่าวคือ เป็ นการศึกษาในสภาวะธรรมชาติ การสารวจสนาม (Field surveys) และ ศึกษาเป็ นรายกรณี (Case studies) ตัวอย่างของการศึกษาประเภทนี้ เหมือนการศึกษาวิจยั ที่ไม่ใช้วธิ ี การ ทดลองตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น สาหรับทางด้านวิทยาศาสตร์ น้ นั ในส่ วนต้นของการวิจยั เพื่อให้ครบ วงจรอาจมีส่วนของการวิจยั ที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การศึกษาธรรมชาติวทิ ยาของพืชสมุนไพร 71


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เป็ นต้น จาเป็ นต้องศึกษาการปลูกพืชนั้น ๆ ในจังหวัดต่าง ๆ ภูมิอากาศเป็ นสิ่ งที่ควบคุมไม่ได้

4.7 การจาแนกตามวัตถุประสงค์ หรือสิ่ งทีต่ ้ องการวิจัย ลักษณะของการวิจยั ที่นอกเหนือไปจากลักษณะต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นแต่มีผลต่อ การออกแบบการวิจยั และประเภทของข้อมูล ตลอดจนวิธีการที่ ใช้ในการวิเคราะห์ คือ วัตถุ หรื อสิ่ ง ที่ ต้องการวิจยั (Subjects of Research) ซึ่ งแบ่งออกเป็ น 3 ประเภท คือ ก) มนุษย์ ข) สัตว์ พืช และอื่น ๆ ค) สิ่ งที่ไร้ชีวติ ในทางด้านสังคมศาสตร์ สิ่ งที่วจิ ยั ส่ วนมากเป็ นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับลักษณะด้าน ต่างๆ ของมนุษย์ซ่ ึ งอาจเป็ นพฤติกรรมหรื อทัศนคติต่อเรื่ องใดเรื่ องหนึ่ ง การวิจยั ในระดับนี้ คือในระดับที่ หาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะต่างๆ ของปั จเจกบุคคลเป็ นการศึกษาวิจยั ในระดับจุลภาค แต่หากวิจยั คุณสมบัติรวมๆ เช่น คุณสมบัติต่างๆ ของประชากรในระดับประเทศ การวิจยั ดังกล่าวนี้ เป็ นการวิจยั ใน ระดับมหภาค (Macro Analysis) เช่น การศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเกิดกับอัตราส่ วนของ ประชากรที่ประกอบอาชี พทางด้านการเกษตร และอัตราส่ วนของผูจ้ บการศึกษาสู งกว่าประถมโดยใช้ ข้อมูลอนุกรมเวลา เป็ นต้น ลักษณะต่างๆ เหล่านี้ เป็ นลักษณะของประเทศมิใช่ลกั ษณะของปั จเจกบุคคล หรื อสิ่ งที่มีชีวติ สาหรับการวิจยั ทางด้านวิทยาศาสตร์ การวิจยั ที่เกี่ยวกับมนุ ษย์ สัตว์หรื อพืช และสิ่ งไร้ ชี วิต ส่ วนใหญ่ย่อมมีการแบ่งกันอย่างชัดเจน เช่ น การทดสอบประสิ ทธิ ภาพยาในมนุ ษย์ การทดสอบ ความเป็ นพิษในสัตว์ทดลอง การศึกษากรรมวิธีในการสกัดแยกสารสาคัญจากพืช หรื อการศึกษาวัตถุดิบ ที่ใช้ทางยาต่างๆ

4.8 การจาแนกตามผู้กระทาการวิจัย ลักษณะสุ ดท้ายที่ใช้ในการแบ่งแยกประเภทของการวิจยั ที่มีผลต่อคุ ณภาพของข้อมูล ความสลับซับซ้อนและความยุง่ ยากของการวิจยั ตลอดจนความศรัทธาที่มีผลต่อการวิจยั คือ ผูก้ ระทาการ วิจยั ซึ่ งแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ 4.8.1 การวิจัยที่กระทาโดยคนเพียงคนเดียว โดยทัว่ ๆ ไปย่อมง่ายกว่าและเล็กกว่าการ วิจยั ที่ทาโดยกลุ่มบุคคลที่มีความรู ้ความชานาญในสาขาต่างๆ และความสามารถไม่ทดั เทียมกัน การวิจยั ที่ ก ระท าโดยบุ ค คลเพี ย งคนเดี ย ว ส่ วนใหญ่ เป็ นการวิจ ัย ที่ ท าโดยคณะอาจารย์ใ นมหาวิท ยาลัย และ นัก ศึ ก ษาที่ ท าวิ ท ยานิ พ นธ์ ใ นระดับ ปริ ญญาโทและปริ ญญาเอก การวิจ ัย ประเภทนี้ จ ะเหมื อนกันทั้ง ทางด้านสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ 72


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

4.8.2 การวิจัยประเภทกลุ่มบุคคล ได้แก่ การวิจยั ที่ทาขึ้นโดยหน่ วยงานที่ ต้ งั ขึ้ นมา โดยเฉพาะสาหรับการวิจยั เช่น งานวิจยั ที่ทาในนามของสภาวิจยั แห่งชาติ หรื อในนามของสานักวิจยั ของ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริ หารศาสตร์ สานักงานสถิติแห่ งชาติหรื อหน่วยวิจยั ในสถาบันการศึกษา อื่น ๆ ตลอดจนหน่ ว ยวิ จ ัย ขององค์ก ารปฏิ บ ัติ ง านและบริ ห ารอื่ น ๆ เช่ น หน่ ว ยวิจ ัย ของโรงพยาบาลของ กระทรวง ของกรม ของสานักงาน และของสมาคมอาชีพต่างๆ ในบางครั้งการวิจยั ของหน่วยงานที่ไม่มี หน่วยงานวิจยั อาจกระทาโดยบุคลากรของหน่วยที่ได้รับมอบหมายเป็ นครั้งคราว ในปั จจุบนั จะนิยมการวิจยั แบบบูรณาการเพื่อให้การวิจยั นั้นๆ เป็ นไปอย่างครบวงจรมี ประสิ ท ธิ ภ าพสู ง สุ ด ย่ อ มประกอบด้ว ยกลุ่ ม บุ ค คลของแต่ ล ะหน่ ว ยงาน หรื อ เป็ นบุ ค คลเดี่ ย วของ หน่ วยงานหลายๆ หน่ วยงานมาร่ วมกันทาวิจยั โครงการบูรณาการใหญ่และมี หน้าที่ รับผิดชอบแต่ละ โครงการเล็กๆ เพื่อนาผลสัมฤทธิ์ ของแต่ละโครงการมาร่ วมกันให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม เศรษฐกิจและ ความมัน่ คงของประเทศได้

4.9 การจาแนกตามความลึกของข้ อมูล นอกจากการจาแนกตามลักษณะต่างๆ ของการวิจยั ตามที่ ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ใน ปัจจุบนั ยังได้มีการจาแนกการวิจยั ออกเป็ น การวิจยั เชิงปริ มาณและการวิจยั เชิงคุณภาพ 4.9.1 การวิจัยเชิ งปริ มาณ มิได้หมายความว่าการวิจยั ประเภทนี้ จะมีแต่ปริ มาณไม่มี คุณภาพตามความหมายที่ใช้ในชีวิตประจาวัน ในวงการวิจยั การวิจยั เชิงปริ มาณหมายถึง การวิจยั ที่เน้น การใช้ขอ้ มูลที่เป็ นตัวเลขเป็ นหลักฐานยืนยันความถูกต้องของข้อค้นพบ และข้อสรุ ปต่างๆ ของเรื่ องที่ ทาการศึกษาและวิจยั ซึ่ งอาจเป็ นงานวิจยั ที่มีคุณภาพดี เพราะทาให้ตอบได้ถูกต้องและสามารถนาไปใช้ ได้ทวั่ ไป การวิจยั เชิงปริ มาณนี้ ในทางวิทยาศาสตร์ มีการใช้อยูบ่ ่อยครั้งในการวิจยั ที่ตอ้ งอาศัย ข้อมูลจากตัวเลข ข้อมูลของกลุ่มต่างๆ เพื่อหาค่าเฉลี่ยเป็ นตัวแทนของกลุ่ม เช่น การวิจยั เรื่ องการพัฒนา ตารับยาน้ าแขวนตะกอน โดยการทดลองประสิ ทธิ ภาพอิเล็กโทรไลท์ที่มีประจุต่างๆ กัน ความเข้มข้น ต่างๆ กัน ในการทาให้เกิดการเกาะกลุ่มกันของอนุภาคยา ในแต่ละความเข้มข้นของแต่ละชนิดของสาร อิเล็กโทรไลท์ จาเป็ นต้องวัดประจุที่ผวิ ของอนุภาคยาเดิม และประจุที่ผวิ ของอนุภาคยาที่เปลี่ยนไปในแต่ ละครั้ง ครั้งละประมาณ 100 อนุภาค เพื่อหาค่าเฉลี่ย จึงเป็ นการทดลองที่ตอ้ งใช้ตวั เลขมาเกี่ยวข้องด้วย อย่างมาก หรื อการวิจยั เพื่อศึกษาอิทธิ พลของเจลฟ้ าทะลายโจรเพื่อใช้เสริ มการรักษาโรคปริ ทนั ต์อกั เสบ ที่สามารถลดความลึกของร่ องลึกปริ ทนั ต์ได้ จาเป็ นต้องวัดความลึกของร่ องลึกปริ ทนั ต์ทุกแผลซึ่ งต้อง ใช้จานวนแผลมากกว่าร้อยแผล ตลอดระยะเวลาของการทดลองรักษาในผูป้ ่ วย 73


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

4.9.2 การวิจัยเชิ งคุณภาพ มิได้หมายความว่า การวิจยั นั้นมีคุณภาพดีตามความหมายที่ ใช้ในชี วิตประจาวัน แต่หมายถึง การวิจยั ที่ไม่เน้นข้อมูลที่เป็ นตัวเลขเป็ นหลัก เป็ นการวิจยั ที่เน้นการหา รายละเอียดต่างๆ จากการสังเกตหน่วยที่ตอ้ งการศึกษาเพียงไม่กี่หน่ วย โดยมิได้มุ่งเก็บเป็ นตัวเลขมาทา การวิเคราะห์เชิ งปริ มาณ การวิจยั ประเภทนี้ มีชื่อเรี ยกอีกชื่ อหนึ่ งว่า การวิจยั ทางมานุ ษยวิทยา หรื อ การ วิจยั เจาะลึก

4.10 การจาแนกหลายมิติ ค าอธิ บ ายเกี่ ย วกับ การจ าแนกประเภทของการวิ จ ัย ตามมิ ติ ต่ า งๆ ที่ แ ล้ว มาข้า งต้น ชี้ ใ ห้ เ ห็ น ว่า ในแต่ ล ะมิ ติน้ ัน จะแบ่ ง แยกออกเป็ นประเภทแท้ๆ ได้กี่ ป ระเภท โดยละเว้น ที่ จ ะกล่ า ว โครงการวิจยั ที่ มีลกั ษณะผสมของแต่ละประเภทแท้ๆ นั้น เพราะการผสมผสานลักษณะต่างๆ ของมิติ นั้นๆ อาจทาได้ในสัดส่ วนต่ างๆ กัน นอกจากนั้นยังหลี กเลี่ ยงที่ จะแบ่งโครงการวิจยั โดยใช้มิติต่างๆ มากกว่า 1 มิติ ทั้งนี้เพื่อให้ผทู ้ ี่ศึกษาได้เข้าใจในแต่ละมิติให้แน่ชดั เสี ยก่อน ในทางปฏิ บตั ิการจาแนกประเภทของการวิจยั สามารถนามิติต่างๆ เหล่านี้ มาพิจารณา ประเมินโครงการวิจยั ได้พร้อมๆ กันหลายมิติ ซึ่ งมีประโยชน์ในการสร้างความเข้าใจ และการศึกษาข้อดี และข้อเสี ยของโครงการนั้นๆ การกาหนดลักษณะต่างๆ ที่สาคัญของโครงการวิจยั ได้ครบถ้วน การแบ่งประเภทการวิจยั ดังกล่าวแล้วแต่ตน้ ยังสามารถแบ่งงานวิจยั ออกเป็ นประเภท ใหญ่ได้ 4 ประเภทคือ 4.10.1 งานวิจยั เอกสาร (Document Research) หรื อ การวิจยั เชิงประวัติศาสตร์ (Historical Research) 4.10.2 งานวิจยั เชิงพรรณนา (Descriptive Research) หรื อ การวิจยั เชิงสารวจ (Survay Research) 4.10.3 งานวิจยั เชิงทดลอง (Experiment Research) 4.10.4 งานวิจยั ภาคสนาม (Field Study) 4.10.1 งานวิจัยเอกสาร 4.10.1.1 ความหมายและความประสงค์ งานวิจยั ประเภทนี้ นัก ประวัติศาสตร์ นิยมใช้ จึ ง มัก เรี ยกอี กชื่ อหนึ่ ง ว่า “งานวิจยั เชิ ง ประวัติศาสตร์ ” นักวิจยั หลายท่านได้ให้ความเห็นของนิ ยามหรื อความหมายของงานวิจยั ประเภทนี้ พอ สรุ ป ได้คื อ แบบการรวบรวมหลัก ฐานข้อ มู ล จากวัต ถุ ป ระวัติ ศ าสตร์ บัน ทึ ก หรื อ เอกสารเกี่ ย วกับ เหตุการณ์ในอดี ตอย่างเป็ นระบบและประเมินข้อมูลนั้นแบบปรนัย เป็ นการประเมินถามเนื้ อหาสาระที่ 74


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

แท้จริ งโดยไม่นาความรู ้ สึกส่ วนตัวเข้าไปเกี่ ยวข้องด้วย มีการดาเนิ นการที่เชื่ อถื อได้ เพื่อยืนยันหรื อไม่ ยืนยันสมมติฐาน เช่ นเดียวกับการดาเนิ นงานวิจยั ประเภทอื่น ๆ เพื่อนามาช่ วยอธิ บายเหตุการณ์ ปัจจุบนั และคาดหมายเหตุการณ์ในอนาคตได้ (Compton และ Hall 1972, Gay 1981) 4.10.1.2 ลักษณะสาคัญ การดาเนิ นการวิจยั เอกสารมีข้ นั ตอนที่คล้ายคลึงกับการวิจยั ประเภทอื่นๆ โดยทัว่ ไปคือ คือ (1) การนิยามปั ญหา (2) การตั้งสมมติฐานหรื อคาถามที่ตอ้ งการคาตอบ (3) การรวบรวมข้อมูลอย่าง เป็ นระบบ (4) การประเมินข้อมูลอย่างเป็ นปรนัย และ (5) การยืนยันหรื อไม่ยนื ยันสมมติฐาน อย่างไรก็ ตาม วิธีดาเนินการวิจยั แต่ละเรื่ องจะมีลกั ษณะเฉพาะตัวในด้านรายละเอียด ตามทัศนะของ Gay (1981) และ Compton และ Hall (1972) มีความเห็นในทานองเดียวกันคือ ความประสงค์ ข้อมูล และความ น่าเชื่อถือ หมายถึง การวิจยั เอกสารที่ดี จะมีความประสงค์เพื่ออธิ บายหรื อพยากรณ์เหตุการณ์ เพื่อค้นพบ ความรู ้ใหม่ เพื่อทาให้ความรู ้ที่มีอยูแ่ ล้วถ่องแท้ และชัดเจนยิง่ ขึ้น หรื อเพื่อแก้ไขหรื อขยายคาอธิ บาย คา พยากรณ์ หรื อความรู ้ที่มีอยูแ่ ล้วให้ถูกต้องแม่นยา กว้างขวาง ยิง่ ขึ้น มิใช่นาสิ่ งที่มีอยูแ่ ล้วมาบอกเล่าใหม่ นอกจากนี้ ต้องนาข้อมูลและข้อสนเทศไปสังเคราะห์และบูรณาการ เพื่อพิสูจน์สมมติฐานที่ต้ งั ไว้ ล่วงหน้าอีกด้วย ผูว้ จิ ยั จึงจาเป็ นต้องพิจารณาความถูกต้อง และแม่นยาของข้อมูล ข้อสนเทศ ที่ปรากฏอยู่ ในเอกสารและหลักฐานเหล่านั้นอย่างรอบคอบ และถ้วนทัว่ โดยใช้วธิ ี การทางวิทยาศาสตร์ ในการดาเนินการวิจยั เอกสาร จาเป็ นต้องจัดหมวดหมูแ่ ละวิเคราะห์ขอ้ มูล เช่นเดียวกับ ในงานวิจยั ประเภทอื่นๆ นอกจากนี้ยงั จะต้องสังเคราะห์ขอ้ มูลที่ผา่ นการวิเคราะห์แล้ว เพื่อกาหนด ข้อสรุ ปและนัยทัว่ ไปต่างๆ อีกด้วย วิธีวเิ คราะห์และสังเคราะห์ขอ้ มูลในงานวิจยั เอกสารเป็ นวิธีทาง ตรรกวิทยา ไม่ใช่วธิ ี ทางสถิติศาสตร์ ฉะนั้น ผูว้ จิ ยั จึงพึงระมัดระวังเป็ นพิเศษในการวิเคราะห์และ สังเคราะห์ขอ้ มูล เพื่อควบคุมจิตใจของคนให้เป็ นปรนัย จึงจะได้ขอ้ สรุ ปและนัยทัว่ ไปที่มีคุณภาพและ เชื่อถือได้จากข้อมูลเหล่านั้น 4.10.1.3 แหล่ งข้ อมูล แหล่งข้อมูลของงานวิจยั เอกสารมี 2 ประเภทคือ (1) แหล่ งปฐมภูมิ (Primary Source) ซึ่ งได้แก่เอกสารหรื อวัตถุประวัติศาสตร์ ตน้ ฉบับ เช่น ลายทอผ้าพื้นเมือง รู ปแบบลวดลายเครื่ องประดับของใช้ และเครื่ องปั้ นดินเผาดั้งเดิมในสมัยโบราณ ที่ขดุ พบในภายหลัง ณ บริ เวณที่คนในสมัยนั้นตั้งถิ่นฐาน หรื อการขุดพบอุปกรณ์ในการทายา ทา เครื่ องสาอางต่าง ๆ เป็ นต้น (2) แหล่ งทุติยภูมิ (Secondary Source) ได้แก่บนั ทึกที่จดั ทาขึ้นจากคาบอกเล่าสื บต่อ กันมา โดยที่ผจู ้ ดั ทาไม่ได้อยูใ่ นเหตุการณ์ตน้ ตอของบันทึกนั้น หรื อไม่ได้เฝ้ าสังเกตสิ่ งที่ตนบันทึกด้วย 75


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตนเอง เช่น สาเนาเอกสาร ภาพถ่าย สาเนาภาพถ่าย ตาราประวัติศาสตร์ วารสาร สารานุกรม แบบจาลอง ของวัตถุต่างๆ ชื่ อและตารับอาหาร ตารายาและเครื่ องสาอาง และภาพถ่ายเครื่ องใช้ เครื่ องประดับ และ เครื่ องตกแต่งกายที่ปรากฏในเอกสารของทางราชการ ภาพถ่ายเอกสารตารายาต่าง ๆ หรื อการจารึ กตารา ยาต่าง ๆ ตามผนังถ้ าหรื อผนังโบสถ์ เป็ นต้น เอกสารและสิ่ งอื่นที่อาจใช้เป็ นแหล่งข้อมูลของการวิจยั เชิ งประวัติศาสตร์ มี 8 ชนิด ดังต่อไปนี้ 1. เอกสารแสดงความรู้ สึกนึกคิด ได้แก่ (1) จดหมายส่ วนตัว ซึ่ งเป็ นสิ่ งที่หาได้ง่ายที่สุด มีคุณค่าต่อการวิจยั และมีสไตล์การเขียนที่ข้ ึนอยูก่ บั วัฒนธรรมของผูเ้ ขียน (2) ชีวประวัติ ซึ่งสามารถใช้ ยืนยันความเป็ นจริ งของข้อมูลและข้อสนเทศที่ปรากฏอยูใ่ นหลักฐานปฐมภูมิได้ และ (3) บันทึกเกีย่ วกับ กระบวนการกลุ่มย่ อย ซึ่ งหายากกว่าจดหมายส่ วนตัวและชีวประวัติ เนื่องจากไม่ค่อยนิ ยมจัดทาขึ้น 2. บันทึกหรื อจดหมายเหตุ ทางการ เช่ น บันทึ กนิ ติการ รั ฐธรรมนู ญ พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา พระราชกาหนด กฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบและข้อบังคับของส่ วนราชการ นิ ติสาร (สัญญา พินยั กรรม) คาพิพากษา รายงานการประชุม รายงานของคณะกรรมการ เป็ นต้น เป็ นแหล่งข้อมูล ที่ดีเยี่ยม เพราะเป็ นสิ่ งที่จดั ทาขึ้นด้วยความระมัดระวังเป็ นพิเศษในด้านความถูกต้องแม่นยาและความ สมบูรณ์ และมีการเก็บรักษาอย่างระมัดระวังอีกด้วย 3. บทความหนังสื อพิมพ์และวารสารทัว่ ไป เอกสารชนิดนี้ มีลกั ษณะเชิงตีความ จึงมักจะ ไม่แม่นยาและเที่ยงตรง แม้วา่ จะเป็ นเอกสารค่อนข้างถาวรที่บนั ทึกเหตุการณ์ประจาวันก็ตาม ผูว้ จิ ยั จึง ควรใช้เอกสารประเภทนี้แต่เฉพาะเมื่อไม่มีบนั ทึกหรื อจดหมายเหตุทางการเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เราศึกษา เท่านั้น และจะต้องพิจารณาให้รู้อย่างแน่ชดั ด้วยว่า บทความนั้นผูเ้ ขียนเขียนขึ้นจากสิ่ งที่เขาประสบด้วย ตนเอง หรื อจากข้อสนเทศทุติยภูมิที่ได้มาจากการบอกเล่าหรื อข้อเขียนของผูอ้ ื่น 4.คาให้ การของพยานบุคคลซึ่ งอาจจะเป็ นคาพูดหรื อข้อเขียนของผูใ้ ห้การก็ได้ เนื่ องจาก ทุกคนมีปัญหาด้านความจาไม่มากก็นอ้ ย ข้อเขียนที่จดั ทาขึ้นจากสิ่ งที่ผเู ้ ขียนบันทึกไว้ในขณะที่เขาอยูใ่ น เหตุการณ์ จึงเป็ นแหล่งข้อมูลที่ดีกว่าคาบอกเล่าของเขาเมื่อเหตุการณ์ได้ผา่ นพ้นไปแล้ว 5. ซากทางโบราณคดีและทางธรณีวิทยา เช่น โครงกระดูกและสิ่ งของเครื่ องใช้ของ มนุษย์ที่ขดุ พบ ณ ที่ต่างๆ หลักศิลาจารึ ก สถูป โบสถ์ และเจดียร์ ้าง ภาพฝาผนัง และสิ่ งแกะสลักตาม โบราณสถานต่างๆ อนุสาวรี ย ์ ปล่องภูเขาไฟ โขดหิ น และแม่น้ าที่เหื อดแห้ง เป็ นต้น 6. ผลิตภัณฑ์ สร้ างสรรค์ เช่น สิ่ งศิลปะประดิษฐ์ สิ่ งจักสาน สิ่ งทอ เครื่ องปั้ นดินเผา ไม้ แกะสลัก เครื่ องเงิน เครื่ องถม เครื่ องมือเครื่ องใช้ในครัวเรื อน วรรณคดี บทละคร และบทเพลง เป็ นต้น สิ่ งเหล่านี้เป็ นแหล่งข้อมูลที่สาคัญมากของงานวิจยั เชิงประวัติศาสตร์ทางคหกรรมศาสตรศึกษา 76


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

7. ทะเบียนและสามะโนครัว เช่น สู ติบตั ิ มรณบัตร ทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่าร้าง ทะเบียนบ้าน ทะเบียนยานพาหนะ ทะเบียนสถานศึกษา สมุดรายงานประจาตัวของนักเรี ยน และใบ แสดงผลการเรี ยน เป็ นต้น เอกสารเหล่านี้ จดั ทาขึ้นตามความประสงค์ของหน่วยงานที่ควบคุมดูแลในแต่ ละเรื่ อง รายละเอียดของข้อมูลและรู ปแบบการนาเสนอ จึงอาจไม่ตรงกับที่ผวู ้ จิ ยั ต้องการ ดังนั้น ผูว้ จิ ยั จึง อาจจะต้องดาเนินวิธีการที่เหมาะสม เพื่อถอดข้อมูลและข้อสนเทศตามที่ตนต้องการออกมาจากเอกสาร เหล่านี้ นอกจากนี้ก็จะต้องดาเนินการยืนยันความแม่นยา ความตรงประเด็น และความเชื่อถือได้ของ ข้อมูลและข้อสนเทศนั้นอีกด้วย 8. ดรรชนีต่างๆ เช่น ดรรชนี ค่าครองชีพ ดรรชนีการบริ โภค ดรรชนีเชาวน์ปัญญา อัตรา เด็กวัยรุ่ นมีปัญหา อัตราตายของทารกแรกเกิด อัตราอาชญากรรม สถิติการเข้าร่ วมโครงการวางแผน ครอบครัว อัตราประชากรไม่รู้หนังสื อ และอัตราเด็กขาดสารอาหาร เป็ นต้น ผูว้ ิจยั อาจสร้างดรรชนี เพื่อ วัตถุประสงค์เฉพาะของตนขึ้นมาเองจากดรรชนีที่มีอยูแ่ ล้วด้วยก็ได้ ในการดาเนินงานวิจยั เชิงประวัติศาสตร์ น้ นั ผูว้ จิ ยั จะต้องพยายามอย่างยิง่ ที่จะใช้แต่ เฉพาะแหล่งข้อมูลปฐมภูมิเสมอ จึงต้องหาทางเข้าถึงเอกสารต้นตอให้ได้ นอกจากนี้ ก็จะต้องระลึกอยู่ เสมอว่า การถ่ายสาเนาเอกสารและหลักฐานอย่างอื่นต่างๆ และการถ่ายทอดข้อมูลและข่าวสารระหว่าง บุคคลในแต่ละยุคแต่ละสมัย แม้วา่ จะกระทาด้วยความระมัดระวังสักเพียงใดก็ตาม ก็อาจเกิดความ ผิดเพี้ยนไปจากของเดิมที่เป็ นต้นตอได้ โดยเฉพาะอย่างยิง่ เมื่อผูถ้ ่ายสาเนาหรื อผูถ้ ่ายทอดนาความรู ้และ ประสบการณ์ของตน เข้ามาเจือปนกับข้อมูลและข้อสนเทศในสิ่ งที่ถ่ายสาเนาหรื อถ่ายทอดนั้นด้วย 4.10.1.4 การประเมินแหล่ งข้ อมูล ในปั จจุบนั มีศาสตร์ ที่พอ้ งความหมายกับคหกรรมศาสตร์ มากมาย เช่น นิ เวศวิทยา มนุษย์ (Human Ecology) ครอบครัวศึกษา (Family Study) วิทยาศาสตร์ครอบครัว (Home Science) และ การจัดการทรัพยากรครอบครัว (Family Resource Management) เป็ นต้น ฉะนั้น จึงควรคานึงถึงเอกสาร และหลักฐานอื่นต่างๆ ในศาสตร์ เหล่านี้ ดว้ ย งานวิจยั ทางเอกสารเป็ นการใช้เอกสารหรื อหลักฐานที่ผอู้ ื่นได้เรี ยบเรี ยงหรื อประดิษฐ์ ขึ้ นก่ อนแล้ว ผูว้ ิจยั มิ ไ ด้อยู่ใ นเหตุ การณ์ จึ ง จาเป็ นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่ อกาหนดให้ได้ว่า หลักฐานต่างๆ ที่ ใช้ในการวิจยั เชื่ อถื อได้ อย่างไรก็ตามหลักฐานหลายอย่างอาจไม่สมบูรณ์ พอ เพราะ ผูว้ ิจยั อาจลาเอียงโดยตั้งใจ หรื อมีขอ้ บกพร่ องอื่นๆ ในการเลื อกหลักฐานมาใช้ หรื อเลือกจดเฉพาะสิ่ งที่ ตนสนใจและเห็นว่ามีคุณค่า (Angel และ Fredman 1963) และไพทูรย์ สิ นลารัตน์ และคณะ (2530) ไม่วา่ ผูว้ จิ ยั จะใช้หลักฐานปฐมภูมิหรื อหลักฐานทุติยภูมิเป็ นแหล่งข้อมูลก็จาเป็ นต้อง ดาเนินการประเมินหลักฐานนั้นอย่างรอบคอบเสี ยก่อน การประเมินหลักฐานนี้ ประกอบด้วยการ 77


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตรวจสอบความเป็ นของแท้ (Genuineness หรื อ Authenticity) ของหลักฐาน ซึ่ งนิยมเรี ยกว่า การพินิจ ภายนอก (External Criticism) และการตรวจสอบความหมาย (Meaning) หรื อความน่าเชื่ อถือ (Credibility) ของข้อมูลและข้อสนเทศที่ปรากฏอยูใ่ นเอกสารนั้น ซึ่ งนิยมเรี ยกว่า การพินิจภายใน (Internal Criticism) การพินิจภายนอกและการพินิจภายใน อาจกระทาให้เหลื่อมกันหรื อพร้อมๆ กันได้ 1) การพินิจภายนอก เป็ นการตรวจสอบความแท้จริ งของข้อมูลและข้อสนเทศ นัน่ คือ เป็ นการพิจารณาเพื่อยืนยันว่า สิ่ งที่หลักฐานแสดงออกนั้นเป็ นของแท้ ฉะนั้น ผูว้ จิ ยั เอกสารจะต้องหยัง่ รู ้ คุณลักษณะของผูเ้ ขียนเอกสารหรื อผูป้ ระดิษฐ์หลักฐานนั้น และความเกี่ยวข้องระหว่างผูเ้ ขียนหรื อผู ้ ประดิษฐ์กบั ตัวเอกสารหรื อหลักฐานนั้นให้ได้ เพื่อใช้เป็ นพื้นฐานรองรับความเชื่ อถือได้ของเอกสารหรื อ หลักฐานแหล่งข้อมูลนั้นๆ ในการพินิจภายนอก กาญจนา มณี แสง (2528) ให้ทศั นะว่าควรพิจารณาถึง (1) สภาพแวดล้อมที่ผลักดันให้เกิดหลักฐานนั้นขึ้น (2) ข้อเท็จจริ งโดยทัว่ ไป เช่น สภาพเหตุการณ์ของการ เกิดขึ้นของข้อมูลตรงตามที่รู้กนั โดยทัว่ ไปหรื อไม่ เป็ นต้น และ (3) ความบิดเบือนหันเหที่อาจเกิดขึ้น นัน่ คือ มี การดัดแปลง ปลอมแปลง เพิ่มเติม หรื อเสริ มแต่ง ให้บิดเบือนไปจากความเป็ นจริ งหรื อไม่ Compton และ Hall (1972) ได้เสนอคาถามสาหรับเป็ นแนวทางในการพินิจภายนอกไว้ 8 คาถาม ซึ่ งผูว้ จิ ยั เอกสารจะต้องแสวงหาคาตอบ เพื่อสร้างความมัน่ ใจในคุณภาพของข้อมูล คาถาม ดังกล่าวนี้ได้แก่ (1) เพราะอะไรจึงมีการเขียนเอกสารขึ้นมา (2) การเขียนเอกสารกระทาที่ไหนและ เมื่อใด (3) ใครเป็ นผูเ้ ขียนเอกสารนั้น (4) ผูเ้ ขียนมีความช่าชองในการเขียนเรื่ องที่เขาเขียนไว้ในเอกสาร นั้นหรื อไม่ (5) มีเหตุผลเพียงพอหรื อไม่ที่จะคาดหมายว่า ผูเ้ ขียนอยูใ่ นเหตุการณ์ที่เขาพรรณนาไว้ และ เขียนในขณะที่เหตุการณ์ปรากฏ (6) ผูเ้ ขียนเป็ นต้นตอของข้อสนเทศที่เขาเขียนไว้ในเอกสารนั้น หรื อว่า คัดลอกหรื อรับการถ่ายทอดข้อสนเทศนั้นจากผูอ้ ื่น (7) รู ปแบบและวิธีการเขียนหนังสื อในเอกสารฉบับ นั้น เหมือนกันกับรู ปแบบและวิธีการเขียนหนังสื อของผูเ้ ขียนตามที่คนทัว่ ไปรู ้จกั และคุน้ เคยหรื อไม่ (8) มีการปลอมแปลงเอกสารหรื อไม่ การใช้เทคโนโลยีระดับสู งอย่างแพร่ หลายในเกือบทุกกิจการใน ปัจจุบนั ทาให้การพิสูจน์การปลอมแปลงกระทาได้ยากยิง่ กระนั้นก็ตามผูว้ จิ ยั จึงจาเป็ นต้องรู ้จกั นา เทคโนโลยีที่สูงกว่ามาใช้ในการตรวจสอบรู ปแบบและลักษณะของเอกสาร รวมทั้งลายมือ หมึกพิมพ์ และกระดาษที่ใช้พิมพ์ดว้ ย อย่างรอบคอบและถี่ถว้ น หลักฐานต่างๆ ที่ไม่ใช่เอกสาร เช่น วัตถุโบราณ จาพวกเครื่ องเงิน เครื่ องถม ทอง เครื่ องปั้ นดินเผา พระพุทธรู ป พระเครื่ อง และเครื่ องรางของขลังต่างๆ เป็ นต้น เป็ นสิ่ งที่ปลอมแปลงได้ง่ายด้วยเทคโนโลยีระดับสู งทั้งสิ้ น จึงต้องตรวจสอบความแท้จริ งของ แหล่งข้อมูลเหล่านี้ อย่างละเอียดถี่ถว้ นเช่นเดียวกัน ดังเช่นเมื่อสหรัฐอเมริ กายินยอมคืนทับหลังนารายณ์ บรรทมสิ นธ์ให้แก่ประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2532 ได้มีการตรวจสอบความเป็ นของแท้ของวัตถุโบราณอัน 78


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ทรงคุณค่าชิ้นนี้ของชาติโดยคณะกรรมการอันประกอบด้วยผูร้ ู ้และชานาญการในเรื่ องนี้ท้ งั หลาย ก่อนที่ จะนากลับมายังประเทศไทย และเมื่อนามาถึงเมืองไทยแล้ว ก็มีการตรวจสอบเนื้ อวัตถุภายในโดยละเอียด อีกด้วย 2) การพินิจภายใน เป็ นการพิจารณาข้อความที่ปรากฏอยูใ่ นเอกสาร หรื อรู ปลักษณ์ และ รายละเอียดต่างๆ ที่ปรากฏอยูใ่ นหลักฐานอย่างอื่น รวมทั้งข้อสนเทศและเนื้ อหาสาระที่เอกสารหรื อ หลักฐานนั้นสื่ อความออกมาด้วยอย่างรอบคอบ นัน่ คือ เป็ นการพิจารณาว่า หลักฐานนั้นจะให้อะไรได้ บ้างในแง่ขอ้ มูล ข้อสนเทศ หรื อข้อเฉลยต่อปั ญหา อะไรคือเนื้อหา สาระ และความหมาย ของสิ่ งที่ ปรากฏอยูใ่ นหลักฐานนั้น แม่นยาและเที่ยงตรงเพียงใด ทั้งนี้ เพื่อให้รู้อย่างชัดเจนว่า ข้อมูลและ ข้อสนเทศจากหลักฐานนั้นเชื่ อถือได้หรื อไม่ และมีคุณค่าเพียงใด ในการพิจารณาภายในนั้น Compton และ Hall (1972) ได้เสนอคาถามเพื่อเป็ นแนวทาง ดาเนินการไว้ 6 คาถาม ซึ่ งถอดความได้ดงั ต่อไปนี้ คือ (1) ผูผ้ ลิตหลักฐานมีอะไรเป็ นเป้ าหมายของการ ผลิตหลักฐานนั้น (2) ถ้อยคาที่ลา้ สมัยแล้วและถ้อยคาที่เป็ นลักษณะเฉพาะของเอกสารนั้น หรื อรู ปลักษณ์ และรายละเอียดของหลักฐานอย่างอื่น สื่ อความหมายที่ผดิ เพี้ยนไปจากความหมายที่ถือว่าถูกต้องในสมัย นั้นหรื อไม่ (3) ผูเ้ ขียนหรื อผูป้ ระดิษฐ์สามารถรายงานหรื อประดิษฐ์ได้อย่างแม่นยาตามเหตุการณ์จริ งที่ เกิดขึ้นหรื อไม่ (4) มีหลักฐานใดๆ หรื อไม่ ที่ส่อว่าผูเ้ ขียนหรื อผูป้ ระดิษฐ์มีอคติหรื อแสดงความคิดเห็น โดยไม่สมเหตุผล (5) มีการใช้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ในการผลิตหลักฐานนั้นเพียงใด (6) ในการตีความ ของข้อความ คากล่าว และสิ่ งจารึ กที่ประดิษฐ์ข้ ึนนานมาแล้วในอดีต ผูผ้ ลิตหลักฐานได้ใคร่ ครวญและ ไตร่ ตรองอย่างละเอียดถี่ถว้ นโดยใช้ความรู ้ทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ จิตวิทยา สังคมวิทยา ภาษาศาสตร์ รัฐศาสตร์ คหกรรมศาสตร์ นิ เวศวิทยา หรื อวิทยาการแขนงอื่นๆ เข้าช่วยหรื อไม่ ในทานองเดียวกัน นิ ภา ศรี ไพโรจน์ (2531) ได้เสนอแนวทางการพิจารณาเอกสารใน การพินิจภายในไว้ 10 ประการ คือ (1) พิจารณาว่าผูเ้ ขียนเป็ นบุคคลที่เชื่ อถือได้หรื อไม่ มีความเชี่ยวชาญ หรื อรู ้เห็นในเรื่ องที่เขียนจริ งหรื อไม่และเพียงใด (2) พิจารณาว่าผูเ้ ขียนเขียนเรื่ องนั้นในขณะที่สภาพ จิตใจเป็ นปกติหรื อไม่ (3) พิจารณาว่าผูเ้ ขียนดาเนินการเขียนเมื่อเหตุการณ์ที่เขียนถึงได้ผา่ นไปแล้วนาน เท่าใด และพอจะเชื่ อถือได้หรื อไม่วา่ ยังจาเหตุการณ์น้ นั ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ในขณะที่เขียน (4) พิจารณาว่า เอกสารเหล่านั้นมีบทบรรณานุกรมที่แสดงถึงปริ มาณการค้นคว้าของผูเ้ ขียนอย่างชัดเจน หรื อไม่ (5) พิจารณาว่า ข้อความในเอกสารมีอคติเกี่ยวกับเชื้อชาติ ศาสนา ลัทธิการเมือง ผลประโยชน์ ส่ วนตัว หรื อสภาวะทางเศรษฐกิจ หรื อไม่ (6) พิจารณาว่าภาษาหรื อสานวนที่ใช้ในการเขียน หรื อ เรื่ องราวที่รายงานนั้นเป็ นสิ่ งที่ถ่ายทอดมาจากบุคคลอื่น หรื อเป็ นถ้อยคาสานวนของผูเ้ ขียนหรื อเป็ น เรื่ องราวที่ผเู ้ ขียนได้ประสบด้วยตนเอง หรื อไม่ (7) พิจารณาว่าการเขียนนั้นมีแรงจูงใจใดๆ ให้บิดเบือน ความจริ งหรื อไม่ (8) พิจารณาว่าเอกสารนั้นจะให้ขอ้ มูลและข้อสนเทศอย่างเพียงพอทั้งในด้านคุณภาพ 79


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

และปริ มาณ ตามความต้องการของงานวิจยั นั้นหรื อไม่ (9) พิจารณาว่าการจัดเรี ยงหัวข้อเป็ นไปตาม ขั้นตอนหรื อไม่ และความละเอียดของเนื้ อหาในแต่ละหัวข้อมากน้อยเพียงใด และ (10) พิจารณาว่าบุคคล อื่นเห็นด้วยกับเนื้อหาสาระและรายละเอียดของเอกสารนั้นหรื อไม่ Gay (1981) ให้ทศั นะว่า สิ่ งที่ควรคานึงถึงในการพินิจภายในเอกสารมีอย่างน้อย 4 ประการ คือ ความรู ้และความช่ าชองของผูแ้ ต่ง ความล่าช้าของการผลิตเอกสารนับจากวันที่เกิดเหตุการณ์ อคติและสิ่ งจูงใจของผูแ้ ต่ง และความถูกต้องแน่นอนของข้อมูลในเอกสารนั้น 4.10.1.5 กรรมวิธีเชื่ อมโยงจดหมายเหตุ การมีทกั ษะพื้นฐานที่ดีในการสังเคราะห์เรื่ องราวจากเนื้อหาสาระของวิทยาการสาขา ต่างๆ หรื อการสร้างสัมพันธภาพที่มีคุณค่าระหว่างเนื้ อหาสาระเหล่านั้น จะช่วยให้ผวู ้ ิจยั สามารถตีความ หลักฐานอันเป็ นแหล่งข้อมูลได้ดี เช่น สามารถสร้างประเด็นที่มีคุณค่าอย่างถูกต้องจากการศึกษาและ เชื่อมโยงรายละเอียดของอัตชีวประวัติและผลงานของผูม้ ีชื่อเสี ยงทั้งหลายที่มีอิทธิ พลต่อพัฒนาการต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ และสามารถเชื่อมโยงประเด็นนั้นเข้ากับอิทธิ พลของความรู ้ทางวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กิจกรรมดาเนินชีวิตของมนุษย์ เป็ นต้น ทักษะเช่นนี้จะอานวยให้ การตีความข้อมูลที่ตอ้ งการจะศึกษาเป็ นไปอย่างถูกต้องและแม่นยา อันจะส่ งผลให้ได้ขอ้ สรุ ปที่น่าเชื่อถือ กรรมวิธีเชื่อมโยงจดหมายเหตุ (Record Linkage Method) เป็ นกรรมวิธีที่ผวู้ จิ ยั พยายาม วิเคราะห์ขอ้ มูลจากเอกสารต่างๆ ที่ได้ตรวจสอบความถูกต้องแล้ว และนาข้อมูลที่วเิ คราะห์แล้วเหล่านั้น ไปผสมผสานกันอย่างกลมกลืนให้เป็ นข้อสนเทศหรื อเรื่ องราวที่สมเหตุสมผล Compton และ Hall (1972) ได้ให้ตวั อย่างของงานวิจยั เอกสารที่ใช้กรรมวิธีเชื่ อมโยงจดหมายเหตุไว้ดงั นี้ (1) การเปรี ยบเทียบ ทะเบียนสมรสกับทะเบียนเกิด เพื่อศึกษาระยะห่างของการมีบุตร (2) การเชื่อมโยงทะเบียนสมรสกับ ทะเบียนหย่าร้าง เพื่อศึกษาปั จจัยที่มีผลกระทบต่อความยัง่ ยืนของการครองชีวิตคู่ (3) การเชื่อมโยง ทะเบียนสมรสกับทะเบียนที่พกั อาศัย เพื่อศึกษาลักษณะทัว่ ไปของการเลือกที่พกั อาศัยภายหลังการสมรส และ (4) การเชื่ อมโยงทะเบียนสมรสกับทะเบียนเกิด เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเพศของบุตรกับอายุ ของมารดา ข้อดีของกรรมวิธีเชื่อมโยงจดหมายเหตุ ตามทัศนะของ Compton และ Hall (1972) มี 4 ประการ คือ (1) ข้อมูลต่างมีผจู ้ ดั เก็บไว้อย่างมีระบบและตามแบบฉบับเดียวกันอยูแ่ ล้วจึงรวบรวมได้ง่าย โดยไม่ตอ้ งเสี ยค่าใช้จ่าย (2) มีมาตรการภายในกากับความเชื่อถือได้ของข้อมูลอยูแ่ ล้ว เพราะว่า แหล่งข้อมูลเป็ นเอกสารทางการที่จดั ทาไว้อย่างถูกต้องและแม่นยา หากจะมีขอ้ ผิดพลาดคลาดเคลื่อนบ้าง ก็ตรวจสอบและแก้ไขได้ง่าย (3) แหล่งข้อมูลอานวยให้สามารถศึกษาพฤติกรรมซ่อนเร้นได้ เพราะว่า เป็ นเอกสารทางการที่ผใู ้ ห้คาตอบต่อข้อซักถามต่างๆ ในการจัดทา ไม่มีโอกาสปฏิเสธตอบคาถามหรื อ เตรี ยมเปลี่ยนแปลงคาตอบไว้ล่วงหน้าได้ และ (4) สามารถทาการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา 80


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ได้ทนั ที โดยไม่ตอ้ งรอเพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลง เพราะว่าแหล่งข้อมูลเป็ นเอกสารทางการที่ได้บนั ทึก การเปลี่ยนแปลงอันพึงมีใดๆ ไว้เรี ยบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม กรรมวิธีเชื่ อมโยงจดหมายเหตุมีขอ้ จากัดด้วยเหมือนกัน คือ (1) ความ เชื่อถือได้ของข้อสรุ ปอยูใ่ นกรอบของธรรมชาติ ความสมบูรณ์ และความแม่นยาของข้อมูลที่พอจะ รวบรวมได้จากจดหมายเหตุที่มีอยูอ่ ย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ (2) เป็ นไปได้ที่ขอ้ สรุ ปจะมีอคติ เนื่องจาก จาเป็ นต้องจากัดกรอบเวลาที่จะให้งานวิจยั นั้นครอบคลุม จึงย่อมไม่สามารถครอบคลุมทุกกรณี ที่มีอยู่ จริ งได้ เช่น ถ้าความยัง่ ยืนของการครองชีวิตคู่ของประชากรกรุ งเทพมหานครกลุ่มรายได้ต่าเป็ นหัวข้อ วิจยั ก็จาเป็ นต้องพิจารณากาหนดไว้ในรายละเอียดของการดาเนิ นงานว่า ช่วงเวลาที่จะให้งานวิจยั นี้ ครอบคลุมเป็ นจากปี พ.ศ. ใด ถึงปี พ.ศ. ใด ฉะนั้น กรณี หย่าร้างที่เกิดขึ้นก่อนและหลังช่วงเวลาที่ได้ กาหนดขึ้นนั้น ย่อมไม่ได้รับการพิจารณาด้วยในงานวิจยั นี้ เป็ นต้น การดาเนิ นงานวิจยั เอกสารเป็ นการแสวงหาความจริ งในอดีตเกี่ยวกับเรื่ องที่หยิบยกขึ้น มาศึกษาเนื่องจากสิ่ งต่างๆ ที่ปรากฏอยูใ่ นปั จจุบนั ล้วนแต่เป็ นผลของพัฒนาการต่างๆ ในอดีต พัฒนาการ ต่างๆ ของสิ่ งเหล่านี้ในปั จจุบนั จึงย่อมปรากฏผลต่อไปในอนาคตสื บต่อกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุ ด ฉะนั้น งานวิจยั เอกสารจะมีภาระสาคัญยิง่ ในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและทัศนคติที่เหมาะสมของมนุษย์ ต่อเหตุการณ์ปัจจุบนั ปลูกฝังแนวทางแก้ปัญหาที่เหมาะสมในการดาเนินชี วติ ปั จจุบนั และส่ งเสริ มการ ตระเตรี ยมที่จาเป็ นเพื่อความอยูร่ อดด้วยดีในอนาคต นัน่ คือ งานวิจยั เอกสารช่วยให้เรา รู ้อดีต เข้าใจ ปั จจุบนั และทานายอนาคต ได้ถูกต้องและแม่นยามากขึ้น นิภา ศรี ไพโรจน์ (2531) ได้สรุ ปประโยชน์ของงานวิจยั เชิงประวัติศาสตร์ไว้ 4 ประการ คือ (1) ทาให้เราทราบสภาพของปั ญหาที่เกิดขึ้นในอดีต และพร้อมที่จะแก้ไขอย่างได้ผลและทันท่วงที เมื่อปั ญหาเดียวกันเกิดขึ้นอีก หรื อดาเนินการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขที่จะนาไปสู่ ปัญหาตั้งแต่ตน้ มือ เพื่อ ป้ องกันการเกิดปั ญหานั้น (2) ผลการวิจยั เชิงประวัติศาสตร์ ใช้แก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ ในปั จจุบนั ได้ เพราะว่างานวิจยั เชิงประวัติศาสตร์ จะชี้ให้เห็นถึงปั จจัยที่เป็ นจุดบกพร่ องต่างๆ ของเหตุการณ์ในอดีต จึง ย่อมเป็ นแนวทางกาหนดมาตรการแก้ไขข้อบกพร่ องของงานในปั จจุบนั ได้ถูกจุดและได้ผล (3) เนื่องจาก ความเป็ นมาในอดีตเป็ นรากฐานของความเป็ นอยูแ่ ละเป็ นไปในปั จจุบนั และส่ งผลต่อไปในอนาคตด้วย ผลการวิจยั เชิงประวัติศาสตร์ จึงใช้เป็ นแนวทางปรับปรุ งแก้ไขสิ่ งต่างๆ ให้เหมาะสมกับสภาวะปั จจุบนั ได้เป็ นอย่างดี และ (4) เป็ นพื้นฐานของการปฏิบตั ิงานในปั จจุบนั และเป็ นพื้นฐานแก่ผทู ้ ี่จะทาการศึกษา ค้นคว้าต่อไป การดาเนิ นงานวิจยั เชิงประวัติศาสตร์ จาเป็ นต้องใช้เวลาและความละเอียดถี่ถว้ น กับ สิ้ นเปลืองค่าใช้จ่ายอย่างมาก ในบางกรณี ผูว้ จิ ยั ต้องเดินทางไปยังแหล่งต้นตอของข้อมูลด้วยตนเอง นิสิต นักศึกษาระดับบัณฑิต ซึ่งมีเวลาเพียง 2-4 ปี ในการศึกษาให้จบหลักสู ตร และมีงบประมาณสนับสนุน 81


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

การศึกษาอันจากัด จึงมักจะไม่สามารถเลือกงานวิจยั ประเภทนี้เป็ นวิทยานิพนธ์ได้ อย่างไรก็ตาม หากมี นักศึกษาเป็ นจานวนมากสนใจ สาขาวิชาเอกของนักศึกษาก็อาจจัดทาแผนงานวิจยั ประเภทนี้เป็ น โครงการระยะยาว 5 ปี หรื อ 10 ปี ไว้ และแบ่งส่ วนโครงการวิจยั นั้นออกเป็ นโครงการย่อยหลายโครงการ ที่สามารถดาเนินงานให้แล้วเสร็ จได้ภายในเวลา 1-2 ปี นักศึกษาที่สนใจงานวิจยั ประเภทนี้ก็จะได้มี โอกาสสนองความสนใจของตน โดยเลือกโครงการย่อยดังกล่าวเป็ นวิทยานิพนธ์ เมื่อได้ดาเนิ นงานตาม โครงการย่อยเหล่านั้นครบถ้วนทุกโครงการแล้ว สาขาวิชาเอกนั้นก็ยอ่ มสามารถรวบรวมรายละเอียดของ โครงการย่อยเหล่านั้น และประมวลไว้เป็ นเรื่ องเดียวกันได้ แนวทางดาเนินการเช่นนี้ น่าจะมีความสาคัญ และมีประโยชน์เป็ นพิเศษ งานวิจยั เอกสารสาหรับงานด้านวิทยาศาสตร์ น้ นั มีไม่มากเหมือนกับการวิจยั เชิง ประวัติศาสตร์ ตัวอย่างในทางการแพทย์เกี่ยวกับการศึกษาปั ญหาเรื่ องการใช้ยา ประโยชน์หรื อ ผลการรักษาของการใช้ยานั้น อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น หรื ออาการอันไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้น เพื่อใช้ ร่ วมกับยาอื่น หรื ออาหาร หรื อแม้แต่เครื่ องดื่มใดๆ ย่อมต้องมีการบันทึกไว้อย่างเป็ นระบบ ผูว้ จิ ยั ต้อง ศึกษาถ่องแท้ถึงสาเหตุที่แท้จริ ง และปั จจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงจะสรุ ปได้วา่ เอกสารนั้น ๆ เป็ นรายงานที่ แท้จริ งสามารถเชื่อถือได้ 4.10.2 งานวิจัยเชิงพรรณนา 4.10.2.1 ลักษณะสาคัญ งานวิจยั เชิงพรรณนาหรื องานวิจยั เชิงสารวจอุบตั ิข้ ึนเป็ นครั้งแรกก่อนคริ สตวรรษที่ 20 เมื่อชาวโรมันทาการสารวจจานวน ความรู ้ และรายได้ของประชาชน เพื่อใช้เป็ นพื้นฐานในการเรี ยกเก็บ ภาษี งานสารวจดังกล่าวนี้เป็ นแต่เพียงการรวบรวมข้อมูลจากสภาพปั จจุบนั ในขณะนั้นเพื่อให้ได้ขอ้ มูล ตามที่ตอ้ งการเท่านั้น ต่อมาได้มีการพัฒนาแนวทางและขั้นตอนดาเนิ นงานของงานวิจยั ประเภทนี้ให้ สามารถตอบปั ญหาได้กว้างขวางยิง่ ขึ้น ดังเช่นที่เป็ นอยูใ่ นปั จจุบนั นักวิจยั หลายท่านได้ให้ความหมายหรื อนิ ยามของการวิจยั เชิ งพรรณนาไว้ในประเด็นที่ คล้ายคลึงกันว่า เป็ นการวิจยั ที่เน้นการศึกษาค้นหาข้อเท็จจริ งอธิ บายปรากฎการณ์ที่เป็ นอยูใ่ นปั จจุบนั ต่าง ๆ ตามความเป็ นจริ งของสถานการณ์ ผูว้ จิ ยั ไม่สามารถสร้างสถานการณ์ต่างๆ ตามที่ตนประสงค์ งานวิจยั ประเภทนี้อาจใช้การสารวจ การหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร งานวิจยั ประเภทนี้ นิยมใช้กบั การศึกษา ค้นคว้าเกี่ยวกับความเชื่ อ ความคิดเห็น เอกคติ หรื อสภาพสถานการณ์ต่าง ๆในปั จจุบนั (บุญเรี ยง ขจร ศิลป์ 2503, ล้วน และ อังคณะ สายยศ 2531, นิภา ศรี ไพโรจน์ 2531 และ Gay 1981) Gay (1981) ได้ให้คานิยามว่า เป็ นงานวิจยั ที่ประกอบด้วยการรวบรวมข้อมูลปั จจุบนั สาหรับใช้ทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับเรื่ องที่จะศึกษา เพื่อตอบคาถามเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบนั ของ 82


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เรื่ องที่ศึกษา เป็ นการเสาะแสวงหาเพื่อหยัง่ รู ้รายละเอียดของสิ่ งต่างๆ ตามที่เป็ นอยูใ่ นขณะนั้นแล้ว รายงานผลการเสาะแสวงหานั้น เช่น การประเมินเจตคติ ความคิดเห็น หรื อข้อสนเทศทัว่ ไป เกี่ยวกับ บุคคล สภาวะ วิธีการ หรื อเหตุการณ์ เป็ นต้น 4.10.2.2 การรวบรวมข้ อมูล โดยปกติ การวิจยั เชิงพรรณนาจะรวบรวมข้อมูลตามที่เป็ นอยูใ่ นขณะนั้น โดยการ สารวจด้วยแบบสอบถาม การสัมภาษณ์ หรื อการสังเกต โดยที่ไม่มีการควบคุมใดๆ ต่อสิ่ งที่ใช้เป็ น แหล่งข้อมูลในทานองเดียวกันกับงานวิจยั เอกสาร ซึ่ งศึกษาสิ่ งที่เกิดขึ้นในอดีตโดยไม่มีการควบคุมสิ่ งที่ ใช้เป็ นแหล่งข้อมูลแต่อย่างใด เนื่ องจากข้อมูลที่รวบรวมโดยวิธีดงั กล่าวข้างต้น จะขึ้นอยูก่ บั แหล่งข้อมูล หรื อผูใ้ ห้ขอ้ มูลเป็ นสาคัญ ผูว้ ิจยั จึงมักจะต้องเผชิญกับปั ญหานานัปการในการรวบรวมข้อมูล เช่น เมื่อใช้ แบบสอบถาม จะปรากฏเสมอว่าส่ วนหนึ่งของผูต้ อบแบบสอบถามจะไม่นาพาที่จะตอบคาถามใดๆ บาง รายก็อาจตอบไม่ตรงกับความจริ ง บางรายตอบไม่ครบทุกข้อคาถาม และบางรายไม่ส่งแบบสอบถามที่ ตอบแล้วกลับคืน เมื่อใช้วธิ ี สัมภาษณ์ ก็มกั จะพบเสมอว่าผูใ้ ห้สัมภาษณ์ไม่อยูใ่ ห้สัมภาษณ์ในวันเวลาที่ นัดหมายเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ผูใ้ ห้สัมภาษณ์ตอบไม่ชดั เจน ทาให้ผสู ้ ัมภาษณ์ตอ้ งตีความคาตอบเอง และ เมื่อใช้วธิ ี สังเกต ก็อาจจะมีปัญหาที่ซบั ซ้อนและซ่อนเร้นหลายประการ เช่น เป็ นไปได้ที่ผสู ้ ังเกตจะให้ ทัศนะที่ต่างกันเกี่ยวกับสิ่ งเดียวกันที่เขาสังเกต เป็ นต้น ในกรณี เช่นนี้ ผูว้ ิจยั จะต้องอบรมผูท้ าหน้าที่ สังเกต เพื่อปรับทัศนะที่เขามีต่อสิ่ งที่จะสังเกตให้คล้ายคลึงกันมากที่สุด พร้อมทั้งกาหนดแบบฟอร์ ม กรอกข้อมูลให้ชดั เจนและเจาะจงมากที่สุด เพื่อให้ขอ้ มูลที่ได้เป็ นไปตามข้อเท็จจริ งและเชื่อถือได้ 4.10.2.3 ชนิด แม้วา่ งานวิจยั ประเภทนี้ จะจาแนกชนิดได้ยากมาก ก็มีผสู ้ ันทัดกรณี แสดงการจาแนก ชนิดไว้มากมาย ซึ่ งแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม การจาแนกที่น่าจะเหมาะที่สุดและเป็ นที่นิยมมากที่สุด น่าจะได้แก่การจาแนกที่ Gay (1981) เสนอไว้ คือ งานวิจัยสารวจ (Survey Research) งานวิจัยพัฒนาการ (Developmental Research) งานวิจัยติดตามผล (Follow-up Research) และ งานวิจัยมาตรสั งคม (Sociometric Research) ในที่น้ ีขออธิ บายเพียงงานวิจยั สารวจ ซึ่ งงานวิจยั ชนิดนี้โดยทัว่ ไปใช้แบบสอบถามหรื อ การสัมภาษณ์ เป็ นเครื่ องมือรวบรวมข้อมูล มีลกั ษณะที่สาคัญดังนี้ คือ เป็ นงานที่พยายามรวบรวมข้อมูล เกี่ยวกับตัวแปรตัวเดียวหรื อหลายตัวของประชากรที่ศึกษา เพื่อให้รู้ถึงสภาพปั จจุบนั ของประชากรนั้น เป็ นงานที่ผวู ้ ิจยั จะต้องเตรี ยมตัวเองให้พร้อมที่จะดาเนินงานด้วยตนเองในทุกๆ ด้านนอกจากนี้ และ จัดทาคาอธิ บายตัวแปรต่างๆ กับคาอธิ บายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรเหล่านั้นอย่างชัดเจน ก่อนที่จะ เริ่ มรวบรวมข้อมูลอีกด้วย การวิจยั ชนิ ดนี้ใช้ได้ในวิทยาการหลายสาขา เช่น รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ 83


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

4.10.3 งานวิจัยเชิงทดลอง 4.10.3.1 ลักษณะสาคัญ ในการดาเนินงานวิจยั เชิงทดลอง ผูว้ จิ ยั จะสร้างสถานการณ์อย่างหนึ่งขึ้นมาและให้ สถานการณ์น้ นั ดารงอยูเ่ ป็ นระยะเวลาหนึ่ง แล้วติดตามและตรวจสอบลักษณะ อาการ พฤติกรรม หรื อ รายละเอียดบางอย่างของบุคคล วัตถุ สิ่ งของ หรื อเหตุการณ์ ที่ศึกษา เพื่อให้ทราบว่ามีความเปลี่ยนแปลง หรื อไม่ อย่างไร และเพียงใด นัน่ คือ งานวิจยั เชิงทดลองเป็ นการแสวงหาหรื อหยัง่ รู ้สัมพันธภาพเชิงเหตุ และผลและเชิงปริ มาณ ระหว่างเงื่อนไงหรื อภาวะบางอย่างกับคุณภาพหรื อคุณสมบัติบางประการของ บุคคล วัตถุ สิ่ งของ หรื อเหตุการณ์ที่ผวู ้ ิจยั สนใจ ในวงวิชาการต่างๆ นิยมเรี ยกเงื่อนไขหรื อภาวะอันเป็ น เหตุหรื อสิ่ งที่ถูกกาหนดให้เป็ นเหตุวา่ ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) และเรี ยกคุณภาพหรื อ คุณสมบัติอนั เป็ นผลหรื อสิ่ งที่ถูกกาหนดให้เป็ นผลว่า ตัวแปรตาม (Dependent Variable) ตัวแปรอิสระ และตัวแปรตามที่ศึกษาอาจมีเพียงอย่างละตัว หรื ออย่างละหลายตัวก็ได้ ในงานวิ จ ัย เชิ ง ทดลองนั้ น เป็ นที่ นิ ย มใช้ ก ั น อย่ า งกว้า งขวางในการวิ จ ัย ทั้ง ทาง สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ จาเป็ นต้องมีเหตุและผลจาก การกระทาที่สามารถนาผลมาพิสูจน์ขอ้ เท็จจริ งตามสมมติฐานได้ มีผอู้ ธิ บายให้ทศั นะของการวิจยั เชิ ง ทดลองไว้อย่างกว้างขวาง ซึ่ งพอสรุ ปได้ดงั นี้ งานวิจยั เชิ งทดลอง เป็ นการศึ กษา ค้นคว้า และวิเคราะห์โดยใช้วิธี ทดลอง เป็ นการ จาลองสถานการณ์ ภายใต้สภาพการณ์ ที่ควบคุ มได้ โดยผูว้ ิจยั สามารถกาหนดค่าตัวแปรอิสระได้ตาม ต้องการ เพื่อศึกษาผลที่เกิดขึ้นกับตัวแปรตาม ซึ่ งโดยทัว่ ไปผูว้ ิจยั จะพยายามจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ งกับ ตัวแปรที่ศึกษา และพยายามควบคุมตัวแปรอื่นๆ ทั้งหมดที่ไม่พึงประสงค์จะศึกษา เพื่อพิจารณากาหนด ว่า สิ่ งที่ เกิ ดขึ้นสื บเนื่ องจากตัวแปรที่ ถูกจัดกระทานั้นจริ งหรื อไม่ ผลการวิจยั จะให้ขอ้ สรุ ปที่ แสดงถึ ง ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรในลักษณะของความเป็ นเหตุเป็ นผลได้ (Comptor และ Hall 1972, สุ วฒั น์ วัฒนวงศ์ 2527, บุญเรี ยง ขรศิลป์ จร 2530, ล้วนและอังคณา สายยศ 2531, ยุวดี การญจนิษฐิติ และ สมใจ วิชยั ดิษฐ์ 2531, Wierssma, และ gay 1981) กล่าวโดยสรุ ปก็คือ งานวิจยั เชิงทดลองเป็ นการศึกษาค้นคว้าด้วยกรรมวิธีทาง วิทยาศาสตร์ เพื่อหยัง่ รู ้สัมพันธภาพเชิงเหตุและผล ระหว่างสภาวะหรื อเงื่อนไขบางอย่างกับคุณภาพหรื อ คุณสมบัติบางประการของบุคคล สัตว์ พืช วัตถุ สิ่ งของ หรื อเหตุการณ์ เพื่อให้เข้าใจปรากฏการณ์ บางอย่างอย่างแม่นยา ถ่องแท้และลึกซึ้ งยิง่ ขึ้น หรื อเพื่อเป็ นแนวทางแก้ปัญหาหรื อปรับปรุ งวิธีปฏิบตั ิ บางอย่าง หรื อเพื่อเป็ นแนวทางทานายลักษณะ หรื อแนวโน้มในอนาคตของปรากฏการณ์บางอย่าง ใน การดาเนิ นงานวิจยั ประเภทนี้ ผูว้ จิ ยั จะต้องสร้างสถาณการณ์ข้ ึนมาเพื่อสังเกตความสัมพันธ์ที่ประสงค์จะ หยัง่ รู ้ และจะต้องดาเนินการควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อขจัดความพัวพันอย่างมีนยั สาคัญของสภาวะหรื อ 84


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เงื่อนไขอื่นใดที่มิใช่สภาวะหรื อเงื่อนไขที่นามาศึกษาต่อคุณภาพหรื อคุณสมบัติที่ศึกษา เพื่อให้มนั่ ใจได้ ว่าสัมพันธภาพใดๆ ที่ปรากฏออกมา ระหว่างสภาวะหรื อเงื่อนไขกับคุณภาพหรื อคุณสมบัติน้ นั สื บ เนื่องมาจากสภาวะหรื อเงื่อนไขที่ศึกษาเป็ นสาคัญ งานวิจยั เชิงทดลองจะใช้กลุ่มบุคคล สัตว์ พืช วัตถุ สิ่ งของหรื อเหตุการณ์ที่ผวู ้ จิ ยั ประสงค์จะศึกษาคุณภาพหรื อคุณสมบัติบางประการ อย่างน้อย 2 กลุ่ม เป็ นแหล่งข้อมูล โดยจะใช้กลุ่ม หนึ่งเป็ นกลุ่มควบคุม (Control Group) คือ กลุ่มปลอดสภาวะหรื อเงื่อนไขที่จะศึกษาสัมพันธภาพ และอีก กลุ่มหนึ่งเป็ นกลุ่มรับสภาวะหรื อเงื่อนไขที่จะศึกษาสัมพันธภาพ (Treated Group) ถ้าประสงค์จะศึกษา สภาวะหรื อเงื่อนไขหลายอย่าง ก็จะต้องเพิ่มจานวนกลุ่มตามจานวนสภาวะหรื อเงื่อนไขที่เพิ่มขึ้น เพราะว่ากลุ่มหนึ่งๆ จะรับสภาวะหรื อเงื่อนไขได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น สภาวะหรื อเงื่อนไขที่นามาศึกษาสัมพันธภาพเป็ นตัวกระทาหรื อตัวแสดงอิทธิ พลต่อตัว ทดลอง (Experimental Object) อันได้แก่ บุคคล สัตว์ พืช วัตถุ สิ่ งของ หรื อเหตุการณ์ ที่ใช้เป็ น แหล่งข้อมูลงานวิจยั กิริยาอาการที่ตวั ทดลองแสดงออกมาเมื่อได้รับการกระทาหรื ออิทธิ พลนั้น ซึ่ งนิยม เรี ยกว่าการตอบสนองของตัวทดลอง และเป็ นตัวชี้ของคุณภาพหรื อคุณสมบัติของตัวทดลองที่ยกขึ้นมา ศึกษา คือ ข้อมูลหรื อผลการทดลอง งานวิจยั เชิงทดลองโดยปกติจะกระทาซ้ าหลายครั้ง (Replication) ซึ่งอาจจะเป็ นการใช้ ตัวกระทาหลายๆ ครั้งต่อตัวทดลองเดิม หรื อให้ตวั ทดลองหลายตัวได้รับการกระทาจากตัวกระทาตัว เดียวกันก็ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยูก่ บั ลักษณะของการตอบสนองของตัวทดลองต่อตารับทดลอง ฉะนั้น จะมีขอ้ มูล ดิบมากกว่าหนึ่งชิ้นต่อหนึ่งสภาวะหรื อเงื่อนไขที่นามาศึกษา และจะนิยมใช้ค่าเฉลี่ยของข้อมูลดิบ เหล่านั้นเป็ นผลการทดลอง การทาหลายซ้ าให้ประโยชน์ดา้ นเสริ มสร้างความเชื่อถือได้ของผลการ ทดลอง ตัวอย่างของการวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ มีมากมายในหลายสาขา ล้วนแต่ตอ้ งอาศัยการวิจยั เชิงทดลองแทบทั้งสิ้ น อาจมีท้ งั ในห้องปฏิบตั ิการและนอกห้องปฏิบตั ิการ ซึ่ งจะอยู่ ณ สถานที่ที่มีการ ทดลองจริ งในสาขาการแพทย์และสาธารณสุ ข การวิจยั ค้นคว้าและพัฒนายาใหม่ยอ่ มประกอบด้วยการ วิจยั เชิงทดลองแทบทั้งสิ้ น เช่น การทดลองพัฒนาตารับยาเจลฟ้ าทะลายโจร เพื่อใช้เสริ มการรักษาโรคปริ ทันต์อกั เสบ ในการปรับขนาดของความเข้มข้นของสารสกัดในตารับยา จาเป็ นต้องกาหนดตัวแปรอิสระ คือ เปอร์ เซ็นของความเข้มข้น เพื่อนาไปทดสอบการยับยั้งเชื้อในห้องปฏิบตั ิการและนาไปทดลองใช้กบั ผูป้ ่ วยในคลินิกทันตกรรม โดยต้องกาหนดตัวแปรตามที่จะมีผลมาจากตัวแปรอิสระ คือ ความเข้มข้นที่ กาหนด ตัวแปรตามที่กาหนด เช่นความตื้นขึ้นของร่ องลึกปริ ทนั ต์ การลดอาการอักเสบของเหงือก จานวนการปลดปล่อยของตัวยาและที่มีหลงเหลืออยูใ่ นน้ าเหลือง เหงือก ฯลฯ ในการทดลองนี้ตอ้ งมีการ 85


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ทาซ้ าๆ กันในผูป้ ่ วยจานวนพอเพียงทางด้านสถิติ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของตารับยาและผลทางการ รักษาผูป้ ่ วย 4.10.3.2 หน่ วยทดลอง การวิจยั เชิ งทดลองทุกชิ้นจะต้องมีตวั ทดลอง หรื อตัวรับเงื่อนไขที่ศึกษาเพื่อเป็ นแหล่ง ข้อมูล ตัวทดลองหรื อตัวรับเงื่ อนไขดังกล่าวนี้ นิ ยมเรี ยกว่า หน่ วยทดลอง (Experimental Unit) และ อาจจะเป็ นบุคคล สัตว์ พืช วัตถุ สิ่ งของหรื อเหตุการณ์ ก็ได้ ทั้งนี้ ข้ ึนอยูก่ บั ธรรมชาติของปรากฎการณ์ ที่ เป็ นสาระของเรื่ อ งหรื อ ประเด็ น ที่ น ามาวิ จ ัย หน่ ว ยทดลองจึ ง เป็ นสิ่ ง ที่ ผูว้ ิ จ ัย ประสงค์จ ะหยัง่ รู ้ ก าร ตอบสนองของสิ่ งนั้นต่อเงื่อนไขต่างๆ ที่ศึกษา รวมทั้งเงื่อนไขมาตรฐานหรื อเงื่อนไขควบคุมด้วย ในแต่ละซ้ าของงานวิจยั เชิงทดลอง จะใช้หน่วยทดลองในสัดส่ วนหน่วยทดลองหนึ่ ง หน่วยต่อหนึ่งเงื่อนไขที่ศึกษา นัน่ คือ จะใช้เงื่อนไขที่ศึกษามากกว่าหนึ่งเงื่อนไขกับหน่วยทดลองเดียวกัน ในขณะเดียวกันไม่ได้ เพราะว่าจะไม่สามารถกาหนดได้วา่ การตอบสนองที่หน่วยทดลองหนึ่งแสดง ออกมา สื บเนื่ องมาจากเงื่อนไขใด เมื่อใช้เงื่อนไขมากกว่าหนึ่งเงื่อนไขกับหน่วยทดลองนั้น หน่วยทดลองแต่ละหน่วย เป็ นตัวอย่างอันหนึ่งของประชากร ที่งานวิจยั เชิงทดลอง ประสงค์จะหยัง่ รู ้นยั ทัว่ ไปเกี่ยวกับคุณภาพหรื อคุณสมบัติบางประการของสิ่ งทดลองนั้นจากผลการ ทดลอง ฉะนั้น จึงจาเป็ นที่หน่วยทดลองแต่ละหน่วยจะต้องเป็ นตัวแทนที่ดีของประชากรที่เราจะนาผล การทดลองไปใช้กาหนดนัยทัว่ ไป เพื่อเป็ นหลักประกันว่าการตอบสนองของหน่วยทดลองต่อเงื่อนไข หรื อตัวกระทาที่ศึกษา จะเป็ นตัวแทนที่ดีของการตอบสนองของประชากรต่อเงื่อนไขหรื อตารับทดลอง นอกจากนี้ก่อนที่จะได้รับเงื่อนไขที่ศึกษาใดๆ หน่วยทดลองทั้งหลายที่ใช้ในการทดลองจะต้องไม่ แตกต่างกันอย่างมีนยั สาคัญในด้านลักษณะพื้นฐานต่างๆ อีกด้วย การเลือกสมาชิกของประชากรออกมาเป็ นสมาชิกของหน่วยทดลองแต่ละหน่วย มี หลักการเช่นเดียวกับการเลือกตัวอย่างที่ได้อธิ บายไว้ในหัวข้อ งานวิจยั เชิงพรรณนา นัน่ คือ จะต้องให้ โอกาสที่จะถูกเลือกเท่ากันแก่สมาชิกแต่ละคนหรื อแต่ละชิ้นของประชากร ซึ่ งกระทาได้โดยการสุ่ มเลือก ประชากรของสิ่ งที่ประกอบกันเป็ นหน่วยทดลอง อาจจะเป็ นของจริ งที่ปรากฏตัวอยู่ แล้วหรื อเป็ นสิ่ งที่ยงั ไม่ปรากฏตัวก็ได้ คืออาจเป็ นรู ปธรรมหรื อเป็ นเพียงนามธรรมก็ได้ เช่น ในกรณี ของ การศึกษาอิทธิ พลของปุ๋ ยต่อการเติบโตและผลผลิตของข้าวโพดพันธุ์ใดพันธุ์หนึ่ง ประชากรย่อมได้แก่ ต้นข้าวโพดพันธุ์น้ นั ทั้งปวงที่จะมีได้ในโลกนี้ หรื อในท้องที่ที่จะนาข้อสรุ ปของงานวิจยั ไปใช้เป็ นนัย ทัว่ ไป รวมทั้งต้นที่ยงั ไม่งอกจากเมล็ดด้วย ในทางปฏิบตั ิ ประชากรดังกล่าวนี้ยงั ไม่ปรากฏตัวในขณะที่ ดาเนินการเลือกหน่วยทดลอง เพราะว่าแม้แต่ตน้ ที่จะใช้เป็ นหน่วยทดลอง ผูว้ ิจยั ก็จะต้องสร้างขึ้นมาโดย

86


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

การนาเมล็ดไปเพาะ ในกรณี เช่นนี้ แทนที่จะเลือกหน่วยทดลองโดยการสุ่ ม จะนิยมจัดเงื่อนไขที่ศึกษา ให้แก่หน่วยทดลองโดยการสุ่ ม 4.10.3.3 สิ่ งทดลอง ในการดาเนินงานวิจยั เชิงทดลอง ผูว้ จิ ยั จะสร้างสถานการณ์ข้ ึนมา โดยการให้การปฏิบตั ิ พิเศษเฉพาะอย่างที่จาเป็ นแก่หน่วยทดลองเป็ นระยะเวลาหนึ่ง การปฏิบตั ิพิเศษเฉพาะอย่างที่จาเป็ น ดังกล่าวนี้ นิยมเรี ยกว่า สิ่ งทดลอง (Treatment) ฉะนั้น สภาวะหรื อเงื่อนไขแต่ละอย่าง ที่งานวิจยั ประสงค์ จะหยัง่ รู ้สัมพันธภาพ ซึ่ งเรี ยกว่าสภาวะหรื อเงื่อนไขทดสอบ ก็คือสิ่ งทดลองสิ่ งหนึ่งนัน่ เอง สภาวะหรื อ เงื่อนไขมาตรฐานสาหรับให้สัมพันธภาพมาตรฐาน เพื่อเป็ นเกณฑ์อา้ งอิงในการวินิจฉัยสัมพันธภาพ ซึ่ง ก็เป็ นสิ่ งทดลองสิ่ งหนึ่งด้วย นัน่ คือ การให้แต่ละเฉพาะเงื่อนไขหรื อการปฏิบตั ิมาตรฐาน หรื อการไม่ให้ เงื่อนไขหรื อการปฏิบตั ิพิเศษเฉพาะอย่างใดๆ แก่หน่วยทดลองที่เกี่ยวข้อง ก็ถือว่าเป็ นสิ่ งทดลองสิ่ งหนึ่ง ด้วย ฉะนั้นในกรณี ของการศึกษาการใช้นามันหมูแทนเนยในการทาขนมเค้ก เนยและน้ ามันหมู ต่างก็ เป็ นสิ่ งทดลอง และถ้ามีการใช้น้ ามันหมูในสัดส่ วนต่างๆ ในงานวิจยั นี้ น้ ามันหมูแต่ละสัดส่ วนก็จะเป็ น สิ่ งทดลองสิ่ งหนึ่งด้วย สิ่ งทดลอง เป็ นสิ่ งที่ผทู ้ าวิจยั จะต้องกาหนดให้เป็ นที่แน่นอนและชัดเจนก่อนเริ่ ม ดาเนินงานวิจยั เชิงทดลอง โดยพิจารณาจากธรรมชาติของปรากฏการณ์ที่เป็ นสาระของเรื่ องหรื อประเด็น ที่นามาวิจยั วัตถุประสงค์ของงานวิจยั ผลงานในอดีตที่เกี่ยวข้องต่างๆ ความเป็ นไปได้ทางปฏิบตั ิและ ความเหมาะสมกับสภาพการณ์จริ งโดยทัว่ ไป ประกอบกัน ในบางกรณี อาจจะต้องลองใช้สิ่งทดลองบาง สิ่ งเสี ยก่อน เพื่อยืนยันความเป็ นไปได้ทางปฏิบตั ิและความเหมาะสมกับสภาพการณ์ เนื่องจากสิ่ งทดลองเป็ นสิ่ งที่ผวู ้ จิ ยั กาหนดขึ้นมาก่อน เพื่อเป็ นตัวเหตุ (Cause) ของ สัมพันธภาพที่เขาประสงค์จะหยัง่ รู ้ ในวงการวิจยั และวงวิชาการคณิ ตศาสตร์ และสถิติศาสตร์ จึงนิยม เรี ยกสิ่ งทดลองว่าเป็ น ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) หรื อ ตัวแปรทดสอบ (Experimental Variable) ในขณะเดียวกัน ก็เรี ยกการตอบสนองหรื อกิริยาอาการที่ใช้เป็ นตัวชี้ลกั ษณะหรื อระดับของ คุณภาพหรื อคุณสมบัติที่ยกขึ้นมาศึกษาของหน่วยทดลอง อันเป็ นตัวผล (Effect) ของสัมพันธภาพที่ งานวิจยั ประสงค์จะหยัง่ รู ้วา่ ตัวแปรตาม (Dependent Variable) หรื อ ตัวแปรผล (Outcome Variable) งานวิจยั เชิงทดลองจึงมีเป้ าหมายเพื่อหยัง่ รู ้วา่ สิ่ งทดลองที่ใช้กบั หน่วยทดลอง เป็ นสาเหตุของกิริยาอาการ ที่หน่วยทดลองแสดงออกมาในขณะที่ได้รับสิ่ งทดลองนั้นหรื อไม่ และถ้าเป็ นสาเหตุ สัมพันธภาพเชิง เหตุและผลนั้นเป็ นอย่างไร ฉะนั้น เมื่อผลการทดลองชี้ วา่ มีสัมพันธภาพเชิงเหตุและผล จึงมักจะมีการ ดาเนินการต่อไปอีกขั้นตอนหนึ่งด้วย คือ การใช้หลักการทางสถิติศาสตร์ สร้างสมการตอบสนอง (Response Equation) ซึ่ งเป็ นคานิยามทางคณิ ตศาสตร์ ของสัมพันธภาพเชิงเหตุและผลนั้น นัน่ คือ จะใช้

87


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สมการนี้คานวณออกมาได้วา่ เงื่อนไขต้นเหตุ จะเป็ นอย่างไร

กิริยาอาการของหน่วยทดลองต่อระดับใดระดับหนึ่ งของสภาวะหรื อ

ในงานวิจยั เชิงทดลองแต่ละชิ้นจะมีสิ่งทดลองอย่างน้อย 2 สิ่ ง คือ สิ่ งทดลองมาตรฐาน หรื อสิ่ งควบคุม กับสิ่ งทดลองทดสอบ แต่ส่วนใหญ่จะมีสิ่งทดลองทดสอบมากกว่าหนึ่งสิ่ ง เพื่อ เสริ มสร้างหรื อกระชับความแม่นยา ความแน่ชดั และความเป็ นประโยชน์กว้างไกลของข้อสรุ ป สิ่ ง ทดลองทดสอบต่างๆ ในงานวิจยั ชิ้นเดียวกันอาจจะเป็ นสิ่ งเดียวกันแต่มีความเข้มหรื อลักษณะการใช้ที่ ต่างกัน หรื อเป็ นคนละสิ่ งโดยสิ้ นเชิง ก็ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยูก่ บั วัตถุประสงค์ของงานวิจยั เป็ นสาคัญ เช่น ใน การศึกษาสรรพคุณของยา สิ่ งทดลองทดสอบทั้งหลายอาจจะเป็ นยาชนิ ดเดียวกันและปริ มาณตัวยาทั้งสิ้ น เท่ากัน แต่ใช้ ณ เวลาที่ต่างกัน เช่น ก่อนอาหาร หลังอาหาร ก่อนเข้านอน และระหว่างเวลาอาหาร เป็ น ต้น ในกรณี น้ ี เวลาของการใช้ยาแต่ละเวลาดังกล่าวนี้ ก็คือสิ่ งทดลองทดสอบสิ่ งหนึ่งนัน่ เอง หรื ออาจจะ เป็ นยาชนิดเดียวกันและใช้ ณ เวลาเดียวกัน แต่ปริ มาณตัวยาทั้งสิ้ นแตกต่างกัน นัน่ คือ ปริ มาณตัวยา ทั้งสิ้ นแต่ละปริ มาณ คือสิ่ งทดลองทดสอบสิ่ งหนึ่ง หรื ออาจจะเป็ นยาชนิ ดต่างๆ ที่ใช้รักษาโรคเดียวกัน ได้ นัน่ คือ ยาแต่ละชนิด คือสิ่ งทดลองทดสอบสิ่ งหนึ่ง เป็ นต้น 4.10.3.4 การควบคุม การควบคุมเป็ นการปฏิบตั ิที่จาเป็ นและสาคัญยิง่ ในงานวิจยั เชิงทดลอง หมายถึงการ ดาเนินมาตรการทั้งปวง เพื่ออานวยให้สิ่งทดลองแต่ละสิ่ ง แสดงอิทธิ พลที่แท้จริ งอย่างเต็มที่และ ตรงไปตรงมาต่อหน่วยทดลองที่รับสิ่ งทดลองนั้น พร้อมกับอานวยให้หน่วยทดลองแต่ละหน่วยแสดง การตอบสนองที่แท้จริ งอย่างเต็มที่และตรงไปตรงมา ต่ออิทธิ พลของสิ่ งทดลองได้รับการควบคุมจึงเป็ น การประกันทั้งความตรงประเด็นและความเชื่ อถือได้ของผลการทดลอง การควบคุมเป็ นทั้งการตรึ งและการปลดปล่อย คือ เป็ นการตรึ งสิ่ งทดลองแต่ละสิ่ งให้ เป็ นไปตามที่กาหนดไว้อย่างแท้จริ งทุกประการ กับตรึ งสภาวะหรื อเงื่อนไขอื่นใดทั้งปวง ที่มิใช่สภาวะ หรื อเงื่อนไขที่นามาศึกษา ให้เหมือนหรื อเท่ากันหมด ณ ขณะใดขณะหนึ่งในทุกหน่วยทดลอง ตลอด ห้วงเวลาของการทดลอง พร้อมกันนั้น ก็ปลดปล่อยกิริยาอาการของหน่วยทดลองแต่ละหน่วย ให้ปรากฏ ออกมาอย่างอิสระเสรี และไม่มีอะไรเคลือบแฝงหรื อบดบัง การควบคุมเป็ นสิ่ งที่จะต้องกระทาในทุกขั้นตอนของงานวิจยั เชิงทดลอง และ ณ ทุก ขณะของการดาเนินงานต่างๆ ในงานวิจยั ประเภทนี้ การใช้วธิ ี สุ่มในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง หรื อกาหนด หน่วยทดลอง หรื อในการกาหนดว่าจะใช้ตารับทดลองใดกับหน่วยทดลองใด เป็ นมาตรการควบคุมอย่าง หนึ่ง การเลือกผังการทดลองและวิธีวเิ คราะห์ขอ้ มูลทางสถิติศาสตร์ ที่เหมาะสม ก็เป็ นมาตรการควบคุม เช่นกัน 88


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

การควบคุมที่เหมาะสม เป็ นการปฏิบตั ิที่จาเป็ นต่อตัวแปรต่างๆ ทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับ งานทดลอง ทั้งตัวแปรที่เกี่ยวข้องโดยตรงและที่เกี่ยวข้องโดยอ้อม ตัวแปรที่เกี่ยวข้องโดยตรงได้แก่ สิ่ ง ทดลองหรื อตัวแปรอิสระทั้งหลายที่นามาใช้ในงานทดลองนั้น และกิริยาอาการชี้คุณภาพเฉพาะอย่างที่ ยกขึ้นมาศึกษาของหน่วยทดลอง อันเป็ นตัวแปรตามต่างๆ ส่ วนตัวแปรที่เกี่ยวข้องโดยอ้อมได้แก่ สิ่ งใดก็ ตามที่มิใช่สิ่งทดลอง แต่มีหรื ออาจมีอิทธิ พลพัวพันอย่างใดอย่างหนึ่งต่อการแสดงอิทธิ พลที่แท้จริ งของ สิ่ งทดลอง หรื อต่อกิริยาอาการที่หน่วยทดลองแสดงออกมา ในขณะที่ตวั แปรที่เกี่ยวข้องโดยอ้อมนี้ อาจจะเป็ นบางสิ่ งบางอย่างที่อยูภ่ ายในหน่วยทดลองเอง ซึ่ งนิยมเรี ยกว่า ตัวแปรแทรกแซง (Intervening variable) หรื อเป็ นสิ่ งที่อยูภ่ ายนอกหน่วยทดลอง ซึ่ งนิยมเรี ยกว่า ตัวแปรนอกเรื่อง (Extraneous variable) อิทธิ พลของทั้งตัวแปรแทรกแซงและตัวแปรนอกเรื่ อง เป็ นสิ่ งที่จะต้องได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวด และได้ผล เพื่อยับยั้งอย่างสิ้ นเชิง หรื อถ้าไม่อยูใ่ นวิสัยที่จะยับยั้งได้ ก็ให้อิทธิ พลนั้นปรากฏในระดับ เดียวกันหมดทุกหน่วยทดลอง หรื อปรากฏในลักษณะสุ่ ม คือ ทานายไม่ได้วา่ จะปรากฏในหน่วยทดลอง ใดบ้างและมากน้อยเพียงใด อิทธิ พลของตัวแปรนอกเรื่ อง ส่ วนใหญ่จะเกิดจากความไม่รอบคอบ ความรอบคอบไม่ เพียงพอ หรื อความรอบรู ้สถานการณ์ที่ไม่ถว้ นทัว่ ในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง หรื อกาหนดหน่วยทดลอง ความหย่อนสมรรถภาพของกรรมวิธีหรื ออุปกรณ์ดาเนินงาน การปฏิบตั ิงานผิดพลาดของเครื่ องจักรกลที่ ใช้ในการดาเนิ นงาน ความจากัดของทรัพยากรดาเนินงานต่างๆ รวมทั้งเวลาด้วย ความบกพร่ องของ มาตรการควบคุมต่างๆ และสภาพเฉพาะหน้าตามความเป็ นจริ งของสิ่ งแวดล้อม เช่น ในการศึกษา ผลสัมฤทธิ์ ของนักเรี ยนชั้นมัธยมปี ที่ 1 ที่ร่วมโครงการวิชาการงาน ถ้าผูว้ ิจยั ขาดความรอบคอบหรื อไม่รู้ มาก่อนว่ามีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ ของนักเรี ยนมากมาย เช่น อายุ ความรู ้พ้นื ฐาน บุคลิกภาพ เชาวน์ปัญญา ความถนัด สภาพการเลี้ยงดู อุปนิสัย เจตคติ และความสนใจ เป็ นต้น ก็อาจเลือกกลุ่ม ตัวอย่างโดยไม่คานึงถึงปั จจัยต่างๆ เหล่านี้ คือ ขอให้เป็ นนักเรี ยนชั้นมัธยมปี ที่ 1 เป็ นใช้ได้ ซึ่งอาจจะมี อิทธิ พลของตัวแปรนอกเรื่ อง อันได้แก่ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวนี้อยูใ่ นผลสัมฤทธิ์ ที่สังเกตได้จากกลุ่ม ตัวอย่างนั้น ฉะนั้น ข้อสรุ ปเกี่ยวกับสัมพันธภาพระหว่างการร่ วมโครงการวิชาการงานกับผลสัมฤทธิ์ ของ นักเรี ยน จึงอาจจะไม่แม่นยาและแน่ชดั เท่าที่ควร แต่ถา้ กาหนดให้ประชากรประกอบด้วยแต่เฉพาะ นักเรี ยนชั้นมัธยมปี่ ที่ 1 ที่มีอายุเท่ากัน กับมีเจตคติและความถนัดในวิชาการงานเท่านั้นที่นกั เรี ยน เหล่านั้นอาจจะแตกต่างกันในจานวนปั จจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ ของนักเรี ยน แล้วเลือกกลุ่ม ตัวอย่างตามเกณฑ์ดงั กล่าวนี้ ก็น่าจะได้ขอ้ สรุ ปเกี่ยวกับสัมพันธภาพระหว่างการร่ วมโครงการวิชาการ งานกันหรื อควบคุมได้ ถ้าผูว้ จิ ยั มีความรอบคอบและพิถีพิถนั อยูท่ ุกขณะในการวางแผนและการ ดาเนินงาน เป็ นผูร้ อบรู ้และช่างสังเกต และมีไหวพริ บและความสามารถเพียงพอในการแก้ไข สถานการณ์เฉพาะหน้าในกรณี ที่เป็ นเหตุสุดวิสัยที่จะควบคุมหรื อป้ องกันได้ เช่น เกิดภัยธรรมชาติ กลางคันและเป็ นผลให้กลุ่มตัวอย่างหรื อหน่วยทดลองบางส่ วนเสี ยหาย หรื อเครื่ องจักรกลหรื ออุปกรณ์ 89


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

บางอย่างที่ใช้รวบรวมข้อมูลชารุ ดและจาเป็ นต้องใช้เครื่ องมือหรื ออุปกรณ์ชนิ ดอื่นที่ดอ้ ยสมรรถภาพ หรื อคุณภาพกว่าแทน เป็ นต้น ก็อาจจะต้องเลิกล้มการทดลอง และเริ่ มดาเนินการทดลองใหม่เมื่อทุกอย่าง เป็ นปกติ หรื อระบุสิ่งผิดปกติท้ งั หลายไว้ในรายงานการวิจยั ในส่ วนของข้อจากัดของข้อสรุ ป ทั้งนี้ ขึ้นอยูก่ บั ความรุ นแรงของอิทธิ พลของตัวแปรนอกเรื่ องที่ไม่อยูใ่ นวิสัยที่จะป้ องกันหรื อควบคุมได้ และ ความเสี ยหายที่จะเกิดขึ้นเมื่อนาข้อสรุ ปจากงานวิจยั ไปใช้อย่างสะเพร่ า การวิจยั ในด้านเครื่ องสาอาง การทดสอบประสิ ทธิ ภาพของเครื่ องสาอางชนิดต่าง ๆ เช่น การทดสอบประสิ ทธิ ภาพของครี มทาให้หน้าขาวในอาสาสมัคร จาเป็ นอย่างยิง่ ที่ตอ้ งมีความ รอบคอบในการเลือกอาสาสมัครนอกจากกาหนดตัวแปรอิสระที่สาคัญ ๆ แล้ว จาเป็ นต้องกาหนด พฤติกรรมหรื อข้อห้าม หรื ออาจเป็ นอาชีพของอาสาสมัครด้วย ซึ่ งบางครั้งผูว้ ิจยั อาจคาดไม่ถึงเพราะ บาง อาชีพต้องสัมผัสกับแสงแดดเกือบตลอดเวลา บางอาชีพอยูแ่ ต่ในร่ ม ทาให้การตอบสนองต่อครี ม ทาให้ หน้าขาวแตกต่างกัน อาจทาให้ผลการทดลองคลาดเคลื่อนได้ 4.10.3.5 ขั้นตอนดาเนินงาน ขั้นตอนดาเนินงานของงานวิจยั เชิงทดลองเหมือนกันกับขั้นตอนดาเนินงานของ งานวิจยั ประเภทอื่นๆ จึงประกอบด้วยการวางฐานรากของงาน (การประเมินสถานะปัจจุบนั ของเรื่ องราว การตรวจเอกสาร การกาหนดหัวข้อหรื อประเด็นของงาน การนิยามปั ญหา การกาหนดวัตถุประสงค์ และ การตั้งสมมติฐาน) การกาหนดเค้าโครงของงาน (การเลือกผังงาน การกาหนดลาดับขั้นตอนดาเนินงาน และการให้รายละเอียดสาคัญของแต่ละส่ วนของผังงานและแต่ละขั้นตอนดาเนินงาน) การเตรี ยมวัสดุ และอุปกรณ์ดาเนินงาน (การกาหนดประชากร การเลือกตัวอย่าง การจัดตัวอย่างเข้าที่ต้ งั ตามผังงาน และ การกาหนดและจัดหาเครื่ องมือรวบรวมข้อมูล และเครื่ องใช้ วัสดุ และอุปกรณ์ดาเนิ นงานต่างๆ ) การ รวบรวมข้อมูล (การให้สิ่งทดลองแก่หน่วยทดลอง การดาเนินมาตรการกากับตรวจสอบและควบคุม การ ใช้เครื่ องมือรวบรวมข้อมูล และการบันทึกข้อมูลและข้อสังเกตที่สาคัญต่างๆ) การวิเคราะห์ขอ้ มูล (การ จัดหมวดหมู่ขอ้ มูล การแปรข้อมูล การดาเนินกระบวนการวิเคราะห์ขอ้ มูลทางสถิติศาสตร์ และการ บันทึกผลการวิเคราะห์) การกาหนดข้อสรุ ป (การใช้ผลการวิเคราะห์ทางสถิติศาสตร์พินิจข้อมูล การ จาแนกลักษณะเด่นของสัมพันธภาพระหว่างเงื่อนไขและคุณสมบัติที่ศึกษา และการสังเคราะห์นยั ทัว่ ไป เกี่ยวกับสัมพันธภาพเหล่านั้น) และการเขียนรายงาน 4.10.3.6 ข้ อจากัด แม้วา่ งานวิจยั เชิงทดลองจะมีลกั ษณะเด่นหลายประการ ที่เป็ นข้อได้เปรี ยบงานวิจยั ประเภทอื่นๆ เช่น ใช้ศึกษาค้นคว้าได้ท้ งั ในแนวกว้างและแนวลึก ใช้ศึกษาเรื่ องราวทั้งที่ผา่ นไปแล้วใน อดีตที่กาลังปรากฏอยูใ่ นปั จจุบนั และที่อาจจะเป็ นไปได้หรื อน่าจะเป็ นในอนาคตได้ โอกาสที่ขอ้ มูลจะ บิดเบือนหรื อคลาดเคลื่อนมีนอ้ ย เพราะเป็ นสิ่ งที่ได้มาจากการสังเกตโดยตรงจากของจริ ง โดยไม่ผา่ นสื่ อ 90


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ถ่ายทอดใดๆ และมีมาตรการที่มีประสิ ทธิ ผลสาหรับประกันหรื อกระชับทั้งความแม่นยา ความตรง ประเด็น ความเชื่อถือได้ และความเป็ นปรนัยของข้อมูล เป็ นต้น งานวิจยั ประเภทนี้ก็มีขอ้ จากัดบาง ประการด้วยเหมือนกัน ซึ่ งจะกล่าวถึงต่อไป ต้นตอของข้อมูลในงานวิจยั เชิงทดลอง เป็ นสิ่ งที่จะต้องสร้างขึ้นมาและควบคุมให้ดารง อยูเ่ ช่นนั้น จนกว่าการรวบรวมข้อมูลจะแล้วเสร็ จสมบูรณ์ การสร้างและควบคุมต้นตอของข้อมูล เป็ น การปฏิบตั ิที่สิ้นเปลืองทรัพยากรต่างๆ มาก ทั้งเวลา แรงงาน ปั ญญา และค่าใช้จ่าย และไม่อาจกระทาได้ สาเร็ จเสมอไป ฉะนั้น งานวิจยั เชิงทดลอง จึงมีความต้องการทรัพยากรต่างๆ ในจานวนที่มากกว่างานวิจยั ประเภทอื่นๆ มาก สิ่ งทดลองและการปฏิบตั ิที่จาเป็ นอื่นๆ โดยทัว่ ไปจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ถาวร ขึ้นกับหน่วยทดลอง และในบางกรณี จาเป็ นต้องทรมาน ทาอันตราย หรื อทาลายหน่วยทดลองอีกด้วยจึง จะรวบรวมข้อมูลได้ ฉะนั้น งานวิจยั เชิงทดลองจึงใช้กบั มนุษย์และสัตว์ไม่ได้เสมอไป ในกรณี ที่ใช้ได้ หรื อจาเป็ นต้องใช้กบั มนุษย์ ก็จาเป็ นต้องระมัดระวังอย่างยิง่ ในเรื่ องความเสี ยหาย ความทรมาน และ อันตรายที่จะเกิดขึ้น กับจะต้องให้ผทู ้ ี่จะใช้เป็ นหน่วยทดลองยินยอมอีกด้วย การระมัดระวังและความ ยินยอมดังกล่าวนี้ มิใช่สิ่งที่จะกระทาได้สาเร็ จและได้มาโดยง่ายเสมอไป ในบางกรณี การเปลี่ยนแปลง ความเสี ยหาย หรื ออันตราย ที่เกิดจากสิ่ งทดลองหรื อการปฏิบตั ิที่จาเป็ นอื่นๆ อาจเกิดขึ้นกับผูอ้ ื่นที่ไม่ใช่ สมาชิกของหน่วยทดลอง รวมทั้งผูว้ จิ ยั เองและผูช้ ่วยงานทั้งหลายกับสิ่ งแวดล้อม อีกด้วย การวิจยั ทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิง่ การพัฒนายา จาเป็ นอย่างยิง่ ที่ตอ้ ง กระทาในสัตว์ทดลอง เพื่อพิสูจน์ประสิ ทธิ ภาพของยานั้น ๆ หรื อ การวิจยั พืชสมุนไพร ในการทดสอบ ฤทธิ์ ทางเภสัชวิทยาของสารสกัดสมุนไพรจะต้องทาในสัตว์ทดลองเป็ นส่ วนใหญ่ นอกเหนือจากการ ทดสอบฤทธิ์ กบั เชื้อจุลินทรี ยห์ รื อเซลล์ ในการใช้สัตว์ทดลองนั้นแม้วา่ จะเป็ นการทรมานหรื อทาให้ สัตว์ทดลองเป็ นโรคตามที่ตอ้ งการ แล้วจึงใช้ยาเพื่อดูการตอบสนองของยานั้นๆ ในสัตว์ทดลอง ในการ ทดสอบความเป็ นพิษในสัตว์ทดลอง โดยเฉพาะอย่างยิง่ หนู ซึ่ งในขั้นสุ ดท้ายจาเป็ นอย่างยิง่ ที่ตอ้ งฆ่าหนู เพื่อนาชิ้นส่ วนอวัยวะต่างๆ มาตรวจสอบความผิดปกติของอวัยวะภายในทุกอย่างๆ เช่น ตับ ไต ม้าม ตับ อ่อน หัวใจ กระเพาะ และอื่นๆ ทางด้านพยาธิ วทิ ยา ผูว้ จิ ยั จาเป็ นต้องมีการออกแบบแผนการวิจยั อย่าง รอบคอบ ให้เกิดความเสี ยหายแก่หน่วยทดลองน้อยที่สุดเท่าที่จาเป็ น สถานการณ์ที่สร้างขึ้นมาในงานวิจยั เชิงทดลอง แม้จะดีเยี่ยมสักปานใดก็ตาม ในด้าน ของการเป็ นต้นตอของข้อมูลที่จาเป็ นก็เป็ นเพียงของเทียม คือ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏขึ้นเองในธรรมชาติ ฉะนั้นข้อมูลของงานวิจยั ประเภทนี้ แม้จะมีความแม่นยา ความตรงประเด็น ความเชื่ อถือได้ และความ เป็ นปรนัยที่สูงยิง่ ก็อาจจะไม่เหมือนกันกับข้อมูลที่จะได้จากสถานการณ์ธรรมชาติ ด้วยเหตุน้ ี ข้อมูลของ งานวิจยั เชิงทดลอง จึงอาจจะนาไปใช้อธิ บายปรากฏการณ์ธรรมชาติโดยตรงไม่ได้เสมอไป มาตรการที่ 91


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

นิยมใช้ในการลดความรุ นแรงของข้อจากัดนี้ได้แก่ การเลียนแบบธรรมชาติให้มากที่สุดในการสร้าง สถานการณ์ กับการดาเนินงานวิจยั นั้นอีกครั้งหนึ่งภายใต้สภาพแวดล้อมธรรมชาติ เพื่อยืนยันข้อสรุ ปที่ ได้จากสภาพแวดล้อมเทียม การปฏิบตั ิที่จาเป็ นต่างๆ ในการดาเนิ นงานวิจยั เชิงทดลอง ส่ วนใหญ่จะต้องกระทาโดย ใช้เครื่ องจักรกล วัสดุ และอุปกรณ์ราคาแพง และเทคนิคขั้นสู งและละเอียดอ่อน จึงสิ้ นเปลืองค่าใช้จ่าย มาก ผูว้ จิ ยั และผูช้ ่วยงานทั้งหลายก็จะต้องมีความรู ้และความชานาญสู งเกี่ยวกับเทคนิคขั้นสู งที่จาเป็ น ต่างๆ อีกด้วย 4.10.4 งานวิจัยภาคสนาม 4.10.4.1 ลักษณะทัว่ ไป Compton และ Hall (1972) อ้างคานิยามของงานวิจยั ภาคสนาม (Field Study) ของ Kerlinger (1964) ว่า งานวิจยั ภาคสนามเป็ นการสื บสวนความจริ งในอดีตจากเรื่ องราว สภาพ หรื อความรู ้ ปัจจุบนั ด้วยกระบวนการและกรรมวิธีวทิ ยาศาสตร์ โดยมีเป้ าหมายเพื่อค้นพบสัมพันธภาพและปฏิกรรม ต่างๆ ระหว่างตัวแปรทางสังคมวิทยา ทางจิตวิทยา และทางการศึกษาทั้งหลาย ในโครงสร้างทางสังคมที่ แท้จริ งต่างๆ และขยายความต่อไปว่าในการดาเนินงานวิจยั ภาคสนามนั้นโดยปกติผวู ้ จิ ยั จะไม่ปรับเปลี่ยน ตัวแปรอิสระใดๆ แต่จะมุ่งสังเกตชีวติ ตามที่ปรากฏอยูใ่ นสภาพการณ์ธรรมชาติ ซึ่ งอาจจะเป็ นชุมชน โรงเรี ยน โรงงาน หรื อองค์การ ก็ได้ สาขาวิชาการที่ทางานวิจยั ประเภทงานวิจยั ภาคสนามมากได้แก่ มานุษยวิทยา (Anthropology) จุดอ่อนในด้านระเบียบวิธีของงานวิจยั ประเภทนี้ทางมานุษยวิทยาได้แก่ การยึดตัวสนเทศจานวนเล็กน้อยเป็ นที่พ่ งึ มากเกินไป ในการสร้างภาพของสังคมหรื อวัฒนธรรม แม้วา่ ปั จจุบนั การวิจยั ภาคสนามทางมานุษยวิทยาจะใช้ขอ้ มูลเชิงปริ มาณมากขึ้นก็ตาม ยังไม่เป็ นที่ยอมรับ โดยทัว่ ไปในวงวิชาการมานุ ษยวิทยาว่าการปฏิบตั ิเช่นนั้นเป็ นประโยชน์ทุกกรณี การวิจยั ภาคสนาม มีรายละเอียดของการปฏิบตั ิที่คล้ายคลึงกับงานวิจยั ประเภทอื่นๆ อยู่ มากพอสมควร เช่น งานวิจยั ภาคสนามบางชิ้นจะใช้เทคนิ คสารวจต่างๆ ในการรวบรวมข้อมูลอย่างน้อย ก็บางส่ วน บางชิ้นก็สืบค้นไปในแง่ประวัติ จึงจาเป็ นต้องใช้กรรมวิธีและเทคนิคของงานวิจยั เชิงพรรณนา นอกจากนี้ งานวิจยั ภาคสนามเชิงสอดส่ อง มีความคล้ายคลึงกับงานวิจยั เชิงทดลองหลายประการ 4.10.4.2 การดาเนินงาน กรรมวิธีและขั้นตอนดาเนิ นงานที่ใช้กบั งานวิจยั ภาคสนามมีอยูม่ ากมายทั้งทางด้าน สังคมและวิทยาศาสตร์ ฉะนั้น จึงไม่มีรูปแบบของการดาเนินงานอันเป็ นลักษณะเฉพาะตัวของงานวิจยั ประเภทนี้ แต่อย่างใด อย่างไรก็ตามในการดาเนิ นงานวิจยั ภาคสนาม ผูว้ จิ ยั จะต้องได้สัมผัสและเป็ น กันเอง (เป็ นส่ วนตัว) ให้มากๆ กับจะต้องยืดหยุน่ ที่จะปรับเปลี่ยนสิ่ งต่างๆ ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ 92


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะอย่างยิง่ การปรับเปลี่ยนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของงานวิจยั การเดินทางเพื่อหา ข้อมูลเบื้องต้น ผังวิจยั และวิธีรวบรวมข้อมูลการดาเนินงานอย่างเต็มรู ป การวิเคราะห์ขอ้ มูล และการ เขียนรายงานวิจยั แม้วา่ การกาหนดขอบเขตและวัตถุประสงค์ของงานจะเป็ นส่ วนหนึ่งของการวางแผน งานขั้นต้นก็ตาม ก็จะต้องยอมรับว่าวัตถุประสงค์ของงานวิจยั ภาคสนามที่กาหนดขึ้นในขั้นการวางแผน งานเป็ นเพียงวัตถุประสงค์ทวั่ ไปที่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนให้เจาะจงยิง่ ขึ้นในขณะดาเนิ นงาน เพื่อให้ เหมาะสมและเข้าเรื่ องกับสภาพการณ์ที่เป็ นจริ งมากที่สุด เพราะว่างานวิจยั ภาคสนามมิใช่งานที่มี โครงสร้างที่เด่นและอยูใ่ นกรอบทางทฤษฎีที่แข็งแกร่ งที่พฒั นาขึ้นเป็ นการล่วงหน้าดังเช่นงานวิจยั เชิง ทดลองและเชิงสารวจแต่อย่างใด ฉะนั้นผูว้ จิ ยั จะต้องมีความยืดหยุน่ อย่างเพียงพอ เพื่อจะได้ปรับเปลี่ยน วัตถุประสงค์ของงานวิจยั ตามที่จาเป็ นได้โดยสะดวกในห้วงเวลาดาเนินงาน การเดินทางไปหาข้อมูลเบื้องต้นเป็ นภารกิจที่จาเป็ นในงานวิจยั ภาคสนาม ขั้นตอนนี้ ของการดาเนินงาน เป็ นขั้นตอนสอดส่ องและไม่เป็ นทางการ โดยที่ผวู ้ จิ ยั จะสร้างความสัมพันธ์กบั กลุ่มที่ จะศึกษาด้วยการไปเยีย่ มเยียนบ่อยๆ หรื อเข้าไปพานักและร่ วมกิจกรรมประจาวันของกลุ่มนั้นเป็ น ระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้เกิดความเข้าใจพอสมควรเกี่ยวกับตัวแปรต่างๆ ที่สาคัญสาหรับคนกลุ่มนั้น สาหรับ ใช้เป็ นพื้นฐานของการกาหนดวิธีสังเกตอย่างเป็ นระบบที่เหมาะสม และวิธีอื่นๆ ที่จาเป็ นในการรวบรวม ข้อมูล ตัวแปรที่ควรเอาใจใส่ เป็ นพิเศษในขั้นตอนนี้ได้แก่ วัฒนธรรมทางวัตถุ (ซึ่งหมายถึงผลิตภัณฑ์ ต่างๆ ที่มนุษย์สร้างหรื อประดิษฐ์ข้ ึน เช่น ผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรม เครื่ องใช้ อาวุธ สิ่ งก่อสร้าง เส้นใย และเสื้ อผ้า เป็ นต้น) เผ่าพันธุ์ตน้ ตอและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางวัฒนธรรม การรวมกลุ่มทางสังคม การอยูร่ ่ วมกันเป็ นครอบครัว การรวมกลุ่มทางศาสนา ระบบค่านิยมและเป้ าหมายของกลุ่มหลักและกลุ่ม ย่อยทางสังคม ความร่ วมมือภายในและระหว่างกลุ่ม และข้อขัดแย้งกับความตึงเครี ยดระหว่างกลุ่ม การไปหาข้อมูลเบื้องต้น ไม่วา่ จะเป็ นในรู ปของการเยีย่ มเยียนกลุ่มชนที่จะศึกษาหรื อ การไปพานักอยูก่ บั เขาเป็ นระยะเวลาหนึ่ง จะช่วยให้ผวู ้ จิ ยั เริ่ มแลเห็นสัมพันธภาพต่างๆ ระหว่างตัวแปร ทั้งหลายในสถานการณ์จริ งในสนาม กับในสถานการณ์ทางทฤษฎีตามที่ประมวลได้จากเอกสารที่ตรวจ ข้อสนเทศดังกล่าวนี้ยอ่ มเป็ นสิ่ งที่บ่งบอกที่ดี เกี่ยวกับรู ปแบบหรื อแนวทางที่เหมาะสมของการรวบรวม ข้อมูล ฉะนั้น การกาหนดหรื อเลือกผังวิจยั จึงควรกระทาในขั้นตอนสอดแนม สิ่ งที่รายงานวิจยั ภาคสนามประสงค์จะคลี่คลายออกมาได้แก่ ความจริ งเกี่ยวกับคุณภาพ เฉพาะตัวต่างๆ ของประชากรหรื อเอกตบุคคลที่ศึกษา ตามที่ปรากฏอยูแ่ ล้วภายใต้สภาพการณ์ปกติของ การดาเนิ นชีวติ ของเรา ฉะนั้นการรวบรวมข้อมูลจึงเป็ นงานสอดส่ อง เพื่อให้แลเห็นข้อสรุ ปโดยไม่มีการ รบกวนความเป็ นปกติธรรมดาของวิถีชีวติ ประจาวันของแหล่งข้อมูล มิใช่เป็ นงานกากับ ควบคุมหรื อใช้ อุบายหรื อสิ่ งกระตุน้ บางอย่างต่อแหล่งข้อมูล เพื่อสังเกตการตอบสนองของข้อมูลนั้น ฉะนั้น ภารกิจ 93


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

รวบรวมข้อมูลที่จะปฏิบตั ิในขณะหนึ่งๆ จึงย่อมจะต้องสอดคล้องกับวิถีชีวิตประจาวันของบุคคลที่ศึกษา และย่อมไม่เหมาะสมที่จะกาหนดให้เป็ นที่แน่นอนตายตัวล่วงหน้า แล้วยึดถือตามนั้นในขั้นปฏิบตั ิจริ ง ดังที่ถือปฏิบตั ิในงานวิจยั ประเภทอื่นๆ เทคนิครวบรวบข้อมูลที่ใช้ได้กบั งานวิจยั ภาคสนามมีมากมาย เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การเยีย่ มเยียนเหตุการณ์และประชาชน การถ่ายภาพ และบันทึกเสี ยง การ ตรวจสอบเอกสารส่ วนตัวของบุคคลที่ศึกษา และการทากรณี ศึกษา เป็ นต้น และ โดยปกติจะใช้หลาย เทคนิคประกอบกัน Compton และ Hall (1972) อ้างทัศนะของ Kerlinger (1964) ว่า ผูว้ จิ ยั ภาคสนาม นอกจากจะต้องเป็ นนักสื บสวนแล้ว ก็จะต้องเป็ นพนักงานหาตลอด ผูบ้ ริ หาร และเจ้าของธุ รกิจอีกด้วย จึงจะดาเนิ นงานวิจยั ภาคสนามอย่างเต็มรู ปให้ลุล่วงไปได้ดว้ ยดี โดยปกติ การสังเกตปฏิกรรมและสัมพันธภาพทางสังคมต่างๆ เป็ นระยะเวลาหนึ่ง จะ เป็ นส่ วนสาคัญของงานวิจยั ภาคสนามเต็มรู ป เพื่ออานวยให้การดาเนินงานดังกล่าวนี้เป็ นไปด้วยดี ผูว้ ิจยั ควรสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับบุคคลทั้งหลายที่เป็ นแหล่งข้อมูลของงานวิจยั และควรถือว่าบุคคล เหล่านั้นแต่ละคน เป็ นคนคนหนึ่งตามความหมายที่แท้จริ ง มิใช่เป็ นเพียงประชากรหรื อตัวอย่างของตัว วิจยั เท่านั้น เพราะว่าความร่ วมมือและการสนับสนุนอย่างเต็มใจและแข็งขันของกลุ่มบุคคลแหล่งข้อมูล เป็ นสิ่ งจาเป็ นต่อความสาเร็ จของงานวิจยั ภาคสนาม แม้วา่ ส่ วนใหญ่ของสิ่ งที่เป็ นปั ญหาเกี่ยวกับผังวิจยั และการรวบรวมข้อมูล ควรจะได้รับ การแก้ไขให้เป็ นที่เรี ยบร้อยก่อนที่จะเริ่ มงานสนาม ก็จะปรากฏเสมอว่าการปรับปรุ งแก้ไขบางประการ ในเรื่ องเหล่านี้ ยังเป็ นสิ่ งจาเป็ นในขั้นดาเนิ นงานภาคสนาม เพราะว่าสภาพการณ์บางอย่างในขณะที่ ดาเนินงานภาคสนามอาจจะแตกต่างจากในขณะที่หาข้อมูลเบื้องต้นและทดสอบเครื่ องมือรวบรวมข้อมูล ฉะนั้นผูว้ จิ ยั ควรมีหลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณาที่เหมาะสม สาหรับกาหนดขอบเขตและแนวทางของ การปรับปรุ งหรื อเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ เพื่อรักษาสมดุลยภาพที่เหมาะสมระหว่างวัตถุประสงค์และผัง ดั้งเดิมของงานวิจยั กับส่ วนที่ปรับปรุ งหรื อเปลี่ยนแปลงของสิ่ งเหล่านี้ในขั้นดาเนินงานสนาม ข้อมูลที่รวบรวมในงานวิจยั ภาคสนาม โดยปกติจะมีมาก ผูว้ จิ ยั จึงจาเป็ นต้องคัดแต่ เฉพาะส่ วนที่จาเป็ นออกมาวิเคราะห์ ในหลายกรณี ผูว้ จิ ยั จะตัดสิ นใจยากยิง่ ว่าจะตัดข้อมูลส่ วนใดออกไป เนื่องจากวิธีการรวบรวมข้อมูลได้ทาให้เกิดความผูกพันทางใจอย่างลึกซึ้ งกับวัฒนธรรม วิถีชีวติ และ สภาพแวดล้อมของบุคคลแหล่งข้อมูล จึงมีความเสี ยดายที่จะทิ้งส่ วนหนึ่งส่ วนใดของข้อมูลและ ข้อสนเทศที่รวบรวมมาได้ อย่างไรก็ตาม ผูว้ ิจยั ก็จะต้องตระหนักว่าการบรรลุวตั ถุประสงค์ของงานวิจยั อย่างบริ บูรณ์ คือเจตนาหลักของการดาเนินงานต่างๆ และใช้ขอ้ ตระหนักนี้ประกอบการพิจารณาคัด ข้อมูลด้วย 94


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เช่นเดียวกับในงานวิจยั ประเภทอื่นๆ งานวิจยั ภาคสนามควรเผยแพร่ สิ่งที่ได้เรี ยนรู ้ เพิ่มขึ้นจากการดาเนิ นงานนั้นต่อสาธารณะ ฉะนั้น การเขียนรายงานวิจยั เมื่อได้วิเคราะห์และตีความ ข้อมูลแล้ว จึงเป็ นส่ วนสาคัญของงานวิจยั ทุกประเภท สิ่ งพึงระวังส่ วนหนึ่งในการเขียนรายงานวิจยั ประเภทงานวิจยั ภาคสนามได้แก่ ความเคลิบเคลิ้มที่จะใส่ อารมณ์และความรู ้สึกเกี่ยวกับสิ่ งที่พรรณนาลง ไปด้วย เนื่ องจากความผูกพันทางใจที่ผเู ้ ขียนมีต่อสิ่ งนั้น ซึ่ งจะทาให้รายงานวิจยั นั้นมีลกั ษณะเป็ นนว นิยายมากกว่าเป็ นเอกสารวิชาการ

95


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

96


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

บทที่ 5 การออกแบบการวิจยั เมื่อผูท้ ี่จะทาการวิจยั ได้เลือกหัวข้อเรื่ อง กาหนดวัตถุประสงค์หรื อประเด็นของ การศึกษากาหนดแนวความคิดสมมติฐานและตัวแปรต่าง ๆ (รวมทั้งวิธีการที่จะใช้วดั ) แล้ว งานในขั้น ต่อไปที่มีความสาคัญมากอย่างยิง่ ที่จะต้องทาคือ การออกแบบการวิจยั แบบของการวิจยั เป็ นสิ่ งที่เชื่อมโยงกิจกรรมของงานวิจยั ที่จะต้องทาในแต่ละขั้นตอน เข้าด้วยกัน กล่าวคือเชื่ อมโยงประเด็นของการวิจยั แนวคิดที่ใช้ในการวิจยั ให้เข้ากับการวัด วิธีการเก็บ รวบรวมข้อมูล การสุ่ มตัวอย่าง การดาเนินกรรมวิธีทางข้อมูล การวิเคราะห์ขอ้ มูล ให้สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ของการวิจยั แบบของการวิจยั เป็ นสิ่ งที่สาคัญมาก เพราะเป็ นแผนปฏิบตั ิการของการวิจยั การเรี ยนรู ้เกี่ยวกับการออกแบบการวิจยั จึงเป็ นสิ่ งจาเป็ น

5.1 ความหมายและความสาคัญของการออกแบบการวิจัย การออกแบบการวิจยั หมายถึง การกาหนด ดังนี้ 1) กิจกรรมต่าง ๆ และรายละเอียดของกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผวู ้ จิ ยั จะต้องทา (นับตั้งแต่การ เตรี ยมการจัดเก็บข้อมูล การระบุสมมติฐาน การกาหนดตัวแปรและคานิยามปฏิบตั ิ ไปจนถึงการ วิเคราะห์ขอ้ มูล) 2) วิธีการและแนวทางต่าง ๆ ที่จะใช้เพื่อให้ได้มา ซึ่งข้อมูลจากประชากรเป้ าหมาย หรื อจากตัวอย่างของประชากร ซึ่ งข้อมูลที่ได้มานี้ ตอ้ งสามารถตอบปั ญหาของการวิจยั ตามวัตถุประสงค์ ที่กาหนดไว้ได้อย่างถูกต้อง (Validly) แม่นยา (Accurately) อย่างมีวตั ถุวสิ ัย (Objectively) และประหยัด (Economically) การวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ น้ นั ส่ วนใหญ่จะเป็ นการวิจยั แบบทดลอง วิธีการและแนวทาง ต่าง ๆ ที่ใช้เพื่อให้ได้ขอ้ มูลจาเป็ นอย่างยิง่ ที่จะต้องใช้วิธีการมาตรฐาน เป็ นที่ยอมรับระดับสากล ข้อมูลที่ ได้รับจึงจะเป็ นที่เชื่อถือยอมรับได้ แต่หากจะเป็ นการวิจยั เพื่อพัฒนาแนวทางวิธีการใหม่ จาเป็ นต้องมีการ ทบทวนวรรณกรรมให้รอบคอบ ศึกษาถึงวิธีการเดิมที่มีอยูแ่ ล้ว จะพัฒนาวิธีการใหม่ให้ดีกว่าของเดิมได้ อย่างไร จาเป็ นต้องมีการศึกษาเปรี ยบเทียบให้เห็นอย่างเด่นชัดด้วย ซึ่ งจะได้เป็ นนวัตกรรมใหม่

97


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

5.2 วัตถุประสงค์ ของการออกแบบการวิจัย ในการออกแบบการวิจยั มีวตั ถุประสงค์ที่สาคัญคือ ให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่สามารถจะ นามาใช้วเิ คราะห์ตอบปั ญหาให้ครบถ้วนประเด็นในแง่มุมต่าง ตามที่กาหนดไว้ เช่น เก็บข้อมูลจากกลุ่ม ประชากรที่เป็ นเป้ าหมายได้ทุกตัวแปร ตามความต้องการของการวัด ได้อย่างถูกต้อง และเมื่อนามา วิเคราะห์ผวู้ จิ ยั สามารถหาข้อสรุ ปได้อย่างถูกต้อง ไม่มีขอ้ บกพร่ องใดๆ ไม่มีขอ้ โต้แย้งใดๆ ที่ดีกว่า ข้อสรุ ปที่ผวู้ ิจยั ได้รายงานไว้ หากเป็ นการวิจยั เชิงอธิบายผูว้ จิ ยั จะต้องพยายามควบคุมมิให้การผันแปร ของตัวแปรอื่น ๆ มีผลกระทบต่อข้อสรุ ปของการวิจยั ดังนั้นเพื่อให้เป็ นไปตามวัตถุประสงค์ของการ ออกแบบการวิจยั (เชิงอธิบาย) ผูว้ จิ ยั จะต้องพยายามดังนี้ 1) ทาให้ตวั แปรที่ตอ้ งการวิเคราะห์มีความผันแปรมากที่สุด 2) ตัวแปรอื่นที่เกี่ยวข้องแต่ไม่เป็ นจุดสนใจผันแปรน้อยที่สุด 3) ทาการวัดให้ถูกต้อง

5.3 การทาให้ ตัวแปรทุกตัวผันแปรมากทีส่ ุ ด การออกแบบการวิจยั เพื่อให้ได้มาซึ่ งตัวแปรที่ตอ้ งการ หมายความว่าตัวแปรที่ได้มา จะต้องมีคุณสมบัติที่ดีเพียงพอที่เมื่อนามาวิเคราะห์แล้วให้คาตอบได้ และคาตอบนั้นถูกต้องเชิงศาสตร์ คุณสมบัติของตัวแปรที่ดี คือ ต้องมีการผันแปรมากเพียงพอ เช่น ผูว้ จิ ยั ต้องการศึกษาอิทธิ พลของ การศึกษาที่มีต่อพฤติกรรมทางด้านสิ่ งแวดล้อมและของชาวชนบทไทย ผูว้ จิ ยั จะต้องออกแบบการวิจยั ให้ การศึกษามีการผันแปรมากเพียงพอทั้งนี้ เพราะคนไทยในชนบท ส่ วนใหญ่มีความรู ้จบการศึกษาภาค บังคับ หากทาการสุ่ มตัวอย่างแบบกระจายปกติ (Simple Random) ตัวอย่างที่ได้กว่าร้อยละ 90 จะจบ การศึกษาภาคบังคับ หากเก็บ 10 ราย จะมีผจู ้ บการศึกษาระดับอื่นต่ากว่า 10 ราย ตัวแปรจึงไม่ผนั แปร เท่าที่ควร ไม่เหมาะสมกับการวิจยั ในเรื่ องนี้ หรื อตัวอย่างของการศึกษาผลกระทบของระบบชลประทาน เกษตรที่มี่ต่อการเปลี่ยนแปลงทางประชากรในภาคตะวันออกเฉี ยงเหนื อ จะพบว่าหมู่บา้ นในภาคอีสาน ส่ วนใหญ่ไม่มีระบบชลประทานอาศัยน้ าฝนเป็ นหลักในกรณี เช่นนี้ ผูว้ จิ ยั ก็ตอ้ งหาทางสุ่ มตัวอย่างให้เกิด การผันแปร หรื อให้ได้ตวั อย่างที่มีระบบชลประทานขนาดต่าง ๆ แล้วสุ่ มตัวอย่างมาแต่ละกลุ่มให้มี จานวนเพียงพอแก่การวิเคราะห์ ก็ได้ตวั อย่างที่มีการผันแปรในเรื่ องการชลประทานเกษตร ในการวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ เช่น ในการพัฒนาตารับยาเม็ด จะต้องระบุตวั แปรอิสระให้ มากที่สุดที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาสู ตรตารับและในกระบวนการตอกยา ในสู ตรตารับนั้นตัวแปรอิสระมี อยูห่ ลายประการ เช่น ความเข้มข้นของปริ มาณยาสาคัญ สารช่วยยึดเกาะ สารช่วยหล่อลื่น สารช่วยการ ลื่นไหล สารช่วยการแตกตัว ฯลฯ สาหรับในกระบวนการตอกยาเม็ดนั้น ตัวแปรอิสระเช่น ความชื้นของ แกรนูลล์ ความชื้นของห้องตอกยา แรงตอก อัตราเร็ วในการตอก ฯลฯ เมื่อได้เป็ นยาเม็ดแล้วมีตวั แปร 98


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตามที่เป็ นผลต่อเนื่องมาจากตัวแปรอิสระมากมาย เช่น การศึกษาคุณสมบัติของยาเม็ดในห้องปฏิบตั ิการ ได้แก่ การแตกตัว การละลาย ความแข็ง ความกร่ อน น้ าหนัก ความเข้มข้นของตัวยาสาคัญ ความชื้นของ เม็ดยา ความหนาแน่นของเม็ดยา ความคงตัว ฯลฯ นอกจากนี้ยงั ต้องศึกษาประสิ ทธิ ผลของยาเม็ดใน สัตว์ทดลอง หรื อในอาสาสมัครด้วย ได้แก่ การดูดซึ มยา การขับถ่ายยา ฤทธิ์ ของยาต่อระบบต่างๆ ของ ร่ างกาย ความเข้มข้นของยาในเลือด กลไกการออกฤทธิ์ ของยา ฯลฯ โดยสรุ ปผูว้ ิจยั จะต้องออกแบบการวิจยั ให้ตวั แปรมีการผันแปรมากที่สุด ทั้งที่เป็ นตัว แปรตามและตัวแปรอิสระ ทั้งนี้เพราะหากตัวแปรตามไม่ผนั แปรหรื อผันแปรน้อยมากแทบจะคงที่ เมื่อ เอาตัวแปรอิสระคงที่ไม่ผนั แปร ตัวแปรอิสระก็ไม่สามารถอธิ บายตัวแปรตามที่มีการผันแปรมาก ๆ ได้

5.4 การลดอิทธิพลของตัวแปรอืน่ ๆ นอกจากการทาให้ตวั แปรที่ตอ้ งการศึกษามีการผันแปรแล้วผูว้ ิจยั จะต้องพยายามหาทาง ลดอิทธิ พลของตัวแปรอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องแต่อยู่นอกเหนื อขอบเขตของการศึกษา โดยวิธีการอย่างใด อย่างหนึ่ งเพื่อมิให้ตวั แปรนั้น ๆ มีผลต่อข้อสรุ ปที่ได้จากการวิจยั เช่ น ในการวิจยั เรื่ องอิทธิ พลของการ ประกอบอาชี พที่มีต่อการใช้อานาจการอบรมเลี้ยงดูแลบุตร ผูว้ ิจยั จะต้องแน่ใจว่าเป็ นอิทธิ พลของอาชี พ ไม่ใช่อิทธิ พลของการศึกษาหรื อตัวแปรอื่นที่มีผลต่อการใช้อานาจในการอบรมเลี้ยงดูบุตร ไม่ใช่อิทธิ พล ของการศึกษาหรื อตัวแปรอื่นที่มีต่อการใช้อานาจในการอบรมเลี้ยงดูบุตร การควบคุ มมิ ให้ตวั แปรอื่ นมีผลต่อข้อสรุ ปที่ ได้จากการวิจยั สามารถทาได้หลายวิธีที่ สาคัญ ได้แก่ 5.4.1 การคัดเลือกประชากรที่มีคุณสมบัติเหมือนกันทุกด้าน ที่ผวู ้ ิจยั ต้องการลดหรื อ ควบคุม อิทธิพล 5.4.2 การสุ่ มตัวอย่างแบบกระจาย (Randomization) 5.4.3 การจับคู่วเิ คราะห์เปรี ยบเทียบ 5.4.4 การควบคุมทางสถิติ 5.4.1 การคัดเลือกประชากรทีม่ ีคุณสมบัติเหมือนกันในด้ านต่ าง ๆ (ยกเว้นแต่ในเรื่ อง ของตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม) ที่ผวู ้ จิ ยั ต้องการควบคุม มิให้มีผลต่อข้อสรุ ปเป็ นวิธีการที่ทาได้ยาก เพราะหากมีปัจจัยหรื อตัวแปรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจานวนมากการที่จะหาประชากรที่เหมือนกันในด้าน เหล่านี้และแตกต่างในด้านตัวแปรอิสระและตัวแปรตามเป็ นจานวนมากเพียงพอทาได้ยาก 5.4.2 การสุ่ มตัวอย่ างแบบกระจาย เพื่อการควบคุมอิทธิ พลของตัวแปรตัวอื่น ๆ เป็ น วิธีการที่นามาใช้เปรี ยบเทียบ 2 หรื อ 3 กลุ่ม หรื อมากกว่านั้นจากกลุ่มประชากรเดียวกัน ทั้งนี้มีหลักอยูว่ า่ 99


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตัวอย่างที่มาจากประชากรเดียวกัน หากมีการสุ่ มด้วยวิธีการทางสถิติที่ถูกต้องจะมีคุณสมบัติเหมือนกัน ด้วยเหตุน้ ีตวั อย่างที่มีการสุ่ มที่ถูกต้องจากประชากรเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน จึงสามารถนามาศึกษาดู ความแตกต่างในตัวแปรที่ตอ้ งการศึกษาและสนใจได้ ซึ่ งในการศึกษาเปรี ยบเทียบอาจต้องมีการทดลอง หรื อวิธีการอื่นใดที่ให้ตวั อย่างทั้ง 2 กลุ่มนั้น มีความแตกต่างกันในด้านตัวแปรอิสระเพื่อดูผลที่มีต่อตัว แปรตามวิธีการดังกล่าวนี้ สามารถนามาใช้ได้ทวั่ ไป 5.4.3 การจับคู่วเิ คราะห์ เปรี ยบเทียบ ก็เป็ นวิธีการอีกวิธีหนึ่งที่ควบคุมอิทธิ พลของตัว แปรอื่นที่อาจมีผลต่อข้อสรุ ป คือการหาบุคคลที่เหมือนกันในเรื่ องที่ตอ้ งการควบคุม เช่น หากต้องการ ศึกษาเรื่ องอิทธิ พลของการประกอบอาชีพที่มีผลต่อความยืนยาวของอายุ โดยขจัดความแตกต่างในเรื่ อง กรรมพันธุ์อาจทาได้โดยการศึกษาเปรี ยบเทียบคู่แฝดหลายๆ คู่ที่มีอาชีพแตกต่างกันวิธีดงั กล่าวนี้ยากที่จะ นามาปฏิบตั ิหากผูว้ จิ ยั ต้องการควบคุมแตกต่างในด้านอื่นๆ ด้วยเพราะต้องหาผูท้ ี่เหมือนกันในด้าน เหล่านี้มาเปรี ยบเทียบเพื่อศึกษาถึงอิทธิ พลของตัวแปรที่ตอ้ งการศึกษา 5.4.4 การควบคุมทางสถิติ หมายถึงวิธีการที่ใช้สถิติในการวิเคราะห์ควบคุมการผันแปร ของตัวแปรต่าง ๆ เหล่านี้แล้วนามาวิเคราะห์ดว้ ยวิธีทางสถิติที่ควบคุมการผันแปรของตัวแปรเหล่านี้ได้ เช่นการแยกทาตารางวิเคราะห์ตวั แปรที่ตอ้ งการควบคุมทีละกลุ่มและการใช้ Pooled Chi Square ทดสอบ หรื อการวิเคราะห์การถดถอยพหุ วเิ คราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตามกับตัวแปรอิสระและตัวแปร อื่น ๆ ที่ตอ้ งการควบคุม และเทคนิคการวิเคราะห์อื่น ๆ ที่วเิ คราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรหลายตัว ซึ่ งเทคนิคต่าง ๆ เหล่านี้สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรหลายตัว ซึ่ งเทคนิคต่าง ๆ เหล่านี้ สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตามและตัวแปรอิสระแต่ละตัวโดยการควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ได้พร้อม ๆ กัน

5.5 การขจัดข้ อบกพร่ องของการวัด การออกแบบการวิจยั นอกจากจะมีวตั ถุประสงค์ที่จะทาให้ ก) ตัวแปรทุกตัวที่ตอ้ งการ วิเคราะห์มีความผันแปรมากที่สุด และ ข)ตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับประเด็นของการวิจยั แต่ไม่ได้เป็ นจุด สนใจของการวิจยั ผันแปรน้อยที่สุดโดยวิธีการต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังมีวตั ถุประสงค์อีกข้อ หนึ่ง คือ ค) ขจัดข้อบกพร่ องของการวัด ผูว้ จิ ยั จะต้องพยายามออกแบบการวิจยั หรื อหายุทธวิธีและกลเม็ด ต่าง ๆ ที่จะวัดตัวแปรให้ถูกต้อง มีความเชื่อถือได้ เช่น ในเรื่ องของการวัดรายได้ ผูว้ ิจยั จะต้องหายุทธวิธี และกลเม็ดในการวัดให้แน่นอนว่าคาตอบที่ได้เป็ นรายได้ที่แท้จริ งมิใช่สะท้อน (หรื อวัด) การปิ ดบังอา พรางของผูต้ อบ หากผูว้ จิ ยั ไม่แน่ใจว่าจะหลีกเลี่ยงปั ญหาดังกล่าวได้ ผูว้ จิ ยั จะต้องพยายามหาตัวแปรอื่นที่ ใกล้เคียงหรื อคิดว่าแทนกันได้มาแทนตัวแปรดังกล่าวนี้เรี ยกว่า ตัวแปรแทน (Proxy Variable) เช่น ใน เรื่ องรายได้ อาจจะวัดได้จากความมัน่ คงหรื อการมีทรัพย์สินในครอบครอง เช่น รายการสิ่ งของถาวรต่าง 100


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ๆ เช่น รถยนต์ จักรยาน จักรเย็บผ้า เตารี ด โทรทัศน์ ที่ดิน ลักษณะบ้านที่อยูอ่ าศัย แล้วนามารวมกันสร้าง เป็ นมาตรวัด แต่หากผูว้ จิ ยั ยังคงต้องการวัดรายได้อยูก่ ็ตอ้ งพยายามหาวิธีวดั ที่รัดกุม เช่น ถามถึงกิจกรรม ที่บุคคลหรื อ ครอบครัวทาว่ามีกี่ประเภท แต่ละประเภทมีการใช้จ่ายอย่างไร มีรายได้เท่าใด ตัวอย่างของตัวแปรแทนในทางวิทยาศาสตร์ ที่เห็นได้ชดั เจนในเรื่ องการพัฒนายา ได้แก่ การทดสอบความเป็ นพิษในสัตว์ทดลอง โดยให้สัตว์น้ นั ๆ รับประทานยาหรื อให้ยาแก่สัตว์ทดลองตาม วิธีการมาตรฐาน วัดผลต่าง ๆ จากเลือดและต้องทาการทดสอบยืนยันโดยดูจากการฆ่าสัตว์ทดลองและ นาชิ้นส่ วนอวัยวะภายในต่าง ๆ มาศึกษาดูการเปลี่ยนแปลงระดับเซลล์ สาหรับการวิจยั ในมนุษย์น้ นั ไม่ สามารถฆ่าอาสาสมัครเพื่อนาชิ้นส่ วนอวัยวะมาตรวจดูการเปลี่ยนแปลงได้ จาเป็ นต้องศึกษาจากผลการ วัดดัชนี ต่าง ๆ จากเลือด ซึ่ งอาจถือว่าเป็ นตัวแปรแทนได้อย่างดี ในกรณี ที่จะวัดความมัน่ คงจากการมีทรัพย์สินในครอบครอง เมื่อกาหนดรายการ สิ่ งของต่าง ๆ ที่ตอ้ งการเก็บรวบรวมได้แล้ว งานในขั้นต่อไปคือการกาหนดหาวิธีการต่าง ๆ ที่จะนาเอา รายการต่าง ๆ เหล่านี้มารวมกันได้อย่างไร เช่น จะให้คะแนน (หรื อน้ าหนัก) ของแต่ละรายการตามราคา หรื อตามความถี่ของการมีสิ่งของต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ในครอบครอง แต่ละวิธีจะให้ผลแตกต่างกัน ข้อสรุ ปที่ ได้จากการวัดจึงแตกต่างกัน ด้วยเหตุน้ ีผวู ้ จิ ยั จึงต้องพยายามทดสอบและยืนยันว่า วิธีการวัดที่ใช้น้ นั ถูกต้องทั้งในแง่ทฤษฎีและการทดสอบ นอกจากนั้นจะวัดได้อย่างถูกต้องแล้ว ผูว้ จิ ยั จะต้องแน่ใจว่าระดับการวัดของตัวแปรนั้น เหมาะสมกับเทคนิคของการวิเคราะห์ที่จะใช้ดว้ ย ทั้งนี้เพราะสถิติบางอย่างต้องการตัวแปรที่มีการวัด ระดับช่วง (Interval scale) บางอย่างต้องการวัดตัวแปรระดับกลุ่ม (Nominal Scale) และโดยทัว่ ไปแล้ว เมื่อใดที่ผวู ้ ิจยั สามารถวัดตัวแปรเป็ นระดับช่วงได้ ควรวัดเป็ นระดับช่วงเพราะสามารถลดมาเป็ นระดับ กลุ่มได้ อย่างไรก็ตามในการวิจยั ทางสังคมศาสตร์ ตวั แปรหลายตัวมีลกั ษณะเป็ นกลุ่มโดยธรรมชาติ ไม่ อาจแปลงมาเป็ นระดับช่วงได้ ควรวัดเป็ นระดับช่วงเพราะสามารถลดมาเป็ นระดับกลุ่มได้ อย่างไรก็ตาม ในการวิจยั ทางสังคมศาสตร์ ตวั แปรหลายตัวมีลกั ษณะเป็ นกลุ่มโดยธรรมชาติ ไม่อาจแปลมาเป็ นระดับ ช่วงได้ เช่น อาชีพ ในกรณี เช่นนี้ก็ตอ้ งวัดเป็ นกลุ่ม รายละเอียดเกี่ยวกับการวัดได้อธิ บายไว้ในหัวข้อที่วา่ ด้วยการวัดตัวแปร ในการวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ น้ นั ระดับการวัดของตัวแปรนั้นมีความสาคัญอย่างมาก เช่นเดียวกัน หากการออกแบบการวิจยั ไม่ดีพอหรื อไม่รอบคอบแล้วจะทาให้ไม่สามารถนาผลที่ได้มาทา การวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ เช่น การศึกษาความคงตัวของยาในอุณหภูมิต่างๆ แบบเร่ ง ซึ่ ง จาเป็ นจะต้องทาการทดลองอย่างน้อย สามระดับอุณหภูมิ เช่น 4, 20, 30, 45 องศาเซลเซียส เพื่อที่จะ สามารถนาผลของตัวแปรต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ความเข้มข้นของตัวยาสาคัญ เพื่อนาไปเข้าสมการ ทานายอายุยาได้ อย่างไรก็ตาม การพัฒนายาใหม่ หรื อยาสู ตรรารับใหม่ นอกจากการทดสอบคุณสมบัติ 101


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ต่าง ๆ ตามขั้นตอนแล้ว จาเป็ นต้องมีการศึกษาอายุของยาในสภาพจริ งของการตั้ง ไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็ น ระยะเวลา 3-5 ปี ก่อนการจาหน่ายจริ ง นอกเหนื อจากการศึกษาในสภาพเร่ ง

5.6 แบบแผนการวิจัย ในการวิจยั ทางสังคมศาสตร์ และ ทางวิทยาศาสตร์ นิยมแบ่งแบบแผนของการวิจยั ได้ เป็ น 3 ประเภท คือ 1) แบบทดลอง (Experimental Design) 2) แบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental Design) 3) แบบไม่ทดลอง (Non-experimental Design) แบบของการวิจยั ที่นิยมใช้มากที่สุดในการวิจยั ทางสังคมศาสตร์ คือ แบบไม่ทดลอง รองลงมาไปได้แก่ แบบกึ่งทดลอง และ แบบทดลอง ตามลาดับ โดยทัว่ ไปในการวิจยั ผูว้ จิ ยั ต้องการได้ ข้อสรุ ปที่แน่นอน แบบของการวิจยั ประเภททดลองจึงเป็ นแบบแม่บทหรื อแบบที่ควรยึดถือปฏิบตั ิตาม อย่างไรก็ในการที่จะนาแบบใดมาใช่ยอ่ มขึ้นอยูก่ บั ปั ญหาที่ตอ้ งการวิจยั ไม่มีแบบใดที่ดีที่สุดสาหรับการ วิจยั ทุกประเภท สาหรับการวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ น้ นั ส่ วนใหญ่จะเน้นการวิจยั แบบทดลอง เพื่อหาข้อ พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ แต่หากเป็ นการวิจยั แบบครบวงจร บางส่ วนของการวิจยั จาเป็ นต้องมีการหา ข้อมูลเชิงพรรณนา เช่น ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทางด้านยา อาหารเสริ ม เครื่ องสาอาง จาเป็ นต้องมี การวิจยั ความเห็นของผูบ้ ริ โภค การวิจยั ทางการตลาด ฯลฯ ซึ่ งเป็ นแบบไม่ทดลองเป็ นส่ วนมาก 5.6.1 การวิจัยแบบทดลอง การวิจยั แบบทดลอง หมายถึงการวิจยั ที่ผวู ้ จิ ยั ต้องการศึกษาผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบตั ิ ต่อสิ่ งที่ตอ้ งการทดลองด้วยการกระตุน้ เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การวิจยั ประเภทนี้มีหลายแบบแต่ ละแบบมีขอ้ ดีและข้อเสี ยในแง่มุมต่างๆ กัน บางแบบดีในแง่ของการประหยัด บางแบบดีในแง่ของการ ได้ขอ้ สรุ ปที่แน่นอน แต่เป็ นแบบที่สิ้นเปลืองหรื อมีความซับซ้อนมาก เพื่อความรู ้ความเข้าใจจะเริ่ มจาก แบบวิจยั ทดลอง 4 แบบจากง่ายไปหายาก ตามลาดับ พอให้เป็ นที่เข้าใจในหลักการของการพิจารณาแบบ ของการวิจยั ที่ดีและเพื่อความสะดวกแก่การอธิ บายจะใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ประกอบการบรรยายดังนี้ O แทนการสังเกตการณ์หรื อการวัด (O = Observation) X แทนการกระตุน้ หรื อการทดลอง (X = Experiment) Oij แทนการวัดครั้งที่ i ของกลุ่ม j (เช่น O11 หมายถึงการวัดครั้งที่ 1 ของกลุ่มที่ 1 O12 หมายถึงการวัดครั้งที่ 1 ของกลุ่มที่ 2) 102


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

R หมายถึงการสุ่ มตัวอย่างกระจาย (Randomization) เพื่อให้ลกั ษณะต่างๆ ของประชา การคละเคล้ากันไปเหมือนกันทุกกลุ่ม แบบแผนการวิจยั แบบทดลองมีหลายรู ปแบบตั้งแต่แบบง่าย ๆ ไปจนถึงแบบที่มีความ ซับซ้อนของการควบคุมตัวแปรตัวแปรเกินในที่น้ ี นามาเสนอ 4 แบบ ดังนี้ 5.6.1.1 การวิจัยทดลองสองกลุ่มวัดหลังทดลอง (แบบที่ 1) การวิจยั ทดลองสองกลุ่มวัดหลังทดลอง (แบบที่ 1) การวิจยั แบบนี้เป็ นการวัดผลของ การปฏิบตั ิกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งมีผลของการกระตุน้ แล้ว ดังภาพ การวิจยั ทดลองแบบที่ 1 X

O11 O12

ตามแบบดังกล่าวนี้ถา้ ค่าของ O11 มากกว่า O12 หมายความว่าการกระตุน้ (X) ก่อให้เกิด ผล จะเห็นได้ชดั ว่าการจะสรุ ปดังกล่าวนั้นอาจไม่ถูกต้องเพราะ O11 และ O12 อาจมีความแตกต่าง กันแม้วา่ จะไม่มีการกระตุน้ (X) ใดๆ 5.6.1.2 การวิจัยทดลองสองกลุ่มวัดก่ อนและหลังทดลอง (แบบที่ 2) การวิจยั ทดลองสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง (แบบที่ 2) การวิจยั แบบนี้ เป็ น แบบที่ปรับปรุ งแก้ไขข้อบกพร่ องของแบบแรก โดยทาการวัดกลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่มก่อนแล้วให้กลุ่มใด กลุ่มหนึ่งได้รับการกระตุน้ จากนั้นวัดกลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 อีกครั้งหนึ่ง นาผลที่ได้จากการวัดทั้งหมดมา เปรี ยบเทียบกัน แบบดังกล่าวเขียนเป็ นภาพได้ดงั นี้ การวิจยั ทดลองแบบที่ 2 O11

X O12

O21 O22

ตามแบบที่ 2 ถ้า O11ไม่แตกต่างจาก O12 แสดงว่าตัวอย่างทั้ง 2 ไม่แตกต่างกันในตอนวัด ครั้งแรก ผลต่างระหว่างการวัดครั้งที่ 2 คือ O22 และ O21 เป็ นสิ่ งแสดงให้เห็นถึงผลของการกระตุน้ ซึ่ งควร มากกว่าผลต่างระหว่าง O12 และ O11 ถ้าจะให้ดียงิ่ ขึ้นความแตกต่างระหว่าง O22 และ O12 ควรจะน้อยกว่า ความแตกต่างระหว่าง O11 และ O21 103


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ข้อบกพร่ องของแบบที่ 2 คือความแตกต่างที่คิดว่าเป็ นผลของการกระตุน้ อาจจะไม่ใช่ก็ ได้ท้ งั นี้เพราะถึงแม้วา่ ประชากรทั้ง 2 จะเหมือนกันในตอนที่วดั แต่อาจไม่เหมือนกันหลังจากการวัดแล้ว โดยตัวของมันเองได้ เพราะประวัติความเติบโตไม่เหมือนกัน จึงไม่อาจสรุ ปได้แน่นอนว่าผลต่างระหว่าง (O11 - O12 ) กับ (O12 - O22 ) เป็ นผลที่เกิดขึ้นจากการกระตุน้ หรื อเกิดขึ้นจากประวัติของความเติบโตขอก ลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 5.6.1.3 การวิจัยทดลองสองกลุ่มสุ่ มกระจายวัดหลังทดลอง (แบบที่ 3 ) การวิจยั ทดลองสองกลุ่มสุ่ มกระจายวัดหลังทดลอง (แบบที่ 3) การวิจยั แบบนี้ เป็ นแบบ ของการวิจยั ที่พยายามควบคุมความแตกต่างของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มตั้งแต่แรกโดยการสุ่ มตัวอย่างแบบ กระจายให้กลุ่มตัวอย่างนั้นมีลกั ษณะเหมือนกันในด้านต่างๆ จากนั้นทาการทดลองกับกลุ่มหนึ่ง ส่ วนอีก กลุ่มหนึ่งไม่มีการทดลอง (เรี ยกว่ากลุ่มควบคุม) ซึ่ งเขียนเป็ นภาพได้ดงั นี้ การวิจยั ทดลองแบบที่ 3 X R----------------O11 R O12 ตามแบบของการวิจยั ที่ 3 เนื่องจากการสุ่ มตัวอย่างที่ทาให้กลุ่มตัวอย่างเหมือนกันแต่ แรกความแตกต่างระหว่าง O11 - O12 คือผลของการทดลอง อย่างไรก็ตาม อาจมีผโู ้ ต้แย้งว่าความแตกต่าง ระหว่าง O11 และ O12 เป็ นผลรวมของความเติบโตและการทดลองของกลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 แบบดังกล่าวนี้ ไม่สามารถแบ่งแยกผลของปั จจัยทั้ง 2 ได้ 5.6.1.4 การวิจัยทดลองสองกลุ่มสุ่ มกระจายวัดก่ อนและหลังทดลอง (แบบที่ 4) การวิจยั ทดลองสองกลุ่มสุ่ มกระจายวัดก่อนและหลังทดลอง (แบบที่ 4) การวิจยั แบบนี้ เป็ นแบบของการวิจยั ที่พยายามแก้ไขข้อบกพร่ องของการวิจยั แบบที่ 2 (และแบบที่ 1) โดยพยายามสร้าง ความมัน่ ใจให้มากขึ้นกว่ากลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่ม เหมือนกันตั้งแต่แรกด้วยการสุ่ มกระจายตัวอย่าง 2 กลุ่มจากประชากรเดียวกันจากนั้นดาเนินการทุกอย่างเหมือนกัน การวิจยั ทดลองแบบที่ 2 ตามแบบการวิจยั ที่ 3 ผูว้ จิ ยั สุ่ มตัวอย่างจากประชากรเดียวกัน ให้ท้ งั 2 กลุ่มต่างเป็ นตัว แทนที่ดีของประชากร การกระทาเช่นนี้ทาให้กลุ่มทั้ง 2 เหมือนกันตั้งแต่แรก จากนั้นทาการวัดครั้งแรก ทั้ง 2 กลุ่ม แล้วทาการทดลองกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (ในที่น้ ีกลุ่มที่ 1) โดยไม่ปฏิบตั ิอย่างใดกับอีกกลุ่มหนึ่ง (ในที่น้ ีกลุ่มที่ 2) แล้วจึงทาการวัดทั้งสองกลุ่มอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นนาผลขอลการวัดมาเปรี ยบเทียบกัน 104


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

อย่างเช่นที่ทาในแบบที่ 2 ผลต่างระหว่าง (O11 – O21) กับ (O12 – O22) เป็ นผลที่เกิดขึ้นจากการทดลอง หรื อการกระตุน้ (X) นอกจากตัวอย่างแบบการทดลองที่เสนอมาแล้วข้างต้น แบบของการวิจยั เชิงทดลองยัง มีอีกหลายแบบ เช่นเพิ่มจานวนครั้งของการทดลองและการวัด หรื อมีการทดลองหลายวิธี สุ ดแท้แต่ ปั ญหาของการวิจยั และพยายามให้ถึงที่สุดของผูว้ จิ ยั ที่จะยืนยันว่าข้อสรุ ปที่ได้จากการวิจยั นั้นถูกต้อง แน่นอน ทั้งนี้ยอ่ มขึ้นอยูก่ บั กาลังความสามารถ เวลา และทุนทรัพย์ของผูท้ ี่จะทาการวิจยั 5.6.2 การวิจัยกึง่ ทดลอง การวิจยั กึ่งทดลองเป็ นแบบของการวิจยั ทางสังคมศาสตร์แบบหนึ่ง ที่ผวู้ จิ ยั พยายาม ศึกษากิจกรรมต่างๆ ที่ผวู ้ ิจยั กาหนดแล้วติดตามศึกษาดูวา่ กิจกรรมต่างๆ เหล่านั้นมีผลอย่างไร เป็ นไป ตามเป้ าหมายหรื อข้อสมมติฐานที่กาหนดไว้หรื อไม่อย่างไร การที่เรี ยกว่า “กึ่งทดลอง” เพราะผูว้ จิ ยั ไม่ สามารถทาการควบคุมได้ครบถ้วน เช่นเดียวกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างของการวิจยั ประเภทนี้ได้แก่การศึกษาหารู ปแบบวิธีการประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้ประชาชนวางแผนครอบครัวซึ่ ง สามารถทาได้หลายอย่าง เช่น พบปะเป็ นรายบุคคล จัดกลุ่มแม่บา้ น ปิ ดป้ ายประกาศชักชวนในชุมชน ผูว้ จิ ยั อาจจัดประชากรหรื อชุมชนออกเป็ นกลุ่มต่างๆ ทาการเก็บข้อมูลในรอบแรกเพื่อเป็ นพื้นฐานวัด ความแตกต่างที่จะเกิดขึ้น จากนั้นทาการรณรงค์โดยใช้วิธีการแต่ละกลุ่มแตกต่างกัน เมื่อทาการรณรงค์ เสร็ จตามเป้ าหมายแล้วทาการเก็บข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง นามาศึกษาเปรี ยบเทียบดูวา่ วิธีการใดก่อให้เกิดความ แตกต่างหรื อให้ผลมากกว่ากัน แบบของการวิจยั ตามตัวอย่างดังกล่าว ใกล้เคียงกับการวิจยั แบบการทดลองแต่ยงั ไม่ใช่ การทดลองจริ งๆ ทั้งนี้เพราะในทางปฏิบตั ิผวู ้ จิ ยั ไม่สามารถควบคุมประชากรได้โดยตลอด เช่น บางคนที่ ได้พบปะเป็ นรายบุคคลแล้ว อาจเป็ นสมาชิกของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรื ออาจอ่านป้ ายปิ ดประกาศ จึงไม่ สามารถแยกได้วา่ เป็ นผลจากวิธีการรณรงค์ประเภทใดซึ่ งไม่เหมือนกับการทดลองจริ งๆ ที่สามารถแยก ผลของแต่ละวิธีได้แน่นอนกว่า เพื่อความรู ้ความเข้าใจอย่างแท้จริ งเกี่ยวกับแบบของการวิจยั ผูว้ จิ ยั จึง จาเป็ นต้องแสวงหาความรู ้ความเข้าใจเกี่ยวกับแบบต่างๆ ของการวิจยั ที่อาศัยการทดลอง 5.6.3 การวิจัยแบบไม่ ทดลอง การวิจยั แบบไม่ทดลอง เป็ นการวิจยั ที่ทาการศึกษาสภาพต่าง ๆ ตามที่เป็ นอยูไ่ ม่มีการ กระทาอย่างใดอย่างหนึ่งเหมือนการวิจยั แบบทดลองที่ผวู ้ ิจยั ที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อศึกษาผล ที่เกิดขึ้นจากการกระทาดังกล่าว การวิจยั ประเภทนี้ได้แก่การวิจยั เอกสารและข้อมูลที่มีอยูแ่ ล้วและการ วิจยั สนามที่ไม่ใช้การทดลอง (เช่น การเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์) การวิจยั สนามที่ตอ้ งมีการเก็บข้อมูล ใหม่ การวิจยั แบบไม่ทดลองที่เก็บข้อมูลจากสนามสามารถจาแนกได้หลายวิธีหลายแบบ แบบที่สาคัญ และนิยมใช้กนั มากในการวิจยั อันได้แก่ 105


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

5.6.3.1 5.6.3.2 5.6.3.3 5.6.3.4 5.6.3.5 5.6.3.6

การวิจยั แบบตัดขวาง (Cross-sectional Design) การวิจยั แบบระยะยาว (Longitudinal or Time-series Studies Design) การวิจยั กรณี (Case or Idgraphic Studies) การวิจยั กรณี ศึกษาที่มีการควบคุม (Case Control Studies) การวิจยั เปรี ยบเทียบคืบหน้า (Matched Prospective Design) การวิจยั แบบย้อนหลัง (Retrospective Studies)

5.6.3.1 การวิจัยแบบตัดขวาง (Cross-sectionnal Design) การวิจยั แบบตัดขวาง เป็ นการวิจยั ที่ผวู ้ จิ ยั ทาการเก็บข้อมูลเพียงครั้งเดียวแล้วนาข้อมูล นั้นมาวิเคราะห์ศึกษาหาความแตกต่างระหว่างประชากรในเรื่ องใดเรื่ องหนึ่งหรื อหาความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ที่เก็บข้อมูลมา เช่น ศึกษาดูวา่ ประชากรอัตราการวางแผนครอบครัวเป็ นอย่างไร นิยมใช้วธิ ี การใดในการวางแผนครอบครัว หากพบว่าผูท้ ี่มีการศึกษาสู งกว่าทาการวางแผนครอบครัว มากกว่าผูม้ ีการศึกษาต่ากว่าก็มกั จะสรุ ปว่าการศึกษามีผลในทางส่ งเสริ มการวางแผนครอบครัวข้อสรุ ป มิใช่มาจากการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาของแต่ละรายโดยตรง หากมุ่งที่จะศึกษาการเปลี่ยนแปลงหรื อ อิทธิพลของตัวแปรตัวใดตัวหนึ่ง อาจต้องอาศัยการวิจยั แบบระยะยาวเป็ นหลัก การวิจยั แบบตัดขวาง แบ่งออกได้เป็ น 2 ประเภทย่อย คือ แบบง่าย (Simple Crosssectional Design) และแบบทิ้งช่วงเวลา (Time-lag model) 1) การวิจัยแบบตัดขวางแบบง่ าย (Simple Cross-sectional Design) เป็ นการวิจยั ที่ อาศัยการเก็บข้อมูลเพียงครั้งเดียว แล้วนาข้อมูลนี้มาศึกษาดูความแตกต่างของประชากรในเรื่ องใดเรื่ อง หนึ่ง (เช่น การศึกษา อาชีพ รายได้) แล้วดูวา่ ความแตกต่างในเรื่ องนี้มีผลอย่างไรต่อตัวแปรอีกตัวหนึ่ง การวิจยั แบบนี้ นิยมใช้กนั มากเพราะได้ผลรวดเร็ ว สามารถทาได้ในระยะเวลาที่จากัด ไม่ตอ้ งอาศัยความรู ้ ความชานาญในการออกแบบวิจยั มากมาย อะไรก็ทาได้ 2) การวิจัยตัดขวางแบบทีม่ ีการล่าช้ าทางเวลา (Cross-sectional Design With Time Lags) เป็ นแบบของการวิจยั ที่มีการเก็บข้อมูลเพียงครั้งเดียวเช่นกันแต่มีขอ้ มูลหรื อตัวแปรมีมิติทางด้าน เวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง ตัวแปรอิสระ และตัวแปรตามจะมีการจัดระเบียบโดยอาศัยเวลาเป็ นหลัก ตัวแปร ตามเป็ นตัวแปรที่เกิดขึ้นหลังจากตัวแปรอิสระเพื่อให้สอดคล้องกับตรรกวิทยาของการวิจยั เช่น ตัวแปร ตามคือการมีบุตรในรอบปี นี้ ตัวแปรอิสระคือรายได้ในรอบ 5 ปี หรื อ 3 ปี หรื อในปี ที่ผา่ นมา เป็ นต้น 5.6.3.2 การวิจัยแบบระยะยาว (Longitudinal or Time-series Studies Design) การวิจยั แบบระยะยาว เป็ นการวิจยั ที่มีการเก็บข้อมูลมากกว่าหนึ่งครั้ง นาข้อมูลที่เก็บ 106


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ได้แต่ละครั้งมากศึกษาเปรี ยบเทียบ วิธีการศึกษาเปรี ยบเทียบอาจทาได้ 2 วิธี คือ ก) ทาการวิเคราะห์ ข้อมูลแต่ละครั้งแบบตัดขวาง แล้วนาผลมาเปรี ยบเทียบกับดูการเปลี่ยนแปลง และ ข) ทาการวิเคราะห์ ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงแล้วนาข้อมูลนั้นมาศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของตัวแปร ต่าง ๆ การวิจยั แบบระยะยาว มีแบบการวิจยั หลายแบบ ส่ วนมากเป็ นเรื่ องของการสุ่ มตัวอย่าง แบบที่สาคัญ ได้แก่ 1) การเก็บตัวอย่างจากกลุ่มเดียวหลายครั้ง (Panel studies) 2) แบบที่เปลี่ยนแปลง กลุ่มตัวอย่างทุกครั้ง (Successive sample) และ 3) แบบผสม 1) แบบของการวิจัยระยะยาวทีอ่ าศัยตัวอย่ างกลุ่มเดียว เป็ นแบบที่ทาการเก็บข้อมูลจาก ตัวอย่างเดียวกันทุกครั้ง กล่าวคือเมื่อผูว้ จิ ยั ได้ทาการสุ่ มตัวอย่างประชากรมาได้แล้วจะเก็บข้อมูลจาก ตัวอย่างเดียวกันทุกครั้งไป แบบดังกล่าวนี้มีขอ้ ดีในด้านที่วา่ เราทราบข้อมูลพื้นฐานของประชากร เดียวกันแต่ละรายทุกครั้งของการเก็บข้อมูล เราจึงสามารถศึกษาการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นโดยนาข้อมูล รอบที่สองหรื อรอบต่อ ๆ ไปมาเปรี ยบเทียบได้เลยโดยไม่มีปัญหาการอ้างอิง โดยปกติผวู ้ จิ ยั พยายามใช้ วิธีการอย่างเดียวกันทุกอย่างในการเก็บข้อมูลรอบ ๆ ต่อไป ข้อเสี ยอาจเกิดขึ้นคือ หากเก็บจากตัวอย่าง เดียวกันหลาย ๆ ครั้ง ผูใ้ ห้ขอ้ มูลอาจเกิดความราคาญหรื อมีความชานาญสามารถดักคาถามคาตอบได้ ใน กรณี เช่นนี้การตีความหมายข้อมูลหรื อข้อสรุ ปที่ได้อาจคลาดเคลื่อนไป จึงมีผพู ้ ยายามหลีกเลี่ยงแบบ ดังกล่าว (ถ้าต้องการทาการเก็บข้อมูลหลายครั้งในระยะที่กระชั้นชิด) โดยอาศัยตัวอย่างที่ต่างกัน 2) การวิจัยระยะยาวทีอ่ าศัยตัวอย่ างหลายกลุ่ม เป็ นการวิจยั ที่ทาการเก็บข้อมูลอย่าง เดียวกันจากตัวอย่างต่างชุ ดกันในเวลาต่าง ๆ กันเป็ นแบบที่แก้ไขปั ญหาที่เกิดขึ้นกับแบบที่ใช้ตวั อย่างชุด เดียวในการออกแบบวิจยั ประเภทนี้ การสุ่ มตัวอย่างเป็ นเรื่ องที่สาคัญ ผูว้ ิจยั ต้องแน่ใจว่ากลุ่มตัวอย่างที่ ต่างชุดกันนี้สามารถแทนประชากรเดียวกันได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ตวั อย่างเดียวกันและมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง ความแตกต่างระหว่างแบบตัวอย่างชุดเดียวและหลายชุดสามารถแสดงได้ดงั ตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ตารางแสดงความแตกต่ างระหว่ างแบบตัวอย่ างชุ ดเดียวและหลายชุ ด แบบของการวิจัย ระยะยาว ตัวอย่างชุดเดียว ตัวอย่างหลายชุด

1 ตัวอย่าง ก ตัวอย่าง ข

การเก็บข้ อมูลครั้งที่ 2 3 ตัวอย่าง ก ตัวอย่าง ก ตัวอย่าง ข ตัวอย่าง ข

4 ตัวอย่าง ก ตัวอย่าง ข

3) การวิจัยระยะยาวแบบผสม เป็ นการนาแบบของการวิจยั ทั้ง 2 แบบมาผสมกัน เพื่อวัด ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นให้ถูกต้องมากขึ้น ซึ่ งสามารถแบ่งย่อยได้ออกเป็ นแบบต่าง ๆ ดังนี้ 107


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

3.1) แบบเก็บตัวอย่างเดียวกัน 2 ครั้ง และเก็บตัวอย่างใหม่ในครั้งที่สองหรื อครั้งต่อมา เขียนเป็ นรู ปแบบตารางได้ดงั นี้ ตารางที่ 2 ตารางแสดงการเก็บตัวอย่างเดียวกัน 2 ครั้ง และเก็บตัวอย่างใหม่ ในครั้งทีส่ อง (แบบ 3.1) การเก็บข้ อมูลครั้งที่ 1 1 ตัวอย่าง ก 1 -

2 ตัวอย่าง ก 2 ตัวอย่าง ข

ตามแบบตัวอย่าง ผูว้ จิ ยั จะวัดการเปลี่ยนแปลง ก ครั้งแรกและครั้งที่ 2 และวัดความ แตกต่างระหว่าง ก ครั้ง กับ ข หากความแตกต่างเป็ นไปในทางเดียวกันก็ยนื ยันได้วา่ มีความแตกต่าง เกิดขึ้น ส่ วนความแตกต่างระหว่าง ก ครั้งที่ 2 และ ข หากไม่มีแสดงว่า ก และ ข เหมือนกันหรื อแทนกัน ได้แล้ว การเปรี ยบเทียบระหว่าง ก ครั้งแรก และ ข บ่งถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น 3.2) แบบเก็บตัวอย่างเดียวกัน 2 ครั้งและเก็บตัวอย่างใหม่เพิ่มเติมในครั้งที่ 2 หรื อใน ครั้งต่อๆ มาอีก 1 ชุด หรื อมากกว่าแต่มีกิจกรรมที่กระตุน้ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่ตวั อย่างเท่านั้น ระหว่างการเก็บครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ดังนี้ ตารางที่ 3 ตารางแสดงการเก็บตัวอย่ างหลังจากมีกจิ กรรมทีก่ ระตุ้นให้ เกิดการเปลีย่ นแปลง (แบบ 3.2) 1 ตัวอย่าง ก 1 -

การเก็บข้ อมูลครั้งที่ กิจกรรมกระตุ้น มี -

2 ตัวอย่าง ก 2 ตัวอย่าง ข 2 ตัวอย่าง ค 3

ตามแบบตัวอย่างนี้ ถ้าความแตกต่างระหว่าง (ข-ค) ไม่มีและ (ข-ก2)(ค-ก2) และ (ก2-ก1) มากกว่า (ข-ก1) หรื อ (ค-ก1) แล้ว ผูว้ จิ ยั สามารถสรุ ปได้วา่ (ก2-ก1) เป็ นผลของกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง 3.3) แบบเก็บตัวอย่างหลายชุดในครั้งแรกและครั้งต่อ ๆ มาโดยมีการกระตุน้ การ เปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในบางกลุ่ม ดังตารางที่ 4 108


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 4 ตารางแสดงการเก็บตัวอย่ างโดยมีการกระตุ้นการเปลีย่ นแปลงให้ เกิดขึน้ ในบางกลุ่ม (แบบ 3.3) 1 ตัวอย่าง ก 1 ตัวอย่าง ข 1 ตัวอย่าง ค 1

การเก็บข้ อมูลครั้งที่ กิจกรรมกระตุ้น มี ไม่มี มี

2 ตัวอย่าง ก 2 ตัวอย่าง ข 2 ตัวอย่าง ค 3

แบบการเก็บตัวอย่างแบบ (3.3) นี้ เปิ ดโอกาสให้ผวู ้ จิ ยั ทาการศึกษาหาข้อเปรี ยบเทียบ และการยืนยันความถูกต้องของข้อสรุ ปได้มากกว่าแบบ (3.1) และแบบ (3.2) เช่น (ก2-ก1) (ข2-ข1) (ก2-ก 1)(ค2-ค1) และ (ก2-ข2)(ค2-ข2) เป็ นต้น แบบการวิจยั (3.2) และ (3.3) มีองค์ประกอบของการทดลองอยู่ ในบางครั้งจึงมีผนู ้ าไป รวมกับแบบกึ่งทดลอง อย่างไรก็ตาม แบบ (3.2) และ (3.3) นี้ หากมีการกระตุน้ ที่เกิดขึ้นโดยมิใช่จากการ กระทาของผูว้ จิ ยั ก็เรี ยกได้วา่ ไม่ใช่แบบการทดลอง ซึ่ งจะมีคุณสมบัติคล้ายกับแบบของการวิจยั กรณี ศึกษาที่มีการควบคุม และแบบการวิจยั แบบจับคู่คืบหน้าซึ่ งจะได้กล่าวถึงต่อไป 5.6.3.3 การวิจัยกรณีศึกษา (Case or Idgraphic Studies) เป็ นแบบของการวิจยั ที่ผวู ้ จิ ยั เลือกหมู่บา้ นหรื อเขตอาเภอพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งมา ทาการศึกษาอย่างละเอียด การวิจยั ประเภทนี้ นิยมใช้กนั มากในหมู่นกั มานุษยวิทยา ข้อจากัดของการวิจยั ดังกล่าวคือ ข้อสรุ ปหรื อข้อค้นพบที่ได้มกั จะมีปัญหาว่าสามารถนาไปใช้ได้กบั ท้องที่อื่นหรื อไม่หรื อ จากัดเฉพาะเขตที่ได้ทาการศึกษาเท่านั้น แบบของการวิจยั ที่ใกล้เคียงกันและใช้กนั ในหมู่นกั สังคมวิทยา คือแบบที่มีการควบคุม 5.6.3.4 การวิจัยกรณีศึกษาที่มีการควบคุม (Case Control Studies) เป็ นการเลือกตัวอย่าง 2 กลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนกันยกเว้นแต่ตวั แปรอิสระ จากนั้น ผูว้ จิ ยั ทาการศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม ในระหว่างตัวแปร 2 กลุ่ม การที่ จะให้ได้ตวั อย่างที่เหมือนกัน ผูว้ จิ ยั จะต้องมีขอ้ มูลเกี่ยวกับประชากรหรื อชุมชนต่างๆ มากพอตั้งแต่แรก เพื่อทาการเปรี ยบเทียบและเลือกตัวอย่างตามที่ตอ้ งการ 5.6.3.5 การวิจัยเปรียบเทียบคืบหน้ า (Matched Prospective Design) เป็ นแบบของการวิจยั ที่ผวู้ จิ ยั ทาการคัดเลือกประชากร 2 กลุ่ม ที่มีความแตกต่างกันใน 109


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ด้านตัวแปรอิสระเมื่อทาการเลือกได้แล้วจึงมาจับคู่ โดยดูลกั ษณะอื่นๆ ที่เหมือนกัน และทาการเก็บข้อ มูลเป็ นระยะๆ เพื่อศึกษาดู การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในด้านตัวแปรตาม เปรี ยบเทียบการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในกลุ่มหนึ่งแต่ ไม่เกิดขึ้นในอีกกลุ่มหนึ่งว่ามีผลต่อตัวแปรตามอย่างไรบ้าง ระยะเวลาการเก็บข้อมูลย่อมขึ้นอยูก่ บั กาลังความสามารถของผูว้ จิ ยั หรื อทุนทรัพย์ที่จะใช้เพื่อการวิจยั จะเห็นได้วา่ ในแบบของการศึกษาที่ไม่ใช่อาศัยการทดลอง มีแบบต่างๆ นับจากการสุ่ ม ตัวอย่างครั้งเดียวทาการวิเคราะห์ขอ้ มูลแบบตัดขวาง ไปจนถึงการเลือกตัวอย่างที่มีความคล้ายคลึงกัน แล้วติดตามดูการเปลี่ยนแปลงว่ามีผลอะไรบ้าง ซึ่ งมีลกั ษณะคล้ายๆ กับพยายามควบคุมให้สิ่งอื่นๆ เหมือนกันหมด ยกเว้นแต่สิ่งที่ตอ้ งการศึกษา โดยแท้จริ งแล้วผูว้ จิ ยั พยายามทาการออกแบบการวิจยั ให้ ใกล้เคียงกับการทดลองมากที่สุดนัน่ เอง

5.7 ปัญหาความถูกต้ องหรือความเชื่อถือได้ (Validity) ของแบบการวิจัย จากข้อความที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดข้างต้น จะเห็นได้วา่ ในการวิจยั จะต้องพยายาม ออกแบบการวิจยั เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อสรุ ปที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ ความถูกต้องของข้อสรุ ปเป็ นสิ่ งสาคัญที่ ใช้ตดั สิ นคุณภาพและความสามารถของผูว้ ิจยั มีอยู่ 2 ประเภท คือ ความถูกต้องภายใน และความถูกต้อง ภายนอก ซึ่ งมีปัจจัยต่างๆ มากมายที่มีผลกระทบต่อความถูกต้องทั้ง 2 ประเภท ซึ่งผูว้ จิ ยั จะต้องหาทาง ขจัดให้หมดไป การเรี ยนรู ้เกี่ยวกับปั จจัยดังกล่าว จะช่วยทาให้ผวู ้ จิ ยั มีความตระหนักถึงจุดอ่อนของ ข้อสรุ ป หรื อแบบของการวิจยั ของตนหรื อช่วยทาให้ผวู ้ ิจยั หลีกเลี่ยง โดยการออกแบบการวิจยั ให้รัดกุม ไม่ให้ปัจจัยเหล่านี้เข้ามามีผลต่อการวิจยั 5.7.1 ความถูกต้ องภายใน (Internal Validity) ความถูกต้องภายใน หมายถึง ความถูกต้องของข้อสรุ ปที่ได้จากการวิจยั เอง ส่ วนความ ถูกต้องภายนอกหมายถึงความถูกต้องของการนาข้อสรุ ปที่ได้จากการวิจยั นั้นไปใช้กบั ประชากรที่ นอกเหนือไปจากกลุ่มตัวอย่างที่ทาการศึกษาวิจยั ระหว่างความถูกต้องทั้ง 2 ประเภทนี้ ความถูกต้อง ภายในสาคัญมากกว่าความถูกต้องภายนอก เพราะหากผลการวิจยั ขาดความถูกต้องในตัวของมันเองแล้ว แม้จะนาไปใช้กบั ประชากรก็จะได้ผลการวิจยั ที่ไม่ถูกต้องนาไปใช้ไม่ได้ ปั จจัยที่มีผลกระทบต่อความถูกต้องภายในได้แก่ 5.7.1.1 ประวัติและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการศึกษาหรื อระหว่างการวัดแต่ละครั้ง 5.7.1.2 ความเติบโต ซึ่ งหมายถึงกระบวนการที่ตวั อย่างต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปตาม กาลเวลารวมทั้ง อายุมากขึ้น เหนื่อยมากขึ้น หิ วมากขึ้น 5.7.1.3 ปฏิกิริยาที่เกิดจากการวัด กรณี มีการวัดหลายครั้งการวัดครั้งแรก ๆ จะมีผลการ วัดในครั้งต่อ ๆ ไป 110


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

5.7.1.4 อุปกรณ์หรื อเครื่ องมือที่ใช้วดั เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่นความเหน็ดเหนื่อยของ ผูว้ ดั สปริ ง เครื่ องมือวัดยืด การเปลี่ยนคุณสมบัติของผูส้ ัมภาษณ์ หรื อผูเ้ ก็บรวบรวมข้อมูล 5.7.1.5 การถดถอยทางสถิติ อันสื บเนื่ องมาจากการสุ่ มตัวอย่างที่มีค่าปลายสุ ด ตัวอย่าง ประเภทนี้ในช่วงระยะเวลาต่อมาจะแตกต่างจากตัวอย่างอื่นน้อยลงความแตกต่างนี้ ไม่ใช่ความแตกต่าง จากการทดลองเพียงอย่างเดียว 5.7.1.6. ความคลาดเคลื่อนอันเกิดจากการคัดเลือก ตัวอย่างที่ใช้ในการเปรี ยบเทียบที่ใช้ แตกต่างกัน 5.7.1.7 การสู ญเสี ยประชากรที่ศึกษาระหว่างกลุ่มที่เปรี ยบเทียบในอัตราที่แตกต่างกัน 5.7.1.8 ปฏิกิริยาระหว่างการคัดเลือกและความเติบโตของประชากรที่ทาให้คิดว่าเป็ น ผลของการทดลอง 5.7.2 ความถูกต้ องภายนอก (External Validation) ความถูกต้องภายนอก หมายถึง การนาเอาผลที่ได้จากการวิจยั นี้ไปใช้ภายนอก กลุ่ม ตัวอย่างที่ศึกษา ซึ่ งความถูกต้องภายนอกนี้ จะขึ้นอยูก่ บั ปั จจัยทั้งหมดที่มีผลต่อข้อสรุ ปที่ได้จากการวิจยั และต่อการนาเอาข้อสรุ ปไปใช้กบั ประชากรทัว่ ไป กล่าวคือนอกจากปั จจัยเหล่านี้ความถูกต้องภายนอก หรื อความถูกต้องเชื่อถือได้ในการนาผลการวิจยั ไปใช้กบั กลุ่มประชากรขึ้นอยูก่ บั วิธีการสุ่ มตัวอย่างที่จะ ได้ตวั อย่างที่เป็ นตัวแทนของประชากรอย่างแท้จริ ง การนาผลการวิจยั ไปใช้กบั ประชากรอื่น ๆ ที่แตกต่าง จากประชากรที่สุ่มตัวอย่างมาใช้ ต้องมีความระมัดระวัง เนื่องจากอาจนาไปใช้ผดิ ๆ เช่นนาผลการวิจยั ทางด้านภาษาที่ศึกษาจากเด็กไทยชาวเขา มาใช้กบั เด็กไทยภาคกลางเป็ นต้น ในการออกแบบการวิจยั นั้นนอกจากจะต้องควบคุมปั จจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการวิจยั มาก ที่สุดแล้วยังต้องยึดหลัก Max Min Con ซึ่ งเหล่านี้ได้ให้มีการผันแปร ในขณะเดียวกันก็ตอ้ งพยายามให้ ตัวแปรที่เป็ นจุดกลางของความสนใจมีความผันแปรมากที่สุด และให้ตวั แปรที่อาจเกี่ยวข้องและทาให้ ข้อสรุ ปไม่ถูกต้อง มีการผันแปรน้อยที่สุด นอกจากนั้นจะต้องพยายามหาวิธีการวัดและการวิเคราะห์ที่ สามารถควบคุมตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุมได้อย่างถูกต้อง

5.8 หลักเกณฑ์ ทใี่ ช้ ในการพิจารณาการวางแผนออกแบบการวิจัย คุณสมบัติต่างๆ ของแบบของการวิจยั ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น มิได้เกี่ยวข้องกับ ขั้นตอนของการวิจยั ตั้งแต่ตน้ จนจบ โดยแท้จริ งแล้วการออกแบบการวิจยั ตามที่ได้ให้คานิยามไว้ขา้ งต้น ควรครอบคลุมทุกขั้นตอนของการวิจยั หากพิจารณาปั ญหาการทาวิจยั ได้ดีทุกขั้นตอนก่อนลงมือทาก็จะ ได้แบบของการวิจยั ในทุกขั้นตอน นับตั้งแต่การกาหนดปั ญญาไปจนถึงการประเมินงานวิจยั ผูเ้ ขียนจึง ขอนามาเสนอเป็ นแนวทางการคิดในการออกแบบการวิจยั 111


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 5 ตารางแสดงขั้นตอนและแนวคิดในการออกแบบการวิจัย ขั้นตอนการวิจัย คาถามหลัก/สิ่ งทีค่ วรพิจารณา ทีต่ ้ องมีการตัดสิ นใจ 1.1 อะไรคือวัตถุประสงค์ของการศึกษา? 1. การกาหนดปัญหา 1.2 ผูว้ จิ ยั มีความรู ้ในเรื่ องนี้มากเท่าใด? 1.3 ต้องการข้อมูลอะไรที่เพิ่มเติมอีกหรื อไม่? 1.4 จะวัดอะไร อย่างไร? 1.5 เก็บข้อมูลได้หรื อไม่? 1.6 ควรจะทาวิจยั ไหม? 1.7 สามารถกาหนดสมมติฐานได้ไหม? 2.1 คาถามที่ตอ้ งตอบเป็ นคาถามประเภทใด? 2. การคัดเลือกแบบของการวิจัย 2.2 ข้อค้นพบที่ตอ้ งการเป็ นเชิงพรรณนาหรื อเชิงเหตุและผล 2.3 ข้อมูลจะหาได้จากแหล่งใด? 2.4 จะได้คาตอบเชิงวัตถุวสิ ัยจากแหล่งข้อมูลหรื อไม่? 2.5 ต้องการข้อมูลเร็ วเพียงใด? 2.6 ควรจะตั้งคาถามอย่างไร? 2.7 ควรมีการดาเนินการทดลองไหม? 3.1 ใครหรื ออะไรเป็ นแหล่งข้อมูล? 3. การเลือกตัวอย่าง 3.2 จะระบุประชากรเป้ าหมายได้ไหม? 3.3 การสุ่ มตัวอย่างระดับประเทศจาเป็ นไหม? 3.4 ตัวอย่างควรมีขนาดเท่าใด? 3.5 จะเลือกตัวอย่างได้อย่างใด? 4.1 ใครเป็ นผูเ้ ก็บรวบรวมข้อมูล? 4. การเก็บรวบรวมข้ อมูล 4.2 จะใช้เวลานานเท่าใด? 4.3 จะต้องมีการควบคุมดูแลหรื อไม่? 4.4 จะต้องใช้กระบวนการปฏิบตั ิการอะไรบ้าง? 5.1 สามารถที่จะใช้ประโยชน์จากกระบวนการมาตรฐานของ 5. การวิเคราะห์ ข้อมูล การลงรหัสและการบรรณาธิ กรณ์ขอ้ มูลได้หรื อไม่? 5.2 จะแบ่งกลุ่มข้อมูลอย่างไร? 5.3 จะใช้เครื่ องคอมพิวเตอร์ หรื อทาด้วยมือ? 5.4 ลักษณะของข้อมูลเป็ นอย่างไร? 112


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ขั้นตอนการวิจัย ทีต่ ้ องมีการตัดสิ นใจ

6. ประเภทของรายงาน

7. การประเมินภาพรวม

คาถามหลัก/สิ่ งทีค่ วรพิจารณา 5.5 ต้องตอบคาถามอะไร? 5.6 มีตวั แปรกี่ตวั ที่ตอ้ งศึกษาพร้อมๆ กัน? 6.1 ใครเป็ นผูอ้ ่านรายงาน? 6.2 ต้องมีขอ้ เสนอแนะเชิงจัดการหรื อไม่? 6.3 จะต้องเสนอกี่ครั้ง? 6.4 รู ปแบบของรายงานจะเป็ นอย่างไร? 7.1 จะต้องเสี ยค่าใช้จ่ายในการศึกษาเท่าไร? 7.2 เวลาที่กาหนดไว้ใช้ได้หรื อไม่? 7.3 ต้องการความช่วยเหลือจากภายนอกหรื อไม่? 7.4แบบของการวิจยั ที่ใช้จะทาให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ของ การวิจยั หรื อไม่ 7.5 เมื่อไหร่ ถึงจะเริ่ มลงมือได้?

5.9 การสุ่ มตัวอย่ าง การสุ่ ม กลุ่ ม ตัว อย่า ง เป็ นขั้น ตอนส าคัญ ขั้น ตอนหนึ่ ง ของกระบวนการวิ จยั เพราะ การศึกษาวิจยั เพื่ออธิ บายคุณลักษณะประชากรของสิ่ งที่ผวู ้ จิ ยั ศึกษาในบางกรณี ผูว้ จิ ยั คงไม่สามารถศึกษา จากประชากรทั้งหมดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากประชากรมีขนาดใหญ่มาก การศึกษาจากประชากร จะ ทาให้ตอ้ งใช้งบประมาณในการวิจยั จานวนมากและสิ้ นเปลืองเวลาในการรวบรวมข้อมูล ในกรณี น้ ี จึง ต้องศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง (Samples) แทนการศึกษาจากประชากร (Population) และนาค่าสถิ ติซ่ ึ ง วิเคราะห์ จากข้อมูลที่รวบรวมจากกลุ่มตัวอย่างมาประมาณค่า พารามิ เ ตอร์ ข องประชากร หรื อ นามา ทดสอบนัย สาคัญ ทางสถิ ติ โดยใช้สถิ ติอา้ งอิง (Inferential statistics) เพื่อสรุ ปผลการวิจยั ไปยัง ประชากร ซึ่ งการวิเคราะห์ขอ้ มูลจากกลุ่ ม ตัวอย่า งและนาผลการวิจยั ที่ พ บสรุ ป อ้า งอิงไปยังประชากร ได้น้ ัน กลุ่ ม ตัวอย่ างที่ ศึ กษาจะต้องได้มาโดยวิ ธี ก ารสุ่ ม โดยใช้หลัก การความน่ าจะเป็ น (Probability Sampling) และเลือกใช้วิธีการสุ่ มที่ เหมาะสม รวมทั้ง กลุ่ ม ตัวอย่า งจะต้องมี ข นาดใหญ่เพีย งพอด้วย เพื่อ ให้ก ลุ ่ ม ตัว อย่า งที่ สุ่ ม มาศึ ก ษามีความเป็ นตัวแทนที่ดีของประชากร สามารถนาข้อมูลตัวแปรที่ รวบรวมได้จากกลุ่มตัวอย่างมาทดสอบนัยสาคัญทางสถิติ โดยใช้สถิติอา้ งอิง 5.9.1 ความหมายของกลุ่มตัวอย่ างทีเ่ ป็ นตัวแทนทีด่ ีของประชากร กลุ่มตัวอย่างที่เป็ นตัวแทนที่ดีของประชากร หมายถึง กลุ่มตัวอย่างที่ผวู ้ จิ ยั สุ่ มมาศึกษา 113


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เมื่อนาข้อมูลของตัวแปรที่รวบรวมได้จากกลุ่มตัวอย่างมาคานวณโดยใช้สถิติอา้ งอิง และนาค่าสถิติที่ คานวณได้มาประมาณค่าพารามิเตอร์ ของประชากร จะพบว่าค่าสถิติมีค่าใกล้เคียงกับค่าพารามิเตอร์ หรื อ มีความแตกต่างกันน้อยมาก 5.9.2 วิธีการสุ่ มกลุ่มตัวอย่ างเพือ่ ให้ เป็ นตัวแทนทีด่ ีของประชากร วิธีการสุ่ มกลุ่มตัวอย่างเพื่อให้เป็ นตัวแทนที่ดีของประชากร ซึ่ งจะทาให้ผลการวิจยั สามารถสรุ ปอ้างอิงไปยังประชากรของงานวิจยั มีหลักการสุ่ ม ดังนี้ 5.9.2.1 ใช้ วธิ ีการสุ่ มกลุ่มตัวอย่ างโดยใช้ หลักการความน่ าจะเป็ น วิธีสุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักการความน่ าจะเป็ น หมายถึงวิธีการสุ่ มที่ทุกหน่วยของ ประชากรมีโอกาสถูกสุ่ มเป็ นกลุ่มตัวอย่างโดยเท่าเทียมกัน วิธีการสุ่ มกลุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักการความน่าจะเป็ น ได้แก่ การสุ่ มอย่างง่าย (Simple random sampling) การสุ่ มอย่างมี ระบบ (Systematic sampling) การสุ่ มแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified sampling) และการสุ่ มแบบกลุ่ม (Cluster sampling) ซึ่ งข้อมูลที่รวบรวมได้กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มโดยใช้ หลัก การความน่ า จะเป็ น สามารถน ามาวิเ คราะห์ แ ละทดสอบนัย ส าคัญ โดยใช้ส ถิ ติ อ้า งอิ ง ซึ่ ง ผลการวิจยั ที่ได้สามารถสรุ ปอ้างอิงไปยังประชากรของงานวิจยั แบบแผนการวิจยั แบบไม่ทดลอง (Non experimental design) จะให้ความสาคัญหรื อ เน้นด้านความตรงภายนอกของผลการวิจยั (External validity) ซึ่งหมายถึงผลการวิจยั สามารถสรุ ปอ้างอิง ไปยังประชากรของงานวิจยั แต่หากกลุ่มตัวอย่างไม่ได้ใช้วธิ ี การสุ่ มโดยใช้หลักการความน่าจะเป็ น เช่น ใช้วธิ ี การเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีเจาะจง (Purposive) หรื อวิธีความสะดวก (Convenience) กลุ่มตัวอย่าง ที่ศึกษา จึงไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างที่เป็ นตัวแทนที่ดีของประชากร ผลการวิจยั จึงย่อมขาดความตรงภายนอก นอกจากนี้ ข้อมูลตัวแปรที่รวบรวมได้จากกลุ่มตัวอย่าง ก็จะไม่ตรงตามเงื่อนไขของการวิเคราะห์โดยใช้ สถิติอา้ งอิง ซึ่ งเมื่อไม่ได้ใช้สถิติอา้ งอิงวิเคราะห์ผลหรื อทดสอบนัยสาคัญ ผลการวิจยั ก็ไม่สามารถสรุ ป อ้างอิงไปยังประชากรของงานวิจยั 5.9.2.2 เลือกใช้ วธิ ีการสุ่ มกลุ่มตัวอย่ างทีเ่ หมาะสม นอกเหนือจากการใช้วธิ ี การสุ่ มกลุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักการความน่าจะเป็ นแล้ว ยังต้อง คานึ งด้วยว่าวิธีการสุ่ มกลุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักการความน่าจะเป็ นนั้น วิธีใดที่มีความเหมาะสมที่สุดกับ งานวิจยั ที่ ศึกษา และเป็ นวิธีที่จะทาให้กลุ่มตัวอย่างที่ ผวู ้ ิจยั ศึกษามีคุณลักษณะครอบคลุ มคุ ณลักษณะ ประชากร ในกรณี ที่ประชากรมีคุณลักษณะแตกต่างกันหรื อเป็ นวิวธิ พันธ์ (Heterogeneous) วิธีที่ 114


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ท าการสุ่ มแบบแบ่ งชั้น เป็ นวิ ธี การสุ่ มที่ ท าให้ กลุ่ มตัวอย่างมี คุ ณลักษณะครอบคลุ มคุ ณลักษณะของ ประชากร มากกว่าวิธีการสุ่ มอย่างง่าย 5.9.2.3 กลุ่มตัวอย่ างมีขนาดเหมาะสม ขนาดกลุ่มตัวอย่างมีความผันแปรกับค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน (Standard error) กล่าวคือ หากกลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการสุ่ มมี ข นาดใหญ่ ค่าความคลาดเคลื่ อนมาตรฐานจะลดลง ดังจะ เห็นได้จากสู ตร SE M 

SE M S .D.

n

= = =

S .D . n

ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน ค่าส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขนาดกลุ่มตัวอย่าง

5.9.3 ข้ อดีของการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่ างขนาดใหญ่ การศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ มีขอ้ ดีดงั นี้ 5.9.3.1 สามารถวิเคราะห์ ผลและทดสอบนัยสาคัญทางสถิติ โดยใช้สถิติที่มีขอ้ ตกลง เบื้องต้นว่า กลุ่มตัวอย่างต้องมีการกระจายเป็ นโค้งปกติ (Normal distribution) 5.9.3.2 ลดความคลาดเคลือ่ นมาตรฐาน จากสู ตรค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน SE M 

SE M S .D.

n

= = =

S .D . n

ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน ค่าส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขนาดกลุ่มตัวอย่าง

จะประจัก ษ์ชัด ว่า หากขนาดกลุ่ ม ตัว อย่างเพิ่มขึ้น ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานจะลดลง 5.9.3.3 ค่ าสถิติทคี่ านวณได้ จากกลุ่มตัวอย่ าง มีค่าใกล้เคียงกับค่าพารามิเตอร์ ของประชากร อย่างไรก็ตาม แม้วา่ การศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ จะมีขอ้ ดีหลายประการก็ตาม แต่ก็มีขอ้ เสี ยคือ สิ้ นเปลืองงบประมาณและเวลาที่ใช้ในการวิจยั ดังนั้นการกาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง 115


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ของงานวิจยั จึงควรต้องพิจารณาจากปั จจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย 5.9.4 ความเหมาะสมของขนาดกลุ่มตัวอย่ าง แม้วา่ กลุ่มตัวอย่างยิง่ มีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าใด ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานก็จะ ลดลงในลักษณะที่แปรผกผันกับขนาดกลุ่มตัวอย่าง แต่ในการวิจยั ก็มิได้หมายความว่าผูว้ จิ ยั จะต้องศึกษา จากกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดใหญ่เสมอไป เพราะการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ งบประมาณ ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มสู งขึ้น นอกจากนี้ ความคลาดเคลื่อนของผลการวิจยั ไม่ใช่ข้ ึนอยูก่ บั ขนาดกลุ่มตัวอย่างแต่ เพียงปั จจัยเดียว แต่ยงั มีอีกหลายปั จจัยที่มีผลต่อความคลาดเคลื่อนของผลการวิจยั การกาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของงานวิจยั ให้มีความเหมาะสมนั้น ประกอบการกาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างได้แก่

สิ่ งที่ผวู ้ จิ ยั ควรใช้

5.9.4.1 ความเป็ นเอกพันธ์ (Homogenous) และความเป็ นวิวธิ พันธ์ (Heterogeneous) ของประชากร ในกรณี ที่ประชากรมีความเป็ นเอกพันธ์ ขนาดกลุ่มตัวอย่างที่นามาศึกษาก็ไม่จาเป็ นต้องมี ขนาดใหญ่ แต่ในกรณี ที่ประชากรมีความเป็ นวิวธิ พันธ์ กลุ่มตัวอย่างที่นามาศึกษาควรมีขนาดใหญ่กว่าใน กรณี ที่ประชากรมีความเป็ นเอกพันธ์ 5.9.4.2 สถิ ติที่ใช้ วิเคราะห์ ข้อมู ล เช่ น ในกรณี ที่ วิเคราะห์ ขอ้ มูลโดยใช้วิธี วิเคราะห์ องค์ประกอบ (Factor analysis) หากจานวนตัวแปรที่ศึกษามีจานวนมาก กลุ่มตัวอย่างควรต้องมีขนาดใหญ่ ซึ่ งโดยทัว่ ไป ขนาดกลุ่มตัวอย่างที่ยอมรับได้คือจานวน 300-500 คน แต่หากต้องการให้ผลการวิจยั มี ความน่ า เชื่ อถื อสู ง กลุ่ ม ตัวอย่า งควรมี ข นาด 1000 คน ยกเว้นในกรณี ที่ ก ลุ่ มตัวอย่า งมี คุ ณลัก ษณะ คล้า ยคลึ ง กัน หรื อมี ค วามเป็ นเอกพัน ธ์ และจ านวนตัวแปรที่ ศึ ก ษาไม่ ม ากนัก ขนาดกลุ่ ม ตัว อย่า งที่ เหมาะสมควรมีจานวน 100-200 คน 5.9.4.3 ประเภทการวิจัยหรือแบบแผนงานวิจัย ในกรณี ที่เป็ นแบบแผนการวิจยั เชิง บรรยาย หรื อแบบแผนการวิจยั แบบไม่ทดลอง ขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่นามาศึกษาจะมีขนาดใหญ่กว่า แบบแผนการวิจยั เชิงทดลองและแบบแผนการวิจยั กึ่งทดลอง สาหรับการวิจยั เชิงคุณภาพโดยทัว่ ไป แล้วจะศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก เนื่ องจากเป็ นการวิจยั ที่เน้นการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง แบบเจาะลึก จนกระทัง่ ได้ขอ้ มูลที่อิ่มตัว (Saturated Data) 5.9.4.4 ระดับนัยสาคัญของสมมติฐานที่ทดสอบ ในการกาหนดระดับ นัย สาคัญของ สมมติ ฐานที่ทดสอบ ขึ้นอยู่กบั ความรุ นแรงของประเด็นปั ญหาที่ศึกษาหรื อสมมติฐานที่ทดสอบ หาก ประเด็นปัญหาที่ศึกษาหรื อสมมติฐานที่ทดสอบ มีความรุ นแรงหรื อเกี่ยวข้องกับชีวติ มนุษย์ ก็ควรกาหนด ระดับ นัย ส าคัญของสมมติ ฐ านที่ ท ดสอบในระดับ ต่ า เพื ่อ ลดระดับ ความคลาดเคลื่ อ นแบบที่ 1 116


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

(Type I Error) ซึ่ งขนาดกลุ่มตัวอย่างที่คานวณจากระดับความคลาดเคลื่อนของการสุ่ มเท่ากับ .01 ย่อมมี ขนาดใหญ่กว่าขนาดกลุ่ มตัวอย่างที่คานวณจากระดับความคลาดเคลื่ อนของการสุ่ มกลุ่มเท่ากับ .05 ซึ่ ง คานวณจากประชากรกลุ่มเดียวกัน 5.9.4.5 ขนาดของผลเนื่องจากสิ่ งทดลอง (Effect size) หากค่า ES มีค่าน้อย ขนาด กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาจะต้องใช้ขนาดใหญ่กว่าค่า ES ที่มีค่าสู ง เพื่อเพิ่มค่าอานาจการทดสอบ 5.9.5 ความหมายของคาซึ่งเกีย่ วข้ องกับการสุ่ มกลุ่มตัวอย่ างทีค่ วรทราบ 5.9.5.1 ประชากร (Population) 5.9.5.2 กลุ่มตัวอย่าง (Sample) 5.9.5.3 กรอบตัวอย่าง (Sampling frame) 5.9.5.4 Central Limited Theorem 5.9.5.5 การสุ่ มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม (Random assignment) 5.9.5.6 การสุ่ มตัวอย่างจากประชากร (Randomselection) 5.9.5.1 ประชากร ประชากร (Population) ในความหมายที่นามาใช้ในการวิจยั หมายถึง สิ่ งต่าง ๆ ไม่วา่ จะ เป็ นคน สัตว์ สิ่ งของหรื อเหตุการณ์ ซึ่ งเป็ นสิ่ งที่ผวู ้ ิจ ัย ต้อ งการศึ ก ษาและมี คุ ณ ลักษณะตรงตามขอบข่าย ที่ผวู ้ จิ ยั กาหนดในงานวิจยั 5.9.5.2 กลุ่มตัวอย่ าง กลุ่มตัวอย่าง (Samples) หมายถึง ส่ วนหนึ่งของประชากรที่ผวู ้ จิ ยั เลือกหรื อสุ่ มมาเป็ น ตัวแทนสาหรับศึกษา เพื่ออธิบายคุณลักษณะของประชากรเป้ าหมายหรื อประชากรของงานวิจยั ในการวิจยั อาจศึกษาจากประชากรหรื อกลุ่มตัวอย่างก็ได้ โดยทัว่ ไปแล้วหากประชากร มีขนาดใหญ่ จะศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างแทนการศึกษาจากประชากร แต่หากประชากรมีขนาดเล็กและเป็ น การวิจยั เชิงบรรยาย ควรได้ศึกษาจากประชากรแทนการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 5.9.5.3 กรอบตัวอย่าง กรอบตัวอย่าง (Sampling frame) หมายถึง หน่วยตัวอย่างทุกหน่วยในประชากร กรอบ ตัวอย่างมีความสาคัญมากในขั้นตอนของการสุ่ มกลุ่มตัวอย่าง การสุ่ มกลุ่มตัวอย่างที่หน่วยตัวอย่างทุก หน่วยของประชากรมีโอกาสถูกเลือกอย่างเท่า เที ยมกัน กรอบตัวอย่างจาเป็ นต้องประกอบด้วยหน่ วย ตัวอย่างของประชากรครบทุ กหน่ วย 117


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

5.9.5.4 Central Limited Theorem หลักการที่ได้กล่าวไว้ใน Central Limited Theorem เป็ นหลักการที่สามารถนามาใช้ ประโยชน์ในการสุ่ มกลุ่มตัวอย่าง ซึ่ งสาระของหลักการ มีดงั นี้ เมื่อทาการสุ่ มกลุ่มตัวอย่างมาจานวนหลายๆกลุ่มจากประชากรกลุ่มเดียวกัน โดยขนาด ของกลุ่มตัวอย่างในแต่ละกลุ่มมีจานวนเท่าๆ กันและมีขนาดใหญ่เพียงพอ เมื่อวัดค่าเฉลี่ยและค่าส่ วน เบี่ยงเบนมาตรฐานของตัวแปรที่ศึกษา เช่น น้ าหนัก จะพบว่าค่าเฉลี่ยและค่าส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของ น้ าหนักที่ วิเคราะห์ได้จากข้อมูลที่รวบรวมจากกลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มมีค่าต่างๆ กัน แม้วา่ กลุ่มตัวอย่าง ของแต่ละกลุ่มจะสุ่ มมาจากประชากรเดียวกัน หรื อกล่าวอีกนัยหนึ่งคือค่าเฉลี่ยและค่าส่ วนเบี่ยงเบน มาตรฐานมีความแปรปรวน ซึ่ งความแปรปรวนที่เกิดขึ้นนี้เป็ นความแปรปรวนจากการสุ่ ม (Sampling Variation) ค่าเฉลี่ยของน้ าหนักที่วเิ คราะห์ได้จากข้อมูลของกลุ่มตัวอย่าง เรี ยกว่า Sample Meanเมื่อ นาค่าเฉลี่ยของน้ าหนักที่วเิ คราะห์ได้จากข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มมาแจกแจงการกระจาย (Sample Distribution) การกระจายที่ได้เรี ยกว่า การกระจายแบบสุ่ ม (Sampling Distribution) ซึ่งลักษณะ การกระจายแบบสุ่ มของค่าเฉลี่ยจะเป็ นโค้งปกติ (Normal Distribution) ค่าเฉลี่ยที่คานวณจากกลุ่ม ตัวอย่างที่มีลกั ษณะการกระจายแบบสุ่ มหรื อเป็ นแบบโค้งปกติ จะมีค่าใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยที่คานวณจาก ประชากร ส่ วนค่าส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของน้ าหนักที่วเิ คราะห์ได้จากข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างแต่ ละกลุ่มซึ่ งมีค่าต่างๆกันนั้น เรี ยกว่าค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน (Standard Error) ซึ่ งหากค่าส่ วน เบี่ยงเบนมาตรฐานยิง่ มากเท่าใด ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานก็ยงิ่ สู งมากเท่านั้น ทั้งนี้ค่าส่ วนเบี่ยงเบน มาตรฐานมีความสัมพันธ์กบั ขนาดกลุ่มตัวอย่าง กล่าวคือกลุ่มตัวอย่างยิง่ มีขนาดใหญ่ข้ ึนมากเท่าใด ค่า ส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจะยิง่ เล็กลงเท่านั้น และหากศึกษาวิจยั จากประชากรแทนการศึกษาจากกลุ่ม ตัวอย่าง ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานก็จะเป็ นศูนย์ ค่าเฉลี่ยและค่าส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่มีค่าต่างๆ กันนี้ เป็ นความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการสุ่ ม (Sampling Error) และเป็ นความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นโดย บังเอิญ (Chance Error) 5.9.5.5 การสุ่ มตัวอย่ างเข้ ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม การสุ่ มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม (Random Assignment) หมายถึง การ สุ่ มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยมีวตั ถุประสงค์เพื่อควบคุมคุณลักษณะต่างๆ ที่จะมีผล ต่อตัวแปรตามให้เหมือนกันมากที่สุดก่อนเริ่ มทดลอง ทั้งในกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง ซึ่ งจะทาให้ ผลการวิจยั ที่ได้มีความตรงภายใน (Internal Validity) 118


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

Random Assignment มีความสาคัญสาหรับงานวิจยั เชิงทดลอง (Gersten, Baker and Lloyd, 2000 : 10) 5.9.5.6 การสุ่ มตัวอย่ างจากประชากร การสุ่ มตัวอย่างจากประชากร (Random Selection) มีวตั ถุประสงค์เพื่อให้ได้กลุ่ม ตัวอย่างที่ เป็ นตัวแทนที่ ดีข องประชากร เพื่อให้ผลการวิจยั มีความตรงภายนอก สามารถสรุ ปอ้างอิ ง ไปยังประชากรของงานวิจยั ในการสรุ ปอ้างอิงผลการวิจยั ที่ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างไปยังประชากรของงานวิจยั จะ ครอบคลุมถึงความเหมือนทั้งในด้านคุณลักษณะของประชากรที่ศึกษา (Type of People) บริ บทหรื อ สถานที่ที่ศึกษาวิจยั (Places) และช่วงเวลาที่ศึกษาวิจยั (Times) Random Selection มีความสาคัญมากสาหรับงานวิจยั เชิงสารวจ (Survey Research) และ งานวิจยั เชิงบรรยาย (Descriptive Research) (Gersten, Baker and Lloyd, 2000 : 10) 5.9.6 วิธีการสุ่ มกลุ่มตัวอย่ าง วิธีการสุ่ มกลุ่มตัวอย่าง มี 2 วิธีใหญ่ ๆ ได้แก่ 5.9.6.1 วิธีส่ ุ มกลุ่มตัวอย่ างโดยใช้ หลักการความน่ าจะเป็ น (Probability Sampling) วิธีสุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักการความน่าจะเป็ น เป็ นวิธีสุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยหน่วย ตัวอย่างทุกหน่วยของประชากรมีโอกาสถูกสุ่ มเป็ นกลุ่มตัวอย่างโดยเท่าเทียมกัน ปราศจากอคติในการ สุ่ มกลุ่มตัวอย่าง วิธีน้ ีทาให้มนั่ ใจว่าจะได้กลุ่มตัวอย่างที่เป็ นตัวแทนที่ดีของประชากรสู งกว่าวิธีสุ่มกลุ่ม ตัวอย่างโดยไม่ใช้หลักการความน่าจะเป็ น (Non-Probability Sampling) ข้อมูลที่รวบรวมได้จากกลุ่ม ตัวอย่างที่สุ่มโดยใช้หลักการความน่าจะเป็ น สามารถนามาทดสอบนัยสาคัญทางโดยใช้สถิติอา้ งอิง (Inferential Statistics) ผลการวิจยั สามารถสรุ ปอ้างอิงไปยังประชากรของงานวิจยั ได้ (Polit and Hungler, 1987 : 208) วิธีสุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักการความน่าจะเป็ น ได้แก่ 1) การสุ่ มกลุ่มตัวอย่ างแบบง่ าย (Simple Random Sampling) การสุ่ มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย เป็ นวิธีการสุ่ มกลุ่มตัวอย่างจากหน่วยตัวอย่างทุกหน่วย ของประชากร โดยหน่วยตัวอย่างทุกหน่วยมีโอกาสถูกเลือกเป็ นกลุ่มตัวอย่างโดยเท่าเทียมกัน กลุ่ม ตัวอย่างที่นามาศึกษาวิจยั จึงเป็ นกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มมาโดยปราศจากอคติ และความแตกต่างของ คุณลักษณะของกลุ่มตัวอย่างที่นามาศึกษาเป็ นความแตกต่างที่เกิดจากการสุ่ ม ซึ่ งเป็ นความคลาดเคลื่อนที่ เกิดขึ้นโดยบังเอิญ (Chance Error) 119


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

วิธีการสุ่ มตัวอย่างแบบง่ายที่นิยมใช้กนั ได้แก่ (1.1) วิธีจับฉลาก เป็ นวิธีการนารายชื่ อหรื อรหัสหน่วยตัวอย่างทุกหน่วยของประชากร มาใส่ ในกล่องหรื อนามากาหนดเป็ นกรอบตัวอย่าง (Sampling Frame) จากนั้นผูว้ ิจยั ก็ใช้วิธีการจับฉลาก ให้ได้ขนาดตัวอย่างจนครบตามจานวนที่ตอ้ งการ วิธีจบั ฉลาก อาจใช้การสุ่ มแบบแทนที่หรื อการสุ่ มแบบไม่แทนที่ก็ได้ การสุ่ มแบบแทนที่ (Sampling with replacement) เป็ นวิธีการสุ่ มโดยการนาหน่วยตัวอย่างที่สุ่มได้แล้ว ใส่ กลับคืนเข้าในกรอบตัวอย่าง ซึ่ ง ทาให้หน่วยตัวอย่างทุกหน่วยในประชากรมีโอกาสถูกเลือกเป็ นกลุ่มตัวอย่างเท่าเทียมกันทุกครั้งที่สุ่ม การสุ่ มแบบไม่ แทนที่ (Sampling without replacement) เป็ นวิธีการสุ่ มโดยไม่มีการ นาหน่วยตัวอย่างที่สุ่มได้แล้วใส่ กลับคืนเข้าในกรอบตัวอย่าง วิธีการสุ่ มแบบไม่แทนที่ จะทาให้หน่วย ตัวอย่างที่เหลืออยูใ่ นกรอบตัวอย่างมีโอกาสถูกเลือกเป็ นกลุ่มตัวอย่างเพิ่มสู งขึ้นเรื่ อย ๆ ของการสุ่ มใน ครั้งถัดมา (1.2) วิธีใช้ ตารางเลขสุ่ ม (Random Number Table) แม้วา่ ตารางเลขสุ่ มจะมีหลาย แบบด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตามตารางเลขสุ่ มไม่วา่ แบบใด ก็จะประกอบด้วยตัวเลขตั้งแต่ 0-9 โดยตัวเลข 09 ที่ปรากฏในตารางเลขสุ่ มจะมีจานวนที่เท่าๆกัน ทาให้ตวั เลข 0 ถึงตัวเลข 9 ที่เรี ยงในแถว (Row) และ สดมภ์ (Column) มีโอกาสถูกสุ่ มอย่างเท่าเทียมกัน การสุ่ มตัวอย่างโดยใช้ตารางเลขสุ่ มจาเป็ นต้องมีกรอบตัวอย่าง (Sampling Frame) การสุ่ มตัวอย่างโดยใช้ตารางเลขสุ่ ม มีวธิ ี การดังนี้ (1.2.1) ในกรณี ที่ตารางเลขสุ่ มมีหลายหน้า ให้สุ่มมา 1 หน้า (1.2.2) กาหนดแบบแผนการอ่านตัวเลขในตารางเลขสุ่ มอย่างเป็ นระบบ เช่น อาจ กาหนดแบบแผนการอ่านจากซ้ายไปขวาของแถว (Row) หรื อกาหนดแบบแผนการอ่านจากบนลงล่าง ของสดมภ์ (Column) แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อกาหนดแบบแผนการอ่านแบบใด ก็ให้ใช้แบบแผนการอ่าน แบบเดียวกันนั้นโดยตลอด จนได้ขนาดตัวอย่างครบตามที่ตอ้ งการ (1.2.3) กาหนดจานวนเลขหลักที่อ่าน ซึ่ งขึ้นอยูก่ บั ขนาดประชากร หากประชากรมี จานวนเลขหลักหมื่น จานวนเลขหลักที่อ่านก็จะเป็ นจานวนเลข 5 หลัก แต่หากประชากรมีจานวนเลข หลักพัน จานวนหลักที่อ่านก็จะเป็ นจานวนเลข 4 หลัก (1.2.4) สุ่ มเลขเริ่ มต้นจากแถวใดแถวหนึ่ง จากนั้นก็อ่านตัวเลขตามที่แบบแผนที่ได้ กาหนดใน (1.2.2) และจานวนเลขหลักตามที่กาหนดใน (1.2.3) จนได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างครบตามที่ ต้องการ ในกรณี ที่ตวั เลขที่ได้ซ้ าหรื อมากกว่าจานวนประชากรซึ่ งเป็ นตัวเลขจานวนมากกว่าที่มีใน 120


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

กรอบตัวอย่าง ตัวเลขนี้กใ็ ช้ไม่ได้ ให้ขา้ มไปอ่านตัวเลขถัดไป เช่น หากประชากรมีจานวน 20,000 คน แต่ตวั เลขที่ได้คือ 20546 ซึ่ งมากกว่าจานวนประชากรที่ศึกษา เลขรหัส 20546 ก็จะไม่มีปรากฏในกรอบ ตัวอย่าง ในกรณี น้ ี ตัวเลข 20546 ก็ใช้ไม่ได้ ตัวอย่าง หากต้องการสุ่ มตัวอย่างมาจานวน 10 คนจากประชากร 50000 คน ที่ระบุใน กรอบตัวอย่างโดยเรี ยงตามรหัสหมายเลขประจาตัวจาก 00001-50000 ทาการสุ่ มจากตารางเลขสุ่ มซึ่ ง นามาเสนอเพียงส่ วนหนึ่ง โดยกาหนดแบบแผนการอ่านตารางเลขสุ่ มจากซ้ายไปขวาของแถว (Row) มี วิธีการสุ่ มดังนี้ ส่ วนหนึ่งของตารางเลขสุ่ ม แถว 1 57275 2 42726 3 82768 4 97742 5 48332 6 26700 7 66156 8 64012 9 24713 10 90417

39666 58321 32694 58918 38634 40484 16407 10061 95591 18344

18545 56276 62826 33317 20510 28341 57395 01923 26970 22436

50534 72747 19097 34192 09198 25428 86230 29260 37647 77006

57654 53986 09877 06286 56256 08806 47495 32771 26282 87841

25519 63679 32093 39824 04431 98858 13908 71002 89759 94322

35477 54095 23518 74264 22753 04816 97015 58132 69034 45526

71309 56563 08654 01941 20944 16317 58225 58646 55281 38145

12212 09820 64815 98510 95319 94928 82255 69089 64853 86554

98911 86291 19894 26247 29515 05512 01956 63694 50837 42733

ขั้นที่ 1 ทาการสุ่ มเลขเริ่ มต้นจากแถวใดแถวหนึ่ ง หากสุ่ มได้เลข 4 ซึ่ งเป็ นตัวเลขเริ่ มต้น ของแถวที่ 5 สดมภ์ที่ 1 ซึ่งได้เลข 48332 ขั้นที่ 2 อ่านตัวเลข 5 หลักจากซ้ายไปขวาของแถวที่ 5 หากตัวเลข 5 หลักใดมีคา่ เกิน จานวนรหัสหมายเลขประจาตัวคือ 50000 ซึ่ งไม่มีปรากฏในกรอบตัวอย่าง ตัวเลข 5 หลักนี้ก็ใช้ไม่ได้ ให้ ข้ามไปอ่านตัวเลข 5 หลักถัดไป ในกรณี น้ ี กลุ่มตัวอย่าง 10 คนที่สุ่มได้ ได้แก่หมายเลขรหัส 48332 38634 20510 04431 22753 20944 29515 26700 40484 28341 ดังที่ได้ขีดเส้นใต้ไว้ 2) การสุ่ มตัวอย่ างแบบมีระบบ (Systematic Sampling) การสุ่ มตัวอย่างแบบมีระบบ เป็ นวิธีการสุ่ มตัวอย่างจากหน่วยตัวอย่างทุกหน่วยของ ประชากรที่ได้กาหนดไว้ในกรอบตัวอย่าง (Sampling Frame) โดยที่หน่วยตัวอย่างในกรอบตัวอย่างได้ 121


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ถูกจัดเรี ยงแบบสุ่ ม และหมายเลขแรกที่ใช้เป็ นหมายเลขตั้งต้นของการสุ่ ม จะต้องเป็ นหมายเลขที่ได้มา โดยวิธีการสุ่ ม ขั้นตอนของการสุ่ มตัวอย่างแบบมีระบบ (2.1) กาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง (Sample Size) (2.2) คานวณช่วงที่ใช้ในการสุ่ มตัวอย่าง (Interval) โดยการนาจานวนประชากร ทั้งหมดหารด้วยขนาดกลุ่มตัวอย่างที่กาหนดได้ในข้อ 1) หรื อจากสู ตร  = N / n (2.3) สุ่ มหมายเลขตั้งต้นระหว่างหมายเลข 1 ถึง  จานวน 1 หมายเลข โดยใช้วธิ ีการ สุ่ มแบบง่าย เพื่อนามาเป็ นหมายเลขตั้งต้น สมมติได้หมายเลข R (2.4) เลือกตัวอย่างจากหน่วยตัวอย่างของประชากรจนครบขนาดตัวอย่างที่กาหนดไว้ โดยนาหมายเลข R มาบวกกับค่าช่วงที่ใช้ในการสุ่ มตัวอย่างที่คานวณได้ในขั้นตอน 2 โดยใช้สูตร R, R + , R+ 2, R+3 …. + R + (n-1)  ตัวอย่าง ในกรณี ที่ประชากรมีจานวน 100 คน ขนาดกลุ่มตัวอย่างที่ตอ้ งการเท่ากับ 20 คน จะได้ค่า  = 100/20 = 5 และ R ที่สุ่มได้ คือหมายเลข 5 ดังนั้นหมายเลขที่เป็ นกลุ่มตัวอย่างได้แก่ หมายเลข 5,10, 15, 20, 25, 30, ….. 100 ซึ่ งจะได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างจานวน 20 คน ดังหมายเลขแสดงใน กรอบตัวอย่าง 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10

11 12 13 14 15 16 17 18 19 20

21 22 23 24 25 26 27 28 29 30

31 32 33 34 35 36 37 38 39 40

41 42 43 44 45 46 47 48 49 50

51 52 53 54 55 56 57 58 59 60

61 62 63 64 65 66 67 68 69 70

71 71 73 74 75 76 77 78 79 80

81 82 83 84 85 86 87 88 89 90

91 92 93 94 95 96 97 98 99 100

3) การสุ่ มแบบแบ่ งชั้ น (Stratified Random Sampling) 4 การสุ่ มแบบแบ่งชั้น เป็ นวิธีการสุ่ มตัวอย่างจากประชากรที่ได้แบ่งหน่วยตัวอย่างของ 5 นชั้นตามลักษณะบางอย่างโดยมีวตั ถุประสงค์ให้หน่วยตัวอย่างที่จดั แบ่งเป็ นชั้นมีความ ประชากรเป็ 6 122 7 8


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

คล้ายคลึงกันมากที่สุดในชั้นเดียวกัน และมีความแตกต่างกันมากที่สุดระหว่างต่างชั้น ซึ่ งเมื่อแบ่ง ประชากรเป็ นชั้นแล้ว ก็ทาการสุ่ มตัวอย่างโดยวิธีสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling) ให้ครบตาม จานวนสัดส่ วนที่คานวณจากประชากรของแต่ละชั้น ซึ่ งวิธีการสุ่ มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นเช่นนี้ เรี ยกว่า การสุ่ มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นโดยคานวณตามสัดส่ วนประชากรของแต่ละชั้น (Proportionate Stratified Random Sampling) ซึ่ งจะทาให้กลุ่มตัวอย่างมีความเป็ นตัวแทนของประชากรทั้งหมดและประชากรของ แต่ละชั้น แต่ในกรณี ที่จานวนประชากรของชั้นใดมีขนาดเล็กมาก (Extremely Small) การคานวณขนาด ตัวอย่างในชั้นนั้น ก็สามารถใช้วธิ ี การกาหนดขนาดตัวอย่างโดยไม่ใช้การคานวณตามสัดส่ วนของ ประชากรในชั้นนั้นๆ (Disproportionate Stratified Random Sampling) เช่น อาจกาหนดขนาดตัวอย่าง ของชั้นที่จานวนประชากรของชั้นนั้นมีขนาดเล็กมากจานวนร้อยละ 50 ส่ วนขนาดตัวอย่างของชั้นอื่นๆ ซึ่ งจานวนประชากรของชั้นมีขนาดใหญ่ ก็ใช้วธิ ี การคานวณตามสัดส่ วน การสุ่ ม แบบแบ่ ง ชั้น เหมาะส าหรั บ กรณี ที่ หน่ วยตัวอย่า งของประชากรมี ล ัก ษณะที่ แตกต่างกันมาก โดยนาลักษณะที่แตกต่างนี้ มาแบ่งชั้น เพื่อให้กลุ่มตัวอย่างที่สุ่มได้ ครอบคลุมลักษณะ ต่าง ๆ ของหน่วยตัวอย่างของประชากร ซึ่ งจะทาให้กลุ่มตัวอย่างที่นามาศึกษาเป็ นตัวแทนที่ดี ผลการวิจยั สามารถสรุ ป อ้า งอิ ง ไปยังประชากรได้ โดยเฉพาะอย่า งยิ่ง หากงานวิจยั นั้นๆ ได้นาตัวแปรเกี่ ย วกับ คุณลักษณะของหน่ วยตัวอย่างที่มีความแตกต่างกันมาศึกษาด้วยแล้ว ก็ควรต้องใช้การสุ่ มแบบแบ่งชั้น โดยใช้ตวั แปรคุณลักษณะของหน่วยตัวอย่างที่ตอ้ งการศึกษามาแบ่งชั้น 4) การสุ่ มตัวอย่ างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) การสุ่ มตัวอย่างแบบกลุ่มเหมาะสาหรับประชากรของงานวิจยั ที่มีขนาดใหญ่มากๆ โดย ประชากรได้จดั แบ่งเป็ นกลุ่มๆและกระจายตามแหล่ ง ภู มิ ภาคต่ า งๆ รวมทั้ง คุ ณ ลักษณะของหน่วย ตัวอย่างภายในกลุ่มแต่ละกลุ่มมี ความแตกต่างกันอย่างมาก แต่คุณลักษณะของหน่วยตัวอย่างระหว่าง กลุ่มมีความคล้ายคลึ งกันมากที่สุด ซึ่ งสามารถสุ่ มตัวอย่างมาเพียงภูมิภาคละ 1 กลุ่ม เพื่อเป็ นตัวแทน ประชากรของภูมิภาคนั้นๆ และทาการศึกษาจากทุกหน่วยของประชากรในแต่ละภูมิภาค แต่ในกรณี ที่ ประชากรของกลุ่มที่สุ่มมาศึกษามีขนาดใหญ่มาก ก็สามารถศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดเหมาะสม และมีความเป็ นตัวแทนของคุณลักษณะประชากร โดยใช้วธิ ี การสุ่ มตัวอย่างแบบกลุ่มหลายขั้นตอน (Multi-stage Cluster Sampling) ซึ่ งหน่วยการสุ่ มจะเล็กลงเป็ นลาดับในแต่ละขั้นตอนของการสุ่ ม เช่น เริ่ มจากหน่วยการสุ่ มขั้นตอนที่ 1 คือจังหวัด หน่วยการสุ่ มขั้นตอนที่ 2 คืออาเภอ หน่วยการสุ่ มขั้นตอนที่ 3 คือตาบลและหน่วยการสุ่ มขั้นตอนที่ 4 คือหมู่บา้ น เป็ นต้น 5) การสุ่ มหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) การสุ่ มหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เป็ นวิธีการสุ่ มตัวอย่างที่ใช้วธิ ี การสุ่ ม มากกว่า 1 วิธี โดยผสมผสานระหว่างวิธีการสุ่ มตัวอย่างแบบง่าย การสุ่ มตัวอย่างแบบมีระบบ การสุ่ ม 123


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตัวอย่างแบบแบ่งชั้นและการสุ่ มตัวอย่างแบบกลุ่ม เช่น ขั้นตอนที่ 1 ใช้วธิ ี การสุ่ มแบบกลุ่ม ขั้นตอนที่ 2 ใช้วธิ ี แบบแบ่งชั้น เป็ นต้น 5.9.6.2 วิธีเลือกตัวอย่างโดยไม่ ใช้ หลักการความน่ าจะเป็ น (Non-Probability Sampling) เป็ นวิธีเลือกตัวอย่างโดยไม่ได้คานึงถึงหลักการที่วา่ หน่วยตัวอย่างทุกหน่วยของ ประชากรมีโอกาสถูกสุ่ มเป็ นกลุ่มตัวอย่างโดยเท่าเทียมกัน ในกรณี น้ ี จึงไม่สามารถนาข้อมูลของตัวแปร ที่รวบรวมได้จากกลุ่มตัวอย่างเหล่านี้มาวิเคราะห์และทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติอา้ งอิง (Inferential Statistics) ผลการวิจยั จึงมีขอ้ จากัดในการสรุ ปอ้างอิงไปยังประชากร วิธีเลือกตัวอย่างโดยไม่ใช้หลักการความน่าจะเป็ น ได้แก่ 1) การเลือกตัวอย่างแบบบังเอิญหรือการเลือกตัวอย่างตามความสะดวก (Accidental Sampling or Convenience Sampling) การเลือกตัวอย่างแบบบังเอิญหรื อการเลือกตัวอย่างตามความสะดวก เป็ นวิธีการเลือก ตัวอย่างโดยอาศัยความสะดวกของผูว้ จิ ยั กล่าวคือ ในการรวบรวมข้อมูล หากผูว้ จิ ยั ต้องการรวบรวม ข้อมูลจากบุคคลใดที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่กาหนดไว้และบุคคลนั้นยินดีให้ความร่ วมมือ ผูว้ ิจยั ก็จะ เลือกบุคคลนั้นเป็ นกลุ่มตัวอย่าง หรื อใช้วธิ ี การประกาศรับอาสาสมัครที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์และยินดี เป็ นกลุ่มตัวอย่างของงานวิจยั การรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่ได้มาด้วยวิธีการนี้ เป็ นวิธีการที่ง่าย ต่อการรวบรวมข้อมูล แต่เป็ นวิธีการรวบรวมข้อมูลที่มีจุดอ่อนมาก ผลการวิจยั จึงมีขอ้ จากัดในการสรุ ป อ้างอิงไปยังประชากร ดังนั้นเพื่อให้ผลการวิจยั ที่พบมีความน่าเชื่อถือและสามารถอ้างอิงไปยังประชากร จึงไม่ควรใช้วธิ ี การเลือกตัวอย่างด้วยวิธีน้ ี ตัวอย่างการเลือกตัวอย่างแบบบังเอิญหรื อการเลือกตัวอย่างตามความสะดวก เช่ น การ สารวจความนิ ยมใช้ยาสระผม ซึ่ งการรวบรวมข้อมูลในกรณี น้ ี มักจะใช้ศูนย์การค้าหรื อห้างสรรพสิ นค้า เป็ นสถานที่สาหรับรวบรวมข้อมูลจากผูใ้ ห้ ขอ้ มูลหรื อผูต้ อบแบบสารวจ ส่ วนผูต้ อบแบบสารวจคือผูท้ ี่ เดิ นตามศูนย์การค้าหรื อห้างสรรพสิ นค้าและยินดี ที่จะตอบแบบสารวจ เมื่อบุคคลใดก็ตามมี่คุณสมบัติ ตรงตามเกณฑ์ที่กาหนด เช่น มีอายุระหว่าง 15-60 ปี และผูร้ วบรวมข้อมูลหรื อพนักงานบริ ษทั คิดว่าน่าจะ ยินดีตอบแบบสารวจ ก็จะขอให้บุคคลนั้นช่วยตอบแบบสารวจ โดยอาจให้ยาสระผมตอบแทนแก่ผตู ้ อบ แบบสารวจ 2) การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เป็ นวิธีการเลือกตัวอย่างโดยที่ผวู ้ จิ ยั เจาะจงกลุ่มตัวอย่าง ที่ตอ้ งการศึกษาที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่กาหนดและทาการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างตามที่ผู ้ วิจยั ได้เจาะจงเลือกไว้ ซึ่ งวิธีน้ ีทาให้เกิดความลาเอียงในการเลือกตัวอย่างได้ เนื่ องจากผูว้ จิ ยั จงใจเลือก ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่ผวู ้ จิ ยั คาดว่าจะทาให้ผลการวิจยั เป็ นไปตามสมมติฐานที่ผวู ้ จิ ยั กาหนดไว้ 124


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ผลการวิจยั ที่ได้จากการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างจึงมีขอ้ จากัดในการสรุ ปอ้างอิงไปยังประชากร จุดอ่อนในด้านความตรงภายนอก (External Validity)

ซึ่ งมี

การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง มีความเหมาะสมในกรณี ต่อไปนี้ (2.1) กลุ่มตัวอย่างของงานวิจยั มีคุณลักษณะเฉพาะหรื อพิเศษ ซึ่ งพบได้ไม่บ่อยนักและ มีจานวนน้อย หรื อปรากฏให้เห็นน้อยมาก ดังตัวอย่างงานวิจยั เรื่ อง “ความสัมพันธ์ระหว่างแรงสนับสนุ น ทางสังคมกับพฤติกรรมของญาติในการดูแลผูป้ ่ วยเอดส์และผูต้ ิดเชื้อเอชไอวี” (ประเทือง พิมพ์โพธิ์ , 2541) กลุ่มตัวอย่างคือญาติผดู ้ ูแลผูป้ ่ วยเอดส์และญาติผดู ้ ูแลผูต้ ิดเชื้อเอชไอวี ที่มารับการรักษาที่ แผนกผูป้ ่ วยนอกและแผนกผูป้ ่ วยใน โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน 2541 ถึงวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 จานวน 52 คน คัดเลื อกกลุ่ ม ตัวอย่างแบบเจาะจง โดยพิจารณาจากบุคลที่ให้การดูแล ช่วยเหลือและมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรื อทางกฏหมายกับผูป้ ่ วยเอดส์และผูต้ ิดเชื้อเอชไอวี รวมทั้ง ยินยอมเป็ นกลุ่มตัวอย่าง (2.2) กลุ่มตัวอย่างที่คดั เลือกมาเพื่อตรวจสอบความตรงตามโครงสร้างของเครื่ องมือที่ พัฒนาขึ้นใหม่โดยวิธี Known-group Technique การตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างของเครื่ องมือ โดยวิธี Known-group Technique คือ การนาแบบวัด ซึ่ ง เป็ นเครื่ องมื อ ที่ พ ฒั นาขึ้ น ไปให้ก ลุ่ ม ตัว อย่า ง 2 กลุ่ ม ซึ่ งแต่ละกลุ่มมีจานวน ตัวอย่างขนาดเท่าๆกัน กลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่ม มีคุณลักษณะของสิ่ งที่ตอ้ งการวัดในแบบวัดตรงข้ามกัน โดยกลุ่มตัวอย่างกลุ่ม 1 มีคุณลักษณะตรงตามสิ่ งที่ตอ้ งการวัดในแบบวัด ส่ วนกลุ่ ม ตัว อย่า งกลุ่ ม 2 มี คุ ณ ลัก ษณะตรงข้ามกับสิ่ งที่ ตอ้ งการวัดในแบบวัดหรื อมี คุณลักษณะตรงข้ามกับคุ ณลักษณะของกลุ่ม ตัวอย่างกลุ่ม 1 และนาคะแนนที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างกลุ่ม 1 และกลุ่มตัวอย่างกลุ่ม 2 มาวิเคราะห์หาค่า อานาจจาแนกโดยใช้สถิติทดสอบที จากสู ตร t= t XH XL S2H S2L N

XH – XL S2H +S2L V N คือ คือ คือ คือ คือ คือ

ค่าอานาจจาแนก ค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 1 ค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 2 ค่าความแปรปรวนของกลุ่มที่ 1 ค่าความแปรปรวนของกลุ่มที่ 2 จานวนคนในกลุ่มที่ 1 หรื อกลุ่มที่ 2 125


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ในกรณี ที่กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดมีขนาดไม่นอ้ ยกว่า 50 คน ค่า t ที่มากกว่า 1.75 ขึ้นไป หมายความว่าแบบวัดมีอานาจจาแนก (2.3) กลุ่มตัวอย่างของงานวิจยั เชิงคุณภาพที่ตอ้ งการศึกษาเพื่ออธิ บายปรากฏการณ์ เฉพาะ (Particular Phenomenon) ซึ่ งต้องพยายามเลือกกลุ่มตัวอย่างที่สามารถให้ขอ้ มูลที่ผวู ้ จิ ยั สนใจ รวบรวมได้ตรงตามความเป็ นจริ ง 3) การเลือกตัวอย่างแบบโควต้ า (Quota Sampling) การเลือกตัวอย่างแบบโควต้า เป็ นวิธีการเลือกตัวอย่าง โดยที่ผวู ้ ิจยั ได้กาหนดขนาดกลุ่ม ตัวอย่างที่สนใจศึกษาตามความต้องการของผูว้ ิจยั และไม่เป็ นไปตามสัดส่ วนตามขนาดของประชากร และเมื่อผูว้ จิ ยั กาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างไว้จานวนเท่าใดแล้ว ก็ทาการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจน ครบตามจานวนที่กาหนด โดยไม่ได้ใช้วธิ ี การสุ่ ม เช่น กรณี ศึกษาวิจยั เรื่ อง ความคิดเห็นเกี่ยวกับการออก นอกระบบของข้าราชการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผูว้ จิ ยั ได้กาหนดศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างจานวน 400 คน โดยกาหนดไว้วา่ จะศึกษาจากข้าราชการสาย ก 200 คน ข้าราชการสาย ข 120 คนและข้าราชการ สาย ค 80 คน ซึ่ งการกาหนดสัดส่ วนที่ศึกษานี้ ผูว้ จิ ยั ไม่ได้กาหนดขนาดตัวอย่างตามสัดส่ วนขนาดของ ประชากรของแต่ละกลุ่ม คือกลุ่มข้าราชการสาย ก กลุ่มข้าราชการสาย ข และกลุ่มข้าราชการสาย ค จากนั้น ก็ทาการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างข้าราชการสาย ก กลุ่มข้าราชการสาย ข และกลุ่ม ข้าราชการสาย ค ให้ครบตามจานวนที่กาหนดไว้ โดยไม่ได้ใช้วธิ ี การสุ่ ม การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง ผลการวิจยั ที่ได้มีขอ้ จากัดในการอ้างอิงไปยังประชากร โดยเฉพาะอย่างยิง่ หากคุณลักษณะของกลุ่มตัวอย่างภายในกลุ่มตัวอย่างของแต่ละกลุ่ม มีความแตกต่าง กันมากหรื อกลุ่มตัวอย่างเป็ นวิวธิ พันธ์ (Heterogeneous) ความคลาดเคลื่อนของผลการวิจยั จะเพิ่มขึ้น 5.9.6.3 การเลือกตัวอย่างโดยวิธีบอกต่ อ (Snowballing Sampling) การเลือกตัวอย่างโดยวิธีบอกต่อ เป็ นวิธีการที่เหมาะกับการนามาใชักบั ประชากรของ งานวิจยั ที่หายากหรื อพบได้นอ้ ยมาก รวมทั้งผูว้ จิ ยั ไม่อาจทราบจานวนที่แน่นอนได้ อาจเนื่ องมาจาก ประชากรทาการปกปิ ดหรื อไม่ตอ้ งการเปิ ดเผยให้สังคมทราบ เช่น งานวิจยั เรื่ องการศึกษาพฤติกรรมของ หญิงรักร่ วมเพศ ในกรณี น้ ี จะเห็นว่าโดยทัว่ ไปแล้วหญิงที่มีพฤติกรรมรักร่ วมเพศจะไม่ตอ้ งการเปิ ดเผย ให้สังคมทราบ ผูว้ จิ ยั จึงไม่อาจทราบจานวนประชากรที่แน่นอนได้รวมทั้งไม่ทราบแหล่งสาหรับ รวบรวมข้อมูล ดังนั้น การได้มาซึ่ งกลุ่มตัวอย่างและแหล่งที่ติดต่อหรื อแหล่งที่อยูข่ องกลุ่มตัวอย่างเพื่อ ติดต่อขอความร่ วมมือและขอความยินยอมในการให้ขอ้ มูลจากกลุ่มตัวอย่างจนครบตามขนาดตัวอย่าง ตามจานวนที่ตอ้ งการนั้น จะเริ่ มจากการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างเพียง 2-3 คน ที่ผวู ้ จิ ยั ได้ขอ้ มูลว่าเป็ นหญิง รักร่ วมเพศ จากนั้น ผูว้ จิ ยั ก็จะขยายจานวนหญิงรักร่ วมเพศ โดยการซักถามจากกลุ่มตัวอย่าง 2-3 คนเดิมนี้ เพื่อขอให้แนะนาหญิงรักร่ วมเพศคนอื่นๆ พร้อมสถานที่ติดต่อซึ่ งกลุ่มตัวอย่าง 2-3 คนรู้จกั ซึ่งภายหลัง 126


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

จากการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างกลุ่มใหม่น้ ีแล้ว ผูว้ จิ ยั ก็จะขยายจานวนหญิงรักร่ วมเพศกลุ่มใหม่ อีก โดยใช้วธิ ี บอกต่อเช่นนี้เรื่ อยๆไป จนได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างที่เพียงพอหรื อได้ขอ้ มูลครบถ้วนตาม ต้องการ การรวบรวมข้อมูลในลักษณะเช่นนี้อาจเรี ยกอีกชื่อหนึ่งว่า การเลือกตัวอย่างแบบเครื อข่าย (Network Sampling) ตัวอย่างของการเลือกตัวอย่างโดยวิธีบอกต่อหรื อการเลือกตัวอย่างแบบเครื อข่ายอีก ตัวอย่างหนึ่งคือ การเลือกผูเ้ ชี่ยวชาญของงานวิจยั เชิงอนาคตโดยใช้เทคนิคเดลฟาย (Delphi Technique) การรวบรวมความคิดเห็นจากผูเ้ ชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ความคิดเห็นที่สอดคล้องจากผูเ้ ชี่ยวชาญและนามา สรุ ปเป็ นผลการวิจยั ในประเด็นที่ ศึกษานั้น ซึ่ งอาจเริ่ มจากการรวบรวมความคิดเห็นจากผูเ้ ชี่ยวชาญ เพียงจานวนหนึ่ งที่ผวู้ ิจยั ทราบเท่านั้น จากนั้น จึงขยายจานวนผูเ้ ชี่ยวชาญ โดยใช้วิธีซัก ถามจาก ผูเ้ ชี่ยวชาญกลุ่มนี้ เพื่อขอให้ช่วยแนะนาผูเ้ ชี่ยวชาญอื่นๆที่รู้จกั และทาการขยายจานวนผูเ้ ชี่ ย วชาญโดย วิธีการนี้ จากผูเ้ ชี่ ย วชาญกลุ่มใหม่ ทาเช่ นนี้ เรื่ อยๆไป จนกระทัง่ ได้จานวนผูเ้ ชี่ยวชาญครบตามจานวนที่ ต้องการ 5.9.7 การคานวณขนาดกลุ่มตัวอย่ าง 5.9.7.1 การคานวณจากสู ตรยามาเน (Yamane, 1973) n 

เมื่อ

N

e

n

N 1  Ne 2

คือ ขนาดของประชากร คือ ความคลาดเคลื่อนของการสุ่ มกลุ่มตัวอย่าง คือ ขนาดกลุ่มตัวอย่าง

5.9.7.2 การกาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่ างจากตารางสาเร็จรู ป ตารางสาเร็ จรู ปที่ นิยมใช้กนั แพร่ หลายสาหรั บการกาหนดขนาดกลุ่ ม ตัว อย่าง ได้แก่ ตารางขนาดกลุ่มตัวอย่างของ Krejcie and Morgan (1970)

5.10 คุณภาพเครื่องมือและการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ คุณภาพของเครื่ องมือ พิจารณาได้จากคุณลักษณะดังนี้ 1. ความตรง (Validity) 2. ความเที่ยง (Reliability) 127


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

3. ความยากง่ายและอานาจจาแนก (Difficulty and Discrimination) 4. ความเป็ นปรนัย (Objectivity) 5. ความมีประสิ ทธิภาพ (Efficiency) 6. ความไว (Sensitivity) 7. ความเป็ นมิติเดียว (Unidimensionality) 8. ความง่ายในการใช้ (Simplicity) คุ ณ ลัก ษณะของเครื่ อ งมื อที่ ดี ท้ งั 8 ประการ ดัง กล่ า วข้า งต้น นั้น คุ ณ ลัก ษณะด้า น ความเที่ยง (Reliability) และคุณลักษณะด้านความตรง (Validity) เป็ นคุณลักษณะที่มีความสาคัญและ จาเป็ นยิง่ ของเครื่ องมือวิจยั ส่ วนคุณลักษณะอื่น ๆ ที่เหลือ 6 คุณลักษณะนั้น เป็ นคุณลักษณะที่สาคัญรอง ลงไปจากคุณลักษณะในด้านความเที่ยงและด้านความตรง เครื่ องมือใดมีคุณสมบัติครบทุกประการหรื อ เกื อ บทุ ก ประการ ก็ จ ะท าให้ คุ ณ ภาพของเครื่ อ งมื อ เพิ่ ม สู ง มากยิ่ ง ขึ้ น ดัง นั้น โดยทั่ว ไปแล้ว ในการ ตรวจสอบคุ ณ ภาพเครื่ อ งมื อ วิ จ ัย ทุ ก สาขาวิ ช าการและวิ ช าชี พ จึ ง เน้ น หรื อ ให้ ค วามส าคัญ กับ การ ตรวจสอบความเที่ยงและความตรง จุดมุ่งหมายที่เน้นหรื อให้ความสาคัญกับการตรวจสอบความเที่ยงและความตรงของ เครื่ องมือ เพื่อลดค่าความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการวัด (Error of Measurement) เพราะหากค่าความ คลาดเคลื่อนจากการวัดลดลงมากเท่าไร ค่าที่ได้จากการวัด (Observed Score) จะมีค่าใกล้เคียงกับค่า คะแนนจริ งหรื อค่าที่เป็ นจริ ง (True Score) มากขึ้นเท่านั้น โดยเป็ นไปตามสมการ O = T + E หรื อกล่าว อีกแง่มุมหนึ่งคือ หากค่าความคลาดเคลื่อนมากขึ้นเท่าใด ก็จะทาให้ค่าความเที่ยงของเครื่ องมือลดลง เท่านั้น และค่าความเที่ยงที่ลดลง มีผลทาให้ความน่าเชื่ อถือของข้อมูลที่รวบรวมได้ลดลงด้วย (Jacobson, 1988: 5) ดังนั้น คุณภาพเครื่ องมือที่นาเสนอในที่น้ ี จึงขอนาเสนอเฉพาะคุณภาพด้านความตรง ความเที่ยง ความยากง่ายและความมีอานาจจาแนก 5.10.1 ความตรง (Validity) ความตรงของเครื่ องมือวิจยั หมายถึง เครื่ องมือที่นามาใช้วดั ตัวแปรที่ศึกษา วัดได้ตรง กับประเด็นหรื อมิติที่ตอ้ งการวัดหรื อกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากเครื่ องมือใดที่สามารถวัดตัวแปรที่ศึกษา ได้ตรงกับประเด็นหรื อมิติที่ตอ้ งการวัด เครื่ องมือนั้นย่อมมีความตรง 5.10.1.1 ประเภทความตรง (Types of Validity) ความตรงของเครื่ องมือ จาแนกเป็ น 4 ประเภท คือ 1. ความตรงตามเนื้อหา (Content Validity) 2. ความตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity) 128


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

3. ความตรงตามสภาพปัจจุบนั (Concurrent Validity) 4. ความตรงตามทานาย (Predictive Validity) 5.10.1.2 ความตรงตามเนือ้ หา (Content Validity) ความตรงตามเนื้อหา หมายถึง สาระของคาถามแต่ละข้อมีความสอดคล้องและ ครอบคลุมสาระของตัวแปรที่ตอ้ งการวัดในทุกมิติ ขั้นตอนสาคัญที่มีอิทธิ พลต่อความตรงตามเนื้อหามี 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนการพัฒนา เครื่ องมือ และขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพเครื่ องมือ 1) ขั้นตอนการพัฒนาเครื่องมือ มีดงั นี้ (1) กาหนดมิติหรื อประเด็นที่ตอ้ งการศึกษาและรวบรวมข้อมูล (2) กาหนดกรอบมโนทัศน์ (Define the Conceptual Framework) กรอบมโนทัศน์ที่ นามาใช้ศึกษาจะต้องสอดคล้องและเหมาะสมกับตัวแปรที่ตอ้ งการวัด ซึ่งผูว้ จิ ยั ควรต้องทาการทบทวน วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรที่ตอ้ งการวัดและพิจารณาคัดเลือกกรอบทฤษฎีที่เหมาะสม (3) กาหนดคานิยามเชิงปฏิบตั ิการ (Define the Operational Definition) ในการ กาหนดคานิยามของตัวแปรที่ตอ้ งการวัดจะต้องเป็ นคานิ ยามที่สอดคล้องกับกรอบทฤษฎีที่ผวู ้ จิ ยั นามาใช้ ศึกษา รวมทั้งเป็ นคานิยามในลักษณะที่สามารถวัดได้ (4) ออกแบบมาตรวัด (Design the scale) เป็ นขั้นการกาหนดหรื อออกแบบเครื่ องมือ ให้เหมาะสมกับสิ่ งที่จะวัดและกลุ่มตัวอย่าง ซึ่ งอาจจะเป็ นแบบสารวจรายการ (Checklist) แบบจัดอันดับ (Rank Order) แบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale) แบบลิเคิร์ท (Likert Scale) หรื อแบบมาตรจาแนก ความหมาย (Semantic Differential Scale) เป็ นต้น (5) ร่ างคาถาม (Drafting the Item Contents) ในการร่ างหรื อสร้างคาถาม จาเป็ นต้อง คานึงถึงความสอดล้องระหว่างคาถามกับสาระของมิติหลัก (Domain Content) รวมทั้งสอดคล้องกับคา นิยามเชิงปฏิบตั ิการและกรอบทฤษฎี ปั ญหาความตรงของเครื่ องมือที่พบได้บ่อยมากคือ คาถามในแบบสอบถาม ไม่ สอดคล้องกับกรอบทฤษฎีในขั้นตอนนี้ควรได้เขียนคาชี้แจงรวมทั้งการจัดวางรู ปแบบของแบบสอบถาม ให้มีความสวยงาม ชวนอ่าน และขนาดตัวอักษรมีความเหมะสม อ่านแล้วสบายตา (6) เรี ยงอันดับคาถาม (Sequence the Questions) ในการเรี ยงลาดับคาถาม ให้ยดึ หลักการดังนี้ 129


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

(6.1) เรี ยงจากคาถามที่ถามในเรื่ องง่ายไปยังคาถามที่ถามในเรื่ องยาก หรื อเรี ยงจาก คาถามที่ถามในเรื่ องที่ตอ้ งใช้ความคิดในการตอบน้อย ไปยังคาถามที่ตอ้ งใช้ความคิดในการตอบเพิ่ม มากขึ้นเรื่ อย ๆ (6.2) เรี ยงคาถามให้เป็ นหมวดหมู่หรื อมิติ (7) นาเครื่ องมือไปตรวจสอบความตรง ในกรณี ที่เป็ นการตรวจสอบความตรงตาม เนื้อหา โดยทัว่ ไปแล้วจะเป็ นการตรวจสอบโดยกลุ่มผูเ้ ชี่ยวชาญหรื อผูท้ รงคุณวุฒิที่มีความรู ้และความ เชี่ยวชาญตรงกับประเด็นหรื อเนื้ อหานั้น ๆ เกณฑ์การคัดเลือกผูท้ รงคุณวุฒิอาจพิจารณาจากเกณฑ์ความ เชี่ยวชาญที่ตรงหรื อสอดคล้องกับขอบข่ายของเนื้อหาที่ตรวจสอบ (8) ทาการปรับปรุ งเครื่ องมือตามข้อเสนอของกลุ่มผูเ้ ชี่ยวชาญ เมื่อผูว้ จิ ยั ได้รับแบบ สอบถามคืนจากผูท้ รงคุณวุฒิแล้ว ให้นาแบบสอบถามที่ได้กลับคืนมาพิจารณาปรับปรุ งตามข้อเสนอแนะ และนาระดับความคิดเห็นของผูท้ รงคุณวุฒิมาคานวณหาค่าดัชนีความตรงตามเนื้ อหา (Content Validity Index – CVI หรื อ ดัชนีความสอดคล้อง Index of Congruence-IOC) ซึ่ งค่าดัชนีความตรงตามเนื้ อหาที่ ยอมรับได้คือ 0.80 ขึ้นไป หรื อหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Congruence-IOC) ซึ่ งค่าดัชนีความ สอดคล้องที่ยอมรับคือ 0.50 ขึ้นไป (9) นาเครื่ องมือไปทดลอง (Tryout the Instrument) เป็ นขั้นการนาเครื่ องมือที่ผา่ นการ ตรวจสอบความเชิงตามเนื้อหาจากกลุ่ม ผูเ้ ชี่ ยวชาญไปทดลองใช้กบั กลุ่มตัวอย่างที่มีคุณลักษณะตรงตาม คุณลักษณะของประชากรในงานวิจยั แต่ไม่ใช่เป็ นกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวกับกลุ่มตัวอย่างที่ผวู ้ ิจยั ได้สุ่ม หรื อคัดเลือกเป็ นกลุ่มตัวอย่างของงานวิจยั ขนาดกลุ่มตัวอย่างสาหรับนาเครื่ องมือไปทดลองใช้เบื้องต้น ควรประมาณ 30 คน หรื อมากกว่านั้น เพื่อให้ได้ตวั อย่างที่มีการกระจายเทียบเคียงกับการกระจายแบบ ปกติ(Normal Distribution)โดยประมาณ จุดประสงค์หลักของการนาเครื่ องมือไปทดลองใช้ ได้แก่ (9.1) เพื่อตรวจสอบความเที่ยงและความตรงของเครื่ องมือ (Reliability and Validity) (9.2) เพื่อศึกษาเวลาที่ใช้ในการตอบแบบสอบถามของกลุ่มตัวอย่าง (9.3) เพื่อพิจารณาคาถามที่ขาดความชัดเจน อ่านเข้าใจยากมาทาการปรับปรุ งหรื อคัด คาถามที่ไม่เหมาะสมออก (10) วิเคราะห์รายข้อ (Item Analysis) จุดประสงค์ของการวิเคราะห์รายข้อ คือ การ วิเคราะห์ค่าความความยากและอานาจจาแนก รวมทั้งการหาค่าความสอดคล้องภายใน (Internal Consistency)ซึ่ งเป็ นค่าที่บ่งบอกให้ทราบว่าคาถามทั้งหมดในแบบสอบถามวัดแนวคิดเดียวกันและทา

130


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

การคัดคาถามที่ไม่ตรงตามเกณฑ์ออก ได้แก่ คาถามที่ได้ค่าสหสัมพันธ์รายข้อกับคะแนนรวมทั้งฉบับ (Corrected Item Total Correlation) ระดับต่าคือต่ากว่า .30 (11) ประเมินค่าความเที่ยง (Evaluate the Reliability of the Scale) ภายหลังจากการ คัดเลือกคาถามที่ควรคงไว้ และคัดคาถามที่ไม่ตรงตามเกณฑ์ออก ให้วิเคราะห์หาค่าสัมประสิ ทธิ์ แอลฟา ซึ่ งมีค่าระหว่าง 0 ถึง 1 สาหรับค่าต่าสุ ดที่ยอมรับได้คือ .70 (Nunnally, 1978) 2) ขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ วิธีหาค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา (Content Validity Index - CVI) ดัชนีความตรงตามเนื้ อหา (CVI) เป็ นวิธีการที่ใช้หาค่าความสอดคล้องของความ คิดเห็นของกลุ่มผูเ้ ชี่ยวชาญ วิธีการหาค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาโดยสรุ ปคือ จะให้ผเู ้ ชี่ยวชาญพิจารณา ความสอดคล้องระหว่างคาถามกับคานิยามหรื อกรอบทฤษฎี โดยกาหนดระดับการแสดงความคิดเห็น เป็ น 4 ระดับ คือ 1, 2, 3, 4 โดยแต่ละระดับมีความหมายดังนี้ 1 2 3 4

หมายถึง คาถามไม่สอดคล้องกับคานิยามเลย หมายถึง คาถามจาเป็ นต้องได้รับการพิจารณาทบทวนและปรับปรุ ง อย่างมาก จึงจะมีความสอดคล้องกับคานิยาม หมายถึง คาถามจาเป็ นต้องได้รับการพิจารณาทบทวนและปรับปรุ ง เล็กน้อย จึงจะมีความสอดคล้องกับคานิยาม หมายถึง คาถามมีความสอดคล้องกับคานิยาม

สาหรับเกณฑ์ที่ใช้ตดั สิ นคุณภาพเครื่ องมือคือใช้เกณฑ์ CVI = .80 ขึ้นไป (Davis, 1992) โดยคานวณจากสู ตร CVI =

จานวนคาถามที่ผเู้ ชี่ยวชาญทุกคนให้ความคิดเห็นในระดับ 3 และ 4 จานวนคาถามทั้งหมด

ตัวอย่างการคานวณหาค่ า CVI แบบสอบถามความพึงพอใจในงาน ประกอบด้วยคาถามจานวน 15 ข้อ เมื่อนาไปให้ ผูเ้ ชี่ยวชาญ 5 ท่าน พิจารณาความตรงตามเนื้ อหา ผูเ้ ชี่ยวชาญได้ให้ความคิดเห็นดังนี้

131


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 6 ตารางแสดงระดับความคิดเห็นของผู้เชี่ ยวชาญจากแบบสอบถามความพึงพอใจในงาน คาถาม ข้ อที่

ระดับความคิดเห็นของผู้เชี่ ยวชาญ คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 คนที่ 4 คนที่ 5 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 

1

2

6

7

8

10

11

15

 

 

 

14

 

 

12

 

 

9

13

 

 

 

 

 

4

3

5

 

 

132


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เมื่อวิเคราะห์ความคิดเห็นของผูเ้ ชี่ยวชาญทั้ง 5 ท่าน พบว่า จานวนคาถามที่ ผูเ้ ชี่ยวชาญทุกคนให้ความเห็นในระดับ 3 และ 4 มีจานวนรวมทั้งสิ้ น 12 ข้อ ได้แก่ ข้อ 1, 2, 4, 6, 7, 9, 10, 11, 12, 13, 14 และ 15 CVI

= 12 . 15 = .8

หรื อ ร้อยละ 80

5.10.1.3 ความตรงตามโครงสร้ าง (Construct Validity) ความตรงตามโครงสร้างนับว่ามีความสาคัญต่อคุณภาพเครื่ องมือและมีความยุง่ ยาก ที่สุดในการสร้างหรื อพัฒนาให้เครื่ องมือมีความตรงตามโครงสร้าง การตรวจสอบความตรงตามโครงสร้างของเครื่ องมือมีวธิ ี การหลายวิธี วิธีที่ใช้กนั มาก คือ การวิเคราะห์ ปัจจัย (Factor Analysis) การวิเคราะห์ปัจจัยหรื อการวิเคราะห์องค์ประกอบเป็ นวิธีการ ทางสถิติที่นามาใช้วเิ คราะห์ขอ้ มูลเชิงปริ มาณ เพื่อลดจานวนตัวแปรที่มีหลายๆตัวแปรให้เหลือตัวแปร จานวนน้อยตัว โดยการรวมตัวแปรที่มีความร่ วมกันสู งเข้าในกลุ่มเดียวกัน ทาให้ตวั แปรในแต่ละกลุ่มไม่ เหลื่อมล้ ากันหรื อแยกจากกันชัดเจน จากหลักการของเทคนิคการวิเคราะห์ปัจจัย โครงสร้างของเครื่ องมือ

จึงสามารถนามาใช้หาความตรงตาม

5.10.1.4 ความตรงเชิ งสภาพปัจจุบัน (Concurrent Validity) ความตรงเชิงสภาพปัจจุบนั เป็ นคุณสมบัติของเครื่ องมือที่สามารถวัดคุณลักษณะที่ ศึกษาได้สอดคล้องกับเกณฑ์ที่กาหนดในปั จจุบนั การตรวจสอบความตรงเชิงสภาพปัจจุบนั ทาได้โดยการนาแบบวัด 2 ฉบับ ที่วดั ใน คุณลักษณะเดียวกันหรื อวัดตัวแปรเดียวกัน โดยแบบวัดฉบับหนึ่งเป็ นฉบับที่ผวู ้ จิ ยั พัฒนาขึ้นและแบบวัด อีกฉบับหนึ่งเป็ นแบบวัดมาตรฐาน ไปให้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวกันตอบและนาคะแนนทั้ง 2 ชุด ที่ได้จาก กลุ่มตัวอย่างมาวิเคราะห์หาค่าสหสัมพันธ์ หากค่าสหสัมพันธ์ที่ได้สูง กล่าวได้วา่ แบบวัดที่พฒั นาขึ้นมี ความตรงเชิงสภาพปัจจุบนั 5.10.1.5 ความตรงตามทานาย (Predictive Validity) ความตรงตามทานาย เป็ นคุณลักษณะของเครื่ องมือที่สามารถวัดคุณลักษณะที่ศึกษาได้ ตรงตามเกณฑ์พยากรณ์ของคุณลักษณะนั้น ๆ ในอนาคต

133


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

หากแบบทดสอบที่นามาใช้สอบคัดเลือกผูเ้ ข้าศึกษามีความตรงตามแล้ว สอบคัดเลือกย่อมสามารถทานายผลสัมฤทธิ์ การเรี ยนของผูเ้ รี ยนได้

คะแนนการ

แบบทดสอบความสามารถด้านภาษา (Test of English Foreign Language หรื อ TOEFL) จัดเป็ นแบบทดสอบที่มีความตรงตามทานาย เนื่องจากเป็ นแบบทดสอบมาตรฐานที่สามารถ ทานายความสามารถในการศึกษาหลักสู ตรนานาชาติหรื อหลักสู ตรที่ตอ้ งอาศัยทักษะภาษาอังกฤษในการ เรี ยนและการศึกษาค้นคว้า 5.10.2 ความเทีย่ ง (Reliability) ความเที่ยงเป็ นคุณสมบัติที่สาคัญยิง่ ของเครื่ องมือ หากเครื่ องมือใดก็ตามขาดซึ่ ง ความเที่ยงแล้ว ย่อมเป็ นไปไม่ได้ที่เครื่ องมือจะมีความตรง (Polit and Hungler, 1987; Burns and Grove, 1997) ความเที่ยง หมายถึง ความสม่าเสมอหรื อความคงที่ของค่าที่ได้จากการวัด ค่าความเที่ยงที่คานวณได้ คือ ค่าสัมประสิ ทธิ์ สหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient) ซึ่ง ตามหลักทฤษฎีแล้ว ค่าสัมประสิ ทธิ์ สหสัมพันธ์จะมีค่าระหว่าง –1.00 ถึง +1.00 แต่การประเมินค่าความ เที่ยงของเครื่ องมือวิจยั จะประเมินจากค่า 0 ถึง +1 ค่าความเที่ยงของเครื่ องมือที่ใกล้ 0 แสดงว่าเครื่ องมือมี ความเที่ยงต่า ค่าความเที่ยงของเครื่ องมือที่เข้าใกล้ 1 แสดงว่าเครื่ องมือมีความเที่ยงสู ง ค่าความเที่ยงของเครื่ องมือที่อยูใ่ นระดับที่ยอมรับได้ ขึ้นอยูก่ บั ชนิดหรื อประเภท เครื่ องมือและวิธีการหาค่าความเที่ยงของเครื่ องมือ ดังนี้ (Jacobson, 1988: 6; Burns and Grove, 1997: 327; Selby-Harrington et al, 1994) 1) เครื่ องมือวัดทางสรี รวิทยา ควรมีค่าความเที่ยง .95 หรื อ ร้อยละ 95 ขึ้นไป 2) เครื่ องมือทัว่ ๆ ไป ควรมีค่าความเที่ยง .80 หรื อ ร้อยละ 80 ขึ้นไป แต่หากเป็ น เครื่ องมือใหม่ที่เพิ่งพัฒนาขึ้น ควรมีค่าความเที่ยง .70 หรื อ ร้อยละ 70 ขึ้นไป 3) เครื่ องมือวัดเจตคติควรมีค่าความเที่ยง .70 หรื อ ร้อยละ 70 ขึ้นไป 4) เครื่ องมือที่เป็ นแบบสังเกต ควรมีค่าความเที่ยง .80 หรื อ ร้อยละ 80 ขึ้นไป อย่างไรก็ตาม ค่าวามเที่ยงของเครื่ องมือชุดหนึ่งๆ เป็ นค่าความเที่ยงของเครื่ องมือซึ่ งวัด จากกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดิมและวัดภายใต้บริ บทเดิมเท่านั้น ค่าความเที่ยงของเครื่ องมือที่มีค่าสู งมิได้ หมายความว่า หากนาเครื่ องมือชุดเดียวกันนี้ไปใช้วดั กับกลุ่มตัวอย่างกลุ่มอื่นที่มีคุณลักษณะแตกต่างจาก คุณลักษณะประชากรของกลุ่มตัวอย่างเดิม หรื อแม้วา่ จะนาไปใช้วดั กับกลุ่มตัวอย่างกลุ่มอื่นที่มี คุณลักษณะเหมือนกับคุณลักษณะประชากรของกลุ่มตัวอย่างเดิม แต่เป็ นการวัดภายใต้บริ บทที่แตกต่าง จากบริ บทของกลุ่มตัวอย่างเดิม ค่าความเที่ยงของเครื่ องมือย่อมเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นก่อนที่จะนา 134


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เครื่ องมือวิจยั ไปใช้รวบรวมข้อมูล จาเป็ นต้องนาเครื่ องมือไปหาความเที่ยงโดยการนาไปทดลองใช้ กับ กลุ่มตัวอย่างที่มีคุณลักษณะตรงกับคุณลักษณะประชากรของงานวิจยั ที่ศึกษา รวมทั้งภายใต้บริ บทที่มี คุณลักษณะเดียวกับบริ บทของงานวิจยั ที่ศึกษาด้วย แม้วา่ เครื่ องมือวัยนั้นเป็ นเครื่ องมือที่มีผอู ้ ื่นได้ พัฒนาขึ้นและมีค่าความเที่ยงสู งก็ตาม วิธีการหาค่าความเที่ยงของเครื่ องมือ สามารถหาค่าความเที่ยงใน 3 ลักษณะคือ 5.10.2.1. การหาความสอดคล้องภายใน (Internal Consistency) 5.10.2.2. การหาความคงที่ (Stability) 5.10.2.3. การหาความเท่าเทียมกัน (Equivalence) 5.10.2.1 การหาความสอดคล้องภายใน (Internal Consistency) การหาค่าความสอดคล้องภายใน เป็ นการหาความสอดคล้องของคาถามในแบบวัดหรื อ แบบทดสอบ หากคาถามแต่ละข้อในแบบวัดเป็ นคาถามที่วดั คุณลักษณะหรื อมิติ (Domain) เดียวกัน กล่าวได้วา่ คาถามที่ใช้วดั มีความเป็ นเอกพันธ์ (Homogeneity) การหาความเที่ยงโดยการหาความสอดคล้องภายใน เป็ นวิธีที่นิยมกันมากที่สุดในการ นามาใช้หาค่าความเที่ยงของเครื่ องมือวิจยั แนวคิดพื้นฐานของความสอดคล้องภายในอยูบ่ นหลักการ พื้นฐานที่วา่ หากคาถามแต่ละข้อในแบบสอบถามเป็ นคาถามที่วดั คุณลักษณะหรื อมิติเดียวกัน คะแนนที่ ได้จากการวัดจะมีค่าใกล้เคียงกับค่าคะแนนจริ ง (True Score) วิธีการหาค่าความสอดคล้องภายใน ทาได้ดงั นี้ 1) การแบ่งครึ่ ง (Split-half) เป็ นวิธีการหาค่าความสอดคล้องภายในที่เก่าแก่ที่สุด โดย การหาความเป็ นเอกพันธ์ของคาถามในแบบสอบถามหรื อแบบวัด วิธีการแบ่งครึ่ งทาได้โดยการนาแบบวัดไปให้กลุ่มตัวอย่างตอบ นาแบบวัดมาจาแนก เป็ น 2 ชุด ซึ่ งอาจจาแนกตามข้อคาถามเลขคี่และข้อคาถามเลขคู่ หรื ออาจจาแนกตามข้อคาถามครึ่ งแรก และข้อคาถามครึ่ งหลัง เป็ นต้น ซึ่ งขึ้นอยูก่ บั การเรี ยงคาถาม หากคาถามในแบบวัดจัดเรี ยงตามหมวดหมู่ เนื้อหาและเรี ยงจากง่ายไปยาก การแบ่งครึ่ งทาได้โดยการนาแบบวัดไปให้กลุ่มตัวอย่างตอบ นาแบบวัด มาจาแนกเป็ น 2 ชุด ซึ่งอาจจาแนกตามข้อคาถามเลขคี่และข้อคาถามเลขคู่ แทนการจาแนกตามข้อคาถาม ครึ่ งแรกและข้อคาถามครึ่ งหลัง แต่หากคาถามในแบบวัด ไม่ได้จดั เรี ยงตามหมวดหมู่เนื้อหาและไม่ได้ เรี ยงจากง่ายไปยาก การแบ่งครึ่ งอาจใช้การจาแนกตามข้อคาถามเลขคี่และข้อคาถามเลขคู่ หรื ออาจใช้การ จาแนกตามข้อคาถามครึ่ งแรกและข้อคาถามครึ่ งหลัง จากนั้น นาคะแนนที่ได้จากชุดที่ 1 และชุดที่ 2 มา คานวณหาค่าความสอดคล้องภายใน

135


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

2) การใช้สูตรสัมประสิ ทธิ์ แอลฟาครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) การหา ค่าความสอดคล้องภายใน โดยใช้สูตรสัมประสิ ทธิ แอลฟาของครอนบาค สามารถนามาใช้กบั แบบสอบถามที่มีลกั ษณะเป็ นแบบลิเคริ์ ท(Likert Scale) หรื อแบบสอบที่ไม่ใช่แบบที่ให้ค่าคะแนน 2 ค่า (Dichotomous) เช่น ตอบถูกให้ 1 ตอบผิดให้ 0 3) การใช้สูตรคูเดอร์วชิ าร์ดสัน 20 (Kuder-Richardson 20 หรื อ KR-20) การหาค่าความ สอดคล้องภายในโดยใช้สูตร KR-20 ใช้ได้เฉพาะกับแบบสอบถามที่เป็ นแบบให้ค่าคะแนน 2 ค่า (Dichotomons) เท่านั้น โดยคานวณได้จากสู ตร 4) การใช้สูตรคูเดอร์ริชาร์ดสัน 21 (Kuder Richardson 21 หรื อ KR-21) สู ตร KR-21 เป็ นสู ตรที่ดดั แปลงจากสู ตร KR-20 เพื่อให้ง่ายต่อการคิดคานวณ เพราะใช้ค่าเฉลี่ยแบบทดสอบทั้งฉบับ แทนค่า pq ของแต่ละข้อ โดยยึดหลักการว่าข้อสอบแต่ละข้อมีความยากง่ายเท่ากัน คือ กาหนดให้ค่า p คงที่ แต่ความเป็ นจริ งนั้นข้อสอบแต่ละข้อย่อมมีความยากง่ายไม่เท่ากัน ดังนั้นค่าความเที่ยงที่คานวณจาก สู ตร KR-21 มีความคลาดเคลื่อนมากกว่าค่าความเที่ยงที่คานวณจากสู ตร KR-20 โดยค่าความเที่ยงที่ คานวณจากสู ตร KR-21 จะต่ากว่าค่าความเที่ยงที่คานวณจากสู ตร KR-20 การหาค่าความคงที่ภายในโดยใช้สูตร KR-21 ใช้ได้เฉพาะกับแบบสอบถามที่เป็ นแบบ ให้ค่าคะแนน 2 ค่า (Dichotomous) เท่านั้น 5.10.2.2 การหาความคงที่ (Stability) ความคงที่ หมายถึง ความสม่าเสมอหรื อความคงที่ของค่าที่วดั ได้จากการวัดซ้ า (Repeated Measure) การหาค่าความคงที่ของการวัด ทาได้โดยการใช้วธิ ี การวัดซ้ า (Test-retest Method) ซึ่ งทาได้โดยนาแบบสอบถามชุดเดียวกันไปให้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวตอบแบบสอบถาม 2 ครั้ง ในช่วง ระยะเวลาที่ห่างกันอย่างเหมาะสม และนาคะแนนที่วดั ได้ในครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 มาคานวณหาค่า สัมประสิ ทธิ์ สหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient หรื อค่า r) ค่าสัมประสิ ทธิ์ สหสัมพันธ์หรื อค่า r มีค่าระหว่าง –1 ถึง + 1 โดยค่าแต่ละช่วง แปล ความหมายได้ดงั นี้ ค่า r มีค่าเท่ากับ + 1 แปลความหมายไว้วา่ คะแนนที่ได้จากการวัดครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 มีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างสมบูรณ์แบบ ค่า r มีค่าเท่ากับ – 1 แปลความหมายได้วา่ คะแนนที่ได้จากการวัดครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 มี ความสัมพันธ์ทางลบอย่างสมบูรณ์แบบ เนื่องจากคะแนนที่ได้จากการวัดครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 มีความผัน แปรอย่างสิ้ นเชิง 136


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ค่า r มีค่าเท่ากับ 0 แปลความหมายได้วา่ คะแนนที่ได้จากการวัดครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ไม่มี ความสัมพันธ์กนั เลย ข้อจากัดของการหาความเที่ยงโดยวิธีวดั ซ้ าคือ การให้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดิมตอบ แบบสอบถาม 2 ครั้ง ในระยะเวลาที่ห่างกันไม่มากนัก จะทาให้กลุ่มตัวอย่างสามารถจาคาถามใน แบบสอบถามได้จากการทาแบบสอบถามในครั้งแรก และอาจมีผลต่อการตอบแบบสอบถามในครั้งที่ 2 5.10.2.3 การหาความเท่าเทียมกัน (Equivalence) การหาความเท่าเทียมกันของเครื่ องมือ เป็ นการหาความเที่ยงโดยให้บุคคล 2 คนทาการ สังเกตสิ่ งเดียวกันหรื อสังเกตเหตุการณ์ดียวกันและใช้แบบสังเกตเดียวกัน นาค่าที่ได้จากการสังเกตของ บุคคลทั้ง 2 คน มาคานวณหาค่าความเที่ยง (Interrater Reliability) จากสู ตร P 

เมื่อ

P Pn

PE

Pn Pn  PE

คือ ค่าความเท่าเทียมกันของการสังเกต คือ คานวณการประเมินที่สอดคล้อง คือ จานวนการประเมินที่ไม่สอดคล้อง

ตัวอย่างการหาค่าความเที่ยงของการสังเกต จากการทาแบบสังเกตพฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็กไปให้ผชู ้ ่วยวิจยั 2 คน ทาการสังเกต พฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็กของกลุ่มตัวอย่างคนเดียวกัน เมื่อนาข้อมูลที่ได้จากการสังเกตมา วิเคราะห์ พบว่า จานวนการสังเกตที่สอดคล้องกันมีจานวน 15 ครั้ง และจานวนการสังเกตที่ ไม่สอดคล้องกันมี จานวน 3 ครั้ง จงคานวณหาค่าเที่ยงของการสังเกต คานวณหาค่าความเที่ยงของการสังเกตจากสู ตร P 

P

Pn Pn  PE

= 15 15+3 = .83

ค่าความเที่ยงของการสังเกตของผูช้ ่วยวิจยั เท่ากับ .83 137


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ในการหาค่าความเที่ยงของการสังเกต กลุ่มตัวอย่างที่ถูกสังเกตจะต้องมีขนาดไม่นอ้ ย กว่า 10 คน (Washingson and Moss, 1988) 5.10.3 ความยากง่ ายและอานาจจาแนก (Difficulty and Discriminatory Power) ความยากง่าย (Difficulty) และอานาจจาแนก (Discriminatory Power) เป็ นคุณลักษณะ ที่สาคัญของแบบทดสอบ การหาคุณภาพเครื่ องมือที่เป็ นแบบทดสอบหรื อแบบวัดผลทางการศึกษา จึง มักนิยมหาค่าความยากง่ายและค่าอานาจจาแนก ค่าความยากง่ายของแบบทดสอบจะคานวณจากอัตราส่ วนระหว่างจานวนผูต้ อบถูกกับ จานวนคนทั้งในกลุ่มสู งและกลุ่มต่า โดยคานวณจากสู ตร P 

เมื่อ

P H

L N

คือ คือ คือ คือ

H L 2N

ความยากง่ายของข้อสอบ จานวนคนที่ตอบถูกในกลุ่มสู ง จานวนคนที่ตอบถูกในกลุ่มต่า จานวนคนทั้งหมดในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ค่าความยากง่ายหรื อค่า P จะมีค่าระหว่าง 0.00 ถึง 1.00 ซึ่ งค่า P แต่ละช่วง มี ความหมายดังนี้ ค่า P ที่มีค่าเข้าใกล้ 0.00 หมายความว่า ข้อสอบยาก ค่า P ที่มีค่าเข้าใกล้ 1.00 หมายความว่า ข้อสอบง่าย ค่า P ที่มี่ค่าระหว่าง .40-.60 หมายความว่า ข้อสอบมีความยาก-ง่าย ปานกลาง เป็ น ข้อสอบที่ดีมาก โดยปกติแล้วค่า P ที่ยอมรับได้ จะมีค่าระหว่าง .20 ถึง .80 ความมีอานาจจาแนก หมายถึง เครื่ องมือหรื อแบบทดสอบสามารถจาแนกความ แตกต่างของกลุ่มตัวอย่างได้ เช่น จาแนกผูเ้ รี ยนกลุ่มเก่งและผูเ้ รี ยนกลุ่มอ่อน หากแบบทดสอบมีอานาจ จาแนกสู งแล้ว ผูเ้ รี ยนกลุ่มเก่งจะทาข้อสอบข้อนั้น ๆ ได้ถูกต้องมากกว่าผูเ้ รี ยนกลุ่มอ่อน ค่าอานาจจาแนกของแบบทดสอบจะคานวณจากผลต่างระหว่างอัตราส่ วนของจานวน คนที่ตอบถูกในกลุ่มสู งกับอัตราส่ วนของจานวนที่ตอบถูกในกลุ่มต่า โดยคานวณจากสู ตร

138


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย” r 

เมื่อ

คือ คือ คือ คือ

r H

L N

H L N

อานาจจาแนกของข้อสอบ จานวนคนที่ตอบถูกในกลุ่มสู ง จานวนคนที่ตอบถูกในกลุ่มต่า จานวนคนทั้งหมดในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ค่าอานาจจาแนกหรื อค่า r จะมีค่าระหว่าง –1.00 ถึง +1.00 ซึ่ งค่า r แต่ละช่วงมี ความหมายดังนี้ ค่า r ที่เข้าใกล้ 0.00 หมายความว่า ข้อสอบมีอานาจจาแนกต่า ค่า r ที่เข้าใกล้ + 1.00 หมายความว่า ข้อสอบมีอานาจจาแนกสู ง เป็ นข้อสอบที่มี คุณภาพมาก ค่า r เท่ากับ .00 หมายความว่า ข้อสอบไม่มีอานาจจาแนก ค่า r ที่มีค่าติดลบ หมายความว่า ข้อสอบมีอานาจจาแนกกลับ โดยปกติแล้วค่า r ที่ยอมรับได้ จะมีค่า .20 ถึง 1.00 นอกจากนั้นอาจหาค่าอานาจจาแนก โดยใช้เทคนิค Known-groups technique 5.10.3.1 เทคนิค Known-groups technique การตรวจสอบความตรงตามโครงสร้างโดยวิธี Known-groups Technique เป็ นวิธีที่นิยมนามาใช้กนั แพร่ หลาย วิธีการของเทคนิคนี้คือ นาแบบสอบถามชุดเดียวกันไปให้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มตอบ กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มตัวอย่างซึ่ งมีคุณลักษณะตรงกับคุณลักษณะของตัวแปรที่นาเครื่ องมือมาวัด และกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มตัวอย่างที่มีคุณลักษณะตรงข้ามกับกลุ่มที่ 1 แต่ตอ้ งมีขนาดตัวอย่างเท่ากับกลุ่มที่ 1 และนาข้อมูลที่ รวบรวมได้ 2 ชุดมาวิเคราะห์หาค่าอานาจจาแนกรายข้อโดยใช้สถิติทดสอบที จากสู ตร

t t x

H

x

L

s 2H

s 2L

N

=

x s

คือ คือ คือ คือ คือ คือ

H 2

H

x s N

L 2

L

ค่าอานาจจาแนก ค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 1 ค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 2 ค่าความแปรปรวนของกลุ่มที่ 1 ค่าความแปรปรวนของกลุ่มที่ 2 ขนาดตัวอย่างในกลุ่มที่ 1 หรื อกลุ่มที่ 2 139


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ในกรณี ที่กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดมีขนาดไม่นอ้ ยกว่า 50 คน ค่า t ที่มากกว่า 1.75 ขึ้นไป หมายความว่าแบบวัดมีอานาจจาแนก 5.10.3.2 ขั้นตอนการหาค่ าความยากง่ ายและค่ าอานาจจาแนก โดยใช้ เทคนิคกลุ่มสู งกลุ่มต่า ขั้นที่ 1 นากระดาษคาตอบของนิสิตทุกคนมาเรี ยงลาดับจากคะแนนสู งสุ ดไปยังคะแนน ต่าสุ ด ขั้นที่ 2 จาแนกกระดาษคาตอบของนิสิตเป็ น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มคะแนนสู ง กลุ่มคะแนน ปานกลาง และกลุ่มคะแนนต่า และนาเฉพาะกระดาษคาตอบของนิสิตกลุ่มคะแนนสู ง และกลุ่มคะแนน ต่ามาคานวณค่าความยากง่ายและค่าอานาจจาแนก สาหรับจานวนนิสิตกลุ่มคะแนนสู งและกลุ่มคะแนนต่า จะใช้จานวนเท่าใดจึงจะ เหมาะสมนั้น ให้คานวณจากจานวนนิสิตที่เข้าสอบในรายวิชานั้น ๆ แต่โดยทัว่ ไปจานวนนิสิตกลุ่ม คะแนนสู งและกลุ่มคะแนนต่า ไม่ควรน้อยกว่าร้อยละ 25 ของจานวนนิสิตที่เข้าสอบ โดยจานวนนิสิต จะต้องเท่ากันทั้ง 2 กลุ่ม ขั้นที่ 3 นากระดาษคาตอบของนิสิตกลุ่มคะแนนสู งและกลุ่มคะแนนต่ามาลงรอยขีดเป็ น รายข้อลงในตาราง ตัวอย่างจากการนาแบบทดสอบความรู ้วธิ ี วทิ ยาการวิจยั ซึ่ งมีจานวนข้อคาถาม 20 ข้อ ไปทดสอบกับนิสิตที่ลงทะเบียนเรี ยนวิชาวิทยาการวิจยั ของสถานศึกษาแห่งหนึ่งจานวน 60 คน นิสิตที่ อยูใ่ นกลุ่มคะแนนสู งและกลุ่มคะแนนต่า ซึ่ งแต่ละกลุ่มมีจานวนร้อยละ 25 ของจานวนนิสิตที่เข้าสอบ ตอบข้อสอบในแต่ละข้อได้ถูกต้อง ดังแจกแจงในตารางที่ 7

140


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 7 ตารางแสดงการแจกแจงข้ อทีต่ อบได้ ถูกต้ องของนิสิตกลุ่มคะแนนสู ง ข้ อที่ คนที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 รวม

1

2

3

4

5

18

19

20

    

 

    

      

  

     

   

 

     

    11 8

     

11

      

     

  

 

 

8

7

  12

10

8

141


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 8 ตารางแสดงการแจกแจงข้ อทีต่ อบได้ ถูกต้ องของนิสิตกลุ่มคะแนนต่า ข้ อที่ คนที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 รวม

1

2

   

3

4

5

18

 

     

  

      

      7

 

     

19

20 

  

  

 

     11 11 7

  

4

9

5

6

ขั้นที่ 4 คานวณค่าความยากง่ายและค่าอานาจจาแนกจากสู ตร ดังนี้ P 

P1

H L 2N

= 11+7 2x15 = .6

r 

r1

H L N

= 11-7 15 = .27

ข้อสอบข้อ 1 ค่า P = .6, r = .27 เป็ นข้อสอบที่มีความยากง่ายปานกลาง และเป็ น ข้อสอบที่สามารถจาแนกคนเก่งและคนอ่อนได้ จัดเป็ นข้อสอบที่มีคุณภาพ 142


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

P2

= 8+7 2x15

r2 =

= .6

8-11 15

= -.27

ข้อสอบข้อ 2 ค่า P = .6, , r = -.2 เป็ นข้อสอบที่มีความยากง่ายปานกลาง แต่เป็ นข้อสอบ ที่มีอานาจจาแนกกลับคือนิสิตกลุ่มคะแนนต่าตอบถูกมากกว่านิสิตกลุ่มคะแนนสู ง จัดเป็ นข้อสอบที่ไม่มี คุณภาพ P3

= 11+11 2x15 = .73

r3

= 11-11 15 = 0

ข้อสอบข้อ 3 ค่า p = .73, r = 0 เป็ นข้อสอบที่ค่อนข้างยาก แต่ไม่มีอานาจจาแนกคือนิสิต กลุ่มคะแนนสู งและนิสิตกลุ่มคะแนนต่าตอบข้อสอบได้ถูกต้องในจานวนที่เท่ากัน จัดเป็ นข้อสอบที่ไม่มี คุณภาพ

143


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

144


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

บทที่ 6 วิธีวเิ คราะห์ และรายงานผลการวิเคราะห์ ข้อมูล 6.1 สถิติทใี่ ช้ ในการวิเคราะห์ ข้อมูล การวิเคราะห์ขอ้ มูลในการวิจยั มีสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์อยู่ 2 ประเภท คือสถิติ บรรยาย (Descriptive Statistics) และสถิติอา้ งอิง (Inferenctial Statistics) 6.1.1 สถิติบรรยาย (Descriptive Statistics) เป็ นการนาข้อมูลที่ได้จากการวิจยั มาเสนอในภาพรวมเป็ นค่าสถิติของกลุ่มตาม วัตถุประสงค์ของการวิจยั อาจนาเสนอในภาพรวมทุกกลุ่มหรื อจาแนกข้อมูลเป็ นกลุ่ม กรณี จาแนกเป็ น กลุ่มการจัดกลุ่มข้อมูลที่นาเสนอขึ้นอยูก่ บั วัตถุประสงค์ของการวิจยั เป็ นหลัก เช่น เมื่อศึกษาจาก ประชากรหรื อกลุ่มตัวอย่างในชุมชนเป้ าหมาย ถ้าต้องการนาเสนอแยกให้เห็นตามลักษณะของตัวอย่าง หรื อประชากรในชุมชนนั้น เช่น ในด้านอาชีพ เพศ หรื อรายได้ การวิเคราะห์ค่าสถิติจะแยกข้อมูลเป็ น กลุ่มตามลักษณะที่ตอ้ งการคือ จัดตามกลุ่มอาชีพ จัดตามกลุ่มเพศ หรื อตามกลุ่มรายได้ จะเห็นว่า ในกรณี ของการใช้กลุ่มตัวอย่าง การออกแบบวิเคราะห์ขอ้ มูลจึงเป็ นองค์ประกอบประการหนึ่ งในการออกแบบ การสุ่ มตัวอย่าง การสุ่ มตัวอย่างที่ไม่สอดคล้องกับการนาเสนอข้อมูลทาให้มีปัญหาในการวิเคราะห์ ข้อมูลในด้านความเที่ยงตรงของค่าสถิติ สถิติบรรยายที่ใช้กนั มากในการวิจยั อาจแบ่งได้เป็ น สถิติที่บรรยายลักษณะของกลุ่มใน รู ปของความถี่ ค่าสถิติที่แสดงถึ งภาพของแนวโน้มเข้าสู่ ส่วนกลางหรื อค่ากลาง เช่น ค่ามัชฌิมเลขคณิ ต หรื อที่เรี ยกกันทัว่ ๆไปว่า ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน และค่าฐานนิยม อีกประเภทคือสถิติที่แสดงถึงการกระจาย ของข้อมูลหรื อความแตกต่างของข้อมูลของกลุ่มต่าง ๆ ที่นามาวิเคราะห์วา่ มีความแตกต่างซึ่ งกันและกัน มากน้อ ยเพี ย งใด เช่ นถ้า เป็ นการวิจยั ที่ ศึ ก ษาความคิ ดเห็ น สถิ ติป ระเภทนี้ แสดงให้เ ห็ นว่า มี ค วาม แตกต่ า งหรื อสอดคล้องกันในด้า นความคิ ดเห็ นมากน้อยอย่างไร วิเคราะห์ ไ ด้ด้วยการวิเคราะห์ ก าร กระจาย เช่นพิสัย ส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และพิสัยระหว่าง ควอไทล์ เป็ นต้น สถิติบรรยายที่วเิ คราะห์จากข้อมูลที่ได้จากประชากรเรี ยกว่า ค่าพารามิเตอร์ (Parameter) ส่ วนสถิติที่วเิ คราะห์จากตัวอย่างเรี ยกว่า ค่าสถิติ (Statistics) 6.1.2 สถิติอ้างอิง เป็ นสถิติที่ใช้เมื่อมีการศึกษาวิจยั กลุ่มตัวอย่าง แล้วต้องการทดสอบสมมติฐานเพื่อ อ้างอิงผลที่พบจากตัวอย่างไปยังประชากร หรื ออีกนัยหนึ่ง ต้องการทดสอบว่า ค่าสถิติที่ได้จากตัวอย่าง 145


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

นั้นมีความแตกต่างจากค่าพารามิเตอร์ หรื อไม่ บางครั้งจึงเรี ยกสถิติประเภทนี้เป็ นสถิติทดสอบ สถิติ อ้างอิงจาแนกได้เป็ นสองประเภทคือ สถิติพาราเมตริ ก (Parametric Statistics) และสถิตินนั พาราเมตริ ก (Non-parametric Statistics) 6.1.2.1 สถิติพาราเมตริก สถิติพาราเมตริ ก เป็ นสถิติที่อาศัยรู ปแบบการกระจายของข้อมูล ตามทฤษฎีเป็ นค่า อ้างอิงในการเปรี ยบเทียบหรื อทดสอบ ดังนั้นจึงมีขอ้ ตกลงเบื้องต้นในการได้มาซึ่ งข้อมูลที่นามาวิเคราะห์ เป็ นค่าสถิติที่ตอ้ งการทดสอบ วิธีการสุ่ มตัวอย่างต้องอาศัยวิธีสุ่มแบบทราบค่าความน่าจะเป็ นในการที่ ประชากรแต่ละหน่วยจะได้รับการสุ่ มด้วย ซึ่ งทาให้ทราบการแจกแจงของตัวอย่างและค่าพารามิเตอร์ รวมทั้งค่าความคลาดเคลื่อนในการสุ่ ม ด้วยเหตุน้ ี จึงเป็ นค่าสถิติที่กล่าวได้วา่ สามารถหาค่าพารามิเตอร์ ได้ หรื ออีกนัยหนึ่ง ประชากรที่เป็ นกรอบการวิจยั ต้องเป็ นประชากรที่มีลกั ษณะที่ทราบจานวนที่แน่นอน (Finite Population) การใช้สถิติพาราเมตริ กมีขอ้ ตกลงในเรื่ องระดับของการวัดตัวแปรว่า ต้องวัดในระดับ อันตรภาคขึ้นไป เพื่อให้มีความเท่ากันของหน่วยการวัดแต่ละหน่วย ค่าสถิติที่นามาทดสอบคือค่าเฉลี่ย หรื อค่ามัชฌิมเลขคณิ ต 6.1.2.2 สถิตินันพาราเมตริก คานี้ใช้เป็ นครั้งแรกโดย Wolfowitz, 1942 การทดสอบด้วยสถิตินนั พาราเมตริ ก นามาใช้ทดสอบทางสถิติในกรณี ที่ขอ้ มูลไม่มีคุณสมบัติที่จะใช้สถิติพาราเมตริ กได้ หรื อผูว้ จิ ยั ไม่ทราบ ข้อมูลเกี่ยวกับการแจกแจงของตัวอย่างหรื อไม่ทราบค่าพารามิเตอร์ ของตัวแปรในประชากรของกลุ่มที่ นามาศึกษา การทดสอบด้วยสถิตินนั พาราเมตริ กไม่ได้ทาเพื่อการประมาณค่าพารามิเตอร์ หรื อทดสอบ ค่าพารามิเตอร์ แต่ใช้เพื่อการทดสอบความแตกต่างของข้อมูล บางครั้งเรี ยกว่าเป็ นการทดสอบไร้รูปแบบ การกระจาย หรื อการทดสอบไร้พารามิเตอร์ (Distribution-free หรื อ Parameter-free) สาเหตุที่ทาให้ ต้องมีการพัฒนาสถิติทดสอบแบบนันพาราเมตริ กขึ้นมาใช้ อาจสรุ ปเป็ นประเด็นได้ดงั นี้ 1) การแจกแจงความถี่ของเหตุการณ์ที่ตอ้ งการศึกษาซึ่ งส่ วนใหญ่มีการแจกแจงเป็ น ปกติน้ นั มีบางครั้งที่อาจมีการแจกแจงที่ไม่เป็ นปกติ จึงไม่ใช้ค่าเฉลี่ยมาทดสอบ เช่น การเป็ นโรคระบาด การตายด้วยอุบตั ิเหตุทางรถยนต์ 2) ขนาดหรื อจานวนตัวอย่าง กรณี น้ ีมีความเกี่ยวข้องกับข้อตกลงเบื้องต้นในการใช้ สถิติทดสอบแบบพาราเมตริ กในเรื่ องการแจกแจงของตัวอย่างที่เป็ นปกติ กรณี ขนาดตัวอย่างใหญ่พอ (เช่น 100 ขี้นไป) อาจสันนิ ษฐานว่าการแจกแจงของข้อมูลที่ได้จะอยูใ่ นรู ปปกติ กรณี ที่ตวั อย่างมีขนาด เล็ก จึงต้องใช้การทดสอบด้วยสถิติทดสอบนันพาราเมตริ กแทน 146


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

3) ปัญหาทางการวัด การใช้การทดสอบที่มีขอ้ ตกลงเบื้องต้นในด้านการแจกแจงปกติ จะมีขอ้ จากัดถ้ามีการวัดที่ไม่ชดั เจน ตัวอย่างเช่น ในการศึกษาโดยใช้ระดับคะแนนในการวัดตัวแปรที่จะ ศึกษา ผลการวัดจะไม่สามารถเปรี ยบเทียบกันได้ในลักษณะของความเท่ากันของหน่วยการวัดแต่ละ หน่วย เช่นการวัดในระดับจัดลาดับ ซึ่ งถือว่าเป็ นการฝ่ าฝื นข้อตกลงในการใช้การทดสอบด้วยสถิติพารา เมตริ กที่ขอ้ มูลต้องได้จากการวัดในระดับอันตรภาคขึ้นไป

6.2 การวิเคราะห์ และความหมายผลการวิเคราะห์ ข้อมูลด้ วยสถิติบรรยาย 6.2.1 ความถี่และร้ อยละ การวิเคราะห์ขอ้ มูลด้วยสถิติบรรยาย จะได้ผลการวิเคราะห์เป็ นค่าสถิติ หรื อ ค่าพารามิเตอร์ ข้ ึนอยูว่ า่ ใช้ตวั อย่าง หรื อประชากรทั้งหมด เป็ นแหล่งข้อมูลในการศึกษา ค่าสถิติ หรื อ ค่าพารามิเตอร์ ที่ได้จากการวิเคราะห์ขอ้ มูล แบ่งได้เป็ นสามกลุ่มใหญ่ ๆ คือ ค่าความถี่และร้อยละ ค่า แนวโน้มเข้าสู่ ส่วนกลางของข้อมูลหรื อเรี ยกกันว่า ค่ากลาง หรื อค่าตัวกลาง และค่าการกระจายของข้อมูล 1) วิธีวเิ คราะห์ การบรรยายลักษณะของกลุ่มตัวอย่างหรื อประชากรในตัวแปรที่ศึกษาด้วยการวิเคราะห์ ค่าความถี่ จะใช้คู่กบั ร้อยละ ใช้สาหรับข้อมูลแบบไม่ต่อเนื่องหรื อข้อมูลแบบขาดตอน เช่นข้อมูลที่วดั ใน มาตรวัดระดับนามบัญญัติและระดับจัดลาดับ ทาโดยการแจงนับจานวนข้อมูลตามประเภท และแปลง ค่าความถี่หรื อจานวนในแต่ละประเภทเป็ นค่าร้อยละ ดังนี้ ร้อยละ

=

f n

x 100

เมื่อ f คือความถี่หรื อจานวน และ n คือจานวนข้อมูลทั้งหมดรวมกัน กรณี ใช้ประชากร ใช้ N แทน n 2) การแปลความหมาย เมื่อใช้ค่าความถี่เราไม่สามารถแปลผลในเชิงเปรี ยบเทียบกันข้ามกลุ่ม แต่ถา้ ใช้ค่าร้อยละ เราสามารถแปลผลในเชิงเปรี ยบเทียบกันข้ามกลุ่มหรื อข้ามตัวแปรที่วดั ได้เพราะมีฐาน 100 เหมือนกัน นอกจากนี้ อาจจะแปลผลค่าของร้อยละโดยเปรี ยบเทียบกับเกณฑ์ที่กาหนด เช่น กรณี ตอ้ งการจัดกลุ่มของ ผลการศึกษาการปฏิบตั ิกิจกรรมที่นามาจัดเป็ น 5 กลุ่ม อาจกาหนดว่า ความถี่หรื อมีการปฏิบตั ิมากกว่าร้อยละ ความถี่หรื อมีการปฏิบตั ิร้อยละ ความถี่หรื อมีการปฏิบตั ิร้อยละ

80 61 – 80 41 – 60

ระดับ มากที่สุด ระดับ มาก ระดับ ปานกลาง 147


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ความถี่หรื อมีการปฏิบตั ิร้อยละ ความถี่หรื อมีการปฏิบตั ิต่ากว่าร้อยละ

21 – 40 20

ระดับ น้อย ระดับ น้อยที่สุด

6.2.2 การวิเคราะห์ แนวโน้ มเข้ าสู่ ส่วนกลาง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มเข้าสู่ ส่วนกลางหรื อค่ากลางที่ใช้บรรยายลักษณะของ กลุ่มตัวอย่างหรื อประชากรที่ศึกษาวิจยั ที่นิยมใช้กนั มากกว่าค่าอื่น สาหรับการวิจยั ทางสังคมศาสตร์ คือ 6.2.2.1 ค่ามัชฌิมเลขคณิ ต 6.2.2.2 ค่ามัธยฐาน 6.2.2.3 ค่าฐานนิยม 6.2.2.1 ค่ ามัชฌิมเลขคณิตหรือค่ าเฉลีย่ (Mean) กรณี เป็ นค่าสถิติใช้สัญลักษณ์แทนด้วย X กรณี เป็ นค่าพารามิเตอร์ ใช้สัญลักษณ์แทน ด้วย  ใช้สาหรับหาค่ากลางของข้อมูลแบบต่อเนื่อง ที่มีการวัดในระดับอันตรภาคขึ้นไป เช่น คะแนน สอบ ส่ วนสู ง น้ าหนัก เป็ นต้น 1) วิธีวเิ คราะห์ X X = N เมื่อ  X คือ ผลบวกของข้อมูลทุกตัว N คือ จานวนข้อมูล ตัวอย่างที่ 6.1 : หาค่าเฉลี่ยของข้อมูลคะแนนสอบวิชาคณิ ตศาสตร์ ต่อไปนี้ 5 7 4 6 9 7 4 6 3 9

X = (5 + 7 + 4 + 6 + 9 + 7 + 4 + 6 + 3 + 9)/10 = 6 กรณี ที่มีขอ้ มูลจานวนมาก มีการแจกแจงความถี่ ใช้สูตรดังนี้

X

=

 fX N

f คือ ความถี่ของข้อมูล (  ) แต่ละตัว

148


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตัวอย่างที่ 6.2 การหาค่าเฉลี่ยของข้อมูลจานวนครั้งการดูทีวขี องนักเรี ยนในรอบหนึ่งสัปดาห์ ดังต่อไปนี้ 12 13 13 20

14 5 14 21

15 12 15 20

16 14 8 11

7 8 13 5 14 16 9 13 22 15 7 14 15 7 6 7 15 9 9 5 13 14 15 6 17 8 8 11 11 9 17 8 9 11 17 18 16 17 19 17 17 19 13 14

นามาแจกแจงความถี่ ได้ดงั นี้ พิสัย 22-5 = 17 กาหนดอันตรภาคชั้น =3 จัดจานวนชั้นได้ 17/3 ~ 6 ชั้น ตารางที่ 9 แสดงการแจกแจงข้ อมูลจานวนครั้งในการดูทวี ี จานวน ครั้งที่ดู ทีวี 20-22 17-19 14-16 11-13 8 -10 5-7

รอยความถี่

ความถี่ ความถี่ ขีดจากัดที่ X (f) สะสม แท้จริ ง (ค่ากลางของ แต่ละชั้น) //// 4 4 19.5 - 2.5 (20+22)/2=21 ///// ///// 10 14 16.5- 19.5 (17+19)/2=18 ///// ///// ///// 15 29 13.5- 16.5 (14+16)/2=15 ///// ///// // 12 41 10.5- 13.5 (11+13)/2=12 ///// ///// 10 51 7.5 - 10.5 (8+10)/2=9 ///// //// 9 60 4.5 - 7.5 (5+7)/2=6 65

X

=

777 60

fX

84 180 225 144 90 54 777

= 12.95

2) การแปลความหมาย การแปลความหมายของค่าเฉลี่ย ถ้าเป็ นการแปลความหมาย ในเชิงเปรี ยบเทียบ เนื่องจากส่ วนใหญ่ใช้เครื่ องมือวัด ที่มีมาตรวัดเดียวกันหรื อเครื่ องมือเดียวกัน จึงแปล ความหมายด้วยการเปรี ยบเทียบกันโดยตรงตามค่าที่ได้ ในเชิงสู งกว่าหรื อน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม กรณี ที่ พบเป็ นพิเศษคือ การวัดเจตคติดว้ ยมาตรประเมินค่า 5 ระดับแบบ Likert ซึ่งเป็ นการวัดในระดับ จัดลาดับ ซึ่ งมักมีการกาหนดตัวเลขให้กบั ระดับการวัดในแต่ละลาดับ จากลาดับสู งสุ ดเป็ น 5 จนถึงต่าสุ ด เป็ น 1 กรณี น้ ีควรวิเคราะห์ขอ้ มูลด่วยค่าความถี่และร้อยละ ซึ่งพบว่าจะได้ผลการวิเคราะห์เช่นเดียวกับ 149


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

การวิเคราะห์โดยใช้ค่าเฉลี่ยแล้วแปลความหมายจากตัวเลขกลับไปเป็ นลาดับของการวัดดังเดิม เช่น เรี ยงลาดับจาก มากที่สุด ไป น้อยที่สุด เป็ นต้น ด้วยการอิงช่วงของขีดจากัดล่างและบนของตัวเลขแต่ละ ตัวดังนี้ 4.50 – 5.00 3.50 – 4.49 2.50 – 3.49 1.50 – 2.49 1.00 – 1.49 เทียบกับเส้นจานวนดังข้างล่างนี้

เห็นด้วยมากที่สุด เห็นด้วยมาก เห็นด้วยปานกลาง เห็นด้วยน้อยหรื อไม่เห็นด้วย เห็นด้วยน้อยที่สุดหรื อไม่เห็นด้วยอย่างยิง่ 1

3 1

2 1

-1

0

1

2

2

3

4

2

3

4

3

4

5 5 เส้นจานวน

5

6.2.2.2 ค่ ามัธยฐาน (Median) ค่ามัธยฐานเป็ นค่ากลางที่อยู่ ณ จุดที่มีจานวนข้อมูลที่มีค่าต่ากว่า และจานวนข้อมูลที่มี ค่าสู งกว่าอยูเ่ ท่า ๆ กัน หรื อกล่าวได้วา่ ค่ามัธยฐานเป็ นจุดที่แบ่งครึ่ งข้อมูลทั้งหมดออกเป็ นสองส่ วน เท่า ๆ กัน เมื่อเรี ยงข้อมูลตามลาดับจากสู งไปต่า หรื อจากต่าไปสู ง 1) วิธีวเิ คราะห์ มัธยฐานของข้อมูลชุดนี้มีค่าเท่าไร 4 5 7 2 4 9 7 4 6 9 วิธีการต้องเรี ยงลาดับข้อมูลใหม่ ดังนี้ 2

4

4

4

5

6 7

7

9 9

ค่าที่อยูต่ รงจุดที่ทาให้มีจานวนข้อมูลที่มีค่าต่ากว่า และจานวนข้อมูลที่มีค่าสู งกว่าอยูเ่ ท่า ๆ กัน หรื อค่าที่แบ่งครึ่ งข้อมูลที่จดั เรี ยงลาดับไว้แล้วเป็ นสองส่ วนเท่า ๆ กัน อยูร่ ะหว่างค่า 5 และ 6 หรื อมีค่าเท่ากับ (5+6)/2 = 5.5 ในกรณี ที่ขอ้ มูลมีจานวนมาก มีการแจกแจงความถี่ ใช้สูตรการคานวณ ดังนี้ 150


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

Mdn = L

mdn

 i(

n/ 2 - cf ) f mdn

Mdn = ค่ามัธยฐาน (Median) Lmdn คือขีดจากัดล่างที่แท้จริ งในชั้นที่ค่า มัธยฐาน ตกอยู่ i คือ อันตรภาคชั้น cf คือค่าความถี่สะสมในชั้นที่ต่ากว่าชั้นที่ มัธยฐาน ตกอยู่ fmdn คือค่าความถี่ในชั้นที่ค่า มัธยฐาน ตกอยู่ หาค่า มัธยฐาน จากข้อมูลในตารางที่ 10 ตารางที่ 10 แสดงการแจกแจงข้ อมูลเพือ่ หาค่ ามัธยฐาน คะแนน 20-22 17-19 14-16 11-13 8 -10 5-7

รอยความถี่ //// ///// ///// ///// ///// /////

///// ///// ///// ///// // ///// ////

ความถี่ (f) 4 10 15 12 10 9 60

ความถี่ สะสม 60 56 46 31 19 9

ขีดจากัดที่ แท้จริ ง 19.5 - 2.5 16.5- 19.5 13.5- 16.5 10.5- 13.5 7.5 - 10.5 4.5 - 7.5

จุดกึ่งกลาง คะแนน (X) (20+22)/2=21 (17+19)/2=18 (14+16)/2=15 (11+13)/2=12 (8+10)/2=9 (5+7)/2=6

1.1) หาความถี่สะสมที่มีค่า mdn ตกอยู่ n/2=60/2=30 คือชั้นที่มีค่าความถี่สะสม 30 ใน ในที่น้ ีคือชั้นที่ค่าคะแนนช่วง 10.5 - 13.5 (หรื อ 11-13) Lmdn = 10.5 i = 3 cf = 19 fmdn = 12 Mdn =

10.5  3(

60/2 - 19 12

) = 13.25

2) การแปลความหมาย ค่ามัธยฐานแปลความหมายในรู ปของตาแหน่ง เป็ นค่าตาแหน่ง เปอร์เซ็นไทล์ที่ 50 ความหมายคือ มีผทู ้ ี่ดูทีวตี ่ากว่า 13 ครั้งอยูร่ ้อยละ 50 หรื อ 30 คน และผูด้ ูทีวมี ากกว่า 13 ครั้งอยู่ ร้อยละ 50 คน ซึ่ งในกรณี น้ ีคือ 30 คน 151


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

6.2.2.3 ค่ าฐานนิยม เป็ นค่ากลางที่อยู่ ณ จุดที่มีค่าของข้อมูลซ้ ากันมากที่สุด 1) วิธีคานวณ ตัวอย่างที่ 6.3 หาค่ามัธยฐานของข้อมูล 4 5 7 2 4 9 7 4 6 9 ข้อมูลที่มีค่าซ้ ากันมากที่สุดคือ 4 ดังนั้น 4 คือค่าฐานนิยมของข้อมูลชุดนี้ สมมติวา่ มี ข้อมูลเพิ่มขึ้นอีกตัว คือ 9 ข้อมูลชุดใหม่จะเป็ น 4 5 7 2 4 9 7 4 6 9 9 ข้อมูลชุดใหม่มีขอ้ มูลที่มีค่า ซ้ ากันมากที่สุดสองตัวเท่า ๆ กัน คือ 4 และ 9 ดังนั้น ข้อมูลชุดใหม่มีค่าฐานนิยมสองตัวคือ 4 และ 9 เรี ยกว่าเป็ นข้อมูลที่มีฐานนิยม 2 ตัว (bimodal) ในกรณี ที่เป็ นข้อมูลที่มีการแจกแจงความถี่ดงั ตารางที่ 1 ฐานนิยมเป็ นค่าประมาณที่ตก อยู่ ณ ชั้นที่มีค่าความถี่สูงสุ ด ค่าฐานนิยมคือค่าจุดกึ่งกลางคะแนน(x) ในกรณี ตารางที่ 1 ค่าฐานนิยมตก อยูช่ ้ นั คะแนน 14- 16 ดังนั้นฐานนิยมคือ (14+16)/2 = 15 จะเห็นว่า เมื่อมีการแจกแจงความถี่บางครั้ง ค่านี้อาจเป็ นค่าที่ต่างจากค่าที่ได้จากข้อมูลที่ไม่ได้แจกแจงความถี่ เช่นในกรณี น้ ี ค่าฐานนิยมที่ได้จาก ข้อมูลที่ไม่ได้แจกแจงความถี่คือ 14 2) การแปลความหมาย ค่าฐานนิยมแสดงถึงค่าที่มีความถี่มากที่สุด ในกรณี ของตาราง ที่ 1 แปลได้วา่ นักเรี ยนที่ดูทีวี สัปดาห์ละ 15 ครั้ง มีมากกว่า นักเรี ยนที่มีความถี่หรื อความบ่อยในการดู ที่ต่างไปจากนี้ ค่าฐานนิยมใช้เมื่อนาเสนอข้อมูลด้วยค่าความถี่และร้อยละ 6.2.3 การวิเคราะห์ ค่าการกระจาย ค่าการกระจายที่จะนาเสนอ ประกอบด้วยค่าพิสัย ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ และค่าส่ วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน 6.2.3.1 พิสัย พิสัยคือความแตกต่างระหว่างข้อมูลที่มีค่าต่าสุ ดและสู งสุ ด เป็ นการวัดการกระจายที่ หยาบที่สุดในบรรดาค่าการกระจายของข้อมูลทั้งหมด และมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลที่มี ค่าต่าสุ ดและสู งสุ ดมากที่สุด เนื่องจากใช้ขอ้ มูลเพียง 2 ค่าในการวิเคราะห์ 1) วิธีวเิ คราะห์ ค่าพิสัยได้จาก ข้อมูลที่มีค่าสู งสุ ด – ข้อมูลที่มีค่าต่าสุ ด 152


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ค่าพิสัยของข้อมูลชุดนี้ 4 5 7 2 4 9 7 4 6 ขอบเขตล่างที่แท้จริ ง – ค่าขอบเขตบนที่แท้จริ ง คือ 9.5 – 1.5 = 8

3

9 คือ 7 ซึ่งได้มาจาก ค่า

2) การแปลความหมาย ความหมายของพิสัยคือ ค่าการกระจายของข้อมูลทั้งชุด 6.2.3.2 พิสัยระหว่างควอไทล์ เป็ นการวัดการกระจายโดยใช้ค่าตาแหน่งของข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์ 1) วิธีวเิ คราะห์ พิสัยระหว่างควอไทล์ =

Q 3 - Q1 2

ควอไทล์คือการแบ่งข้อมูลเป็ น 4 ส่ วน Q1 คือค่าของข้อมูล ณ จุดที่มีขอ้ มูลที่มีคา่ ต่า กว่าอยู่ ¼ หรื อร้อยละ 25 ของข้อมูลทั้งหมด Q2 คือค่าของข้อมูล ณ จุดที่มีขอ้ มูลที่มีค่าต่ากว่าอยู่ ½ หรื อร้อยละ 50 ของข้อมูลทั้งหมด และ Q3 คือค่าของข้อมูล ณ จุดที่มีขอ้ มูลที่มีค่าต่ากว่าอยู่ ¾ หรื อ ร้อยละ 75 ของข้อมูลทั้งหมด จากข้อมูลซึ่ งมีการเรี ยงลาดับตามค่าของข้อมูลไว้แล้วข้างล่างนี้ เราจะหาค่า Q1และ Q3 2 4 4 4 5 9 9 Q1

6 7 7 Q3

Q1 มีขอ้ มูลที่มีค่าต่ากว่าอยู่ ¼ ของข้อมูลทั้งหมด ในที่น้ ีคือจุดที่มีจานวนข้อมูลที่มีค่า ต่ากว่าอยู่ = (¼ )10 = 2.5 ตาแหน่ง Q3 มีขอ้ มูลที่มีค่าต่ากว่าอยู่ ¾ ของข้อมูลทั้งหมด ในที่น้ ีคือจุดที่มีจานวนข้อมูลที่มีค่า ต่ากว่าอยู่ = (¾ )10 = 7.5 ตาแหน่ง ตาแหน่งของ Q1และ Q3 ดังภาพข้างบน ค่า Q1 คือ (4 + 4)/2 คือ 4 และค่า Q3 คือ (7 + 7)/2 = 7 ดังนั้น ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์คือ (7 - 4)/2 = 1.5 2) การแปลความหมาย ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ เป็ นค่าที่ใช้คู่กบั ค่ามัธยฐาน แสดงถึงลักษณะของการเกาะ กลุ่มของข้อมูล ค่าการกระจายมากแสดงว่าข้อมูลในกลุ่ม มีความแตกต่างกันมากกว่าข้อมูลที่มีการ กระจายน้อย 153


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

6.2.3.3 ค่ าส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เป็ นการวัดการกระจายที่ใช้คู่กบั ค่ามัชฌิมเลขคณิ ต เป็ น ค่าเฉลี่ยของความแตกต่างของข้อมูลแต่ละตัวจากค่ามัชฌิมเลขคณิ ต สัญลักษณ์แทนค่าสถิติของค่าส่ วน เบี่ยงเบนมาตรฐานคือ S หรื อ S.D. และสัญลักษณ์แทนค่าพารามิเตอร์ คือ  ค่าส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เป็ นการมองค่าเฉลี่ยของความแตกต่างในรู ปของเส้นตรง ถ้ามองในรู ปของพื้นที่ คือยกกาลังสองของค่า ส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน S2 หรื อ 2 จะเรี ยกว่าเป็ นความแปรปรวนของข้อมูล 1) วิธีวเิ คราะห์

หรื อ

S

=

S

=

( X  X )

2

N 1 2 2 N  X  ( X )

N ( N  1)

ตัวอย่างที่ 6.4 ข้อมูลในกรอบข้างล่าง มีค่า X = 6 5 7 4 6 9 7 4 6 3

9

วิเคราะห์ค่าส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐานได้ดงั นี้  (X  X )

X

2

2

( X )

2

= (5 - 6)2+(7 - 6)2+(4 - 6)2+(6 - 6)2+(9 - 6)2+(7 - 6)2+(4 - 6)2+(6- 6)2 + (3 - 6)2 + (9 - 6)2 = 1 + 1 + 4 + 0 + 9 + 1 + 4 + 0 + 9 + 9 = 38 = 25 + 49 + 16 + 36 + 81 + 49 + 16 + 36 + 9 + 81 = 398 = 60  60 = 3600 ( X  X )

2

จากสู ตร

S

=

แทนค่า

S

=

38 9

= 2.05

S

=

NX

2

S

=

10  398  3600 10(10  1)

หรื อ จากสู ตร แทนค่า

N 1

 ( X )

2

N ( N  1)

=

38 9

= 2.05

154


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

2) การแปลความหมาย ค่าส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐานบอกถึงขนาดของการกระจายของข้อมูลจากค่ามัชฌิมเลข คณิ ต ส่ วนใหญ่มกั ไม่ค่อยมีผวู ้ จิ ยั สนใจแปลความหมายของค่านี้ ค่านี้ใช้คู่กบั ค่ามัชฌิมเลขคณิ ต โดย แสดงว่าข้อมูลแต่ละตัวมีความแตกต่างโดยเฉลี่ยจากค่ามัชฌิมเลขคณิ ตเท่าใด ใช้ได้ท้ งั ในแง่ของค่า สัมบูรณ์คือแสดงถึงความแตกต่างภายในกลุ่มของข้อมูล ในบางกรณี ที่ขอ้ มูลภายในกลุ่มควรมีความ แตกต่างน้อย ค่าส่ วนเบี่ยงมาตรฐานที่มีค่าสู งจะทาให้ผวู ้ จิ ยั ตระหนักว่าต้องมีการแก้ไข หรื ออาจใช้ในเชิง เปรี ยบเทียบในด้านความแตกต่างภายในกลุ่มต่าง ๆ ว่ามีมากน้อยเพียงใด เป็ นการบรรยายถึงความ แตกต่างของกลุ่มในแง่ของความสอดคล้องกันภายในกลุ่ม

6.3 การวิเคราะห์ และความหมายผลการวิเคราะห์ ข้อมูลด้ วยสถิติติอ้างอิงหรือสถิติทดสอบ แบบพาราเมตริก สถิติอา้ งอิงแบบพาราเมตริ กเป็ นสถิติที่นามาใช้เพื่อการทดสอบสมมติฐานในการวิจยั เมื่อใช้กลุ่มตัวอย่างแทนประชากรการทดสอบค่าสถิติที่ได้จากการวิจยั ต้องการข้อมูลที่กาหนดขึ้น ดังนี้ 1) สมมติฐาน ซึ่ งได้ศึกษามาในบทก่อนแล้ว 2) การกาหนดค่าความเชื่ อมัน่ ในการวิจยั กาหนดในรู ปร้อยละหรื อทศนิยม ค่าความ เชื่อมัน่ ทาให้ทราบค่าค่าหนึ่ งที่เรี ยกว่า ระดับนัยสาคัญ ถ้ากาหนดค่าความเชื่อมัน่ 95% หรื อ .95 ระดับ นัยสาคัญจะมีค่าเท่ากับ .05 สัญลักษณ์ที่ใช้แทนระดับนัยสาคัญคือ  เป็ นค่าความคลาดเคลื่อนที่จะ ยอมให้เกิดในการวิจยั แต่ละครั้ง ระดับนัยสาคัญที่ยอมรับกันในด้านสังคมศาสตร์ คือระดับที่ไม่สูงกว่า .05 โดยทัว่ ไป ก่อนที่จะมีการนาคอมพิวเตอร์ มาใช้ในการคานวณ มักนิยมใช้อยู่ 2 ค่า คือ .01 และ .05 ปั จจุบนั เมื่อใช้โปรแกรมสาเร็ จรู ป ผลการวิเคราะห์จะระบุระดับนัยสาคัญของค่าสถิติทดสอบที่วเิ คราะห์ ได้ มาให้ดว้ ย 3) ค่าองศาความเป็ นอิสระ โดยทัว่ ไปเป็ นค่าที่ได้จาก จานวนตัวอย่างที่หกั จานวน ค่าสถิติที่นามาใช้ในการทดสอบออก ใช้แทนด้วย df หรื อแทนด้วยสัญลักษณ์  แนวคิดในการทดสอบสมมติฐาน คือการนาหลักฐานเชิงประจักษ์หรื อข้อมูลที่ได้จาก การศึกษาในครั้งนั้น ๆ มาเปรี ยบเทียบกับการกระจายในทางทฤษฎี การกระจายทางทฤษฎีที่นามาใช้ อ้างอิงนั้นมาจากแนวคิดว่า ถ้ามีการทาวิจยั เช่นเดียวกัน ด้วยจานวนตัวอย่างที่เป็ นไปได้ท้ งั หมด ซึ่ ง จานวนครั้งที่ทาการศึกษาได้คือ NCn เมื่อ N คือจานวนประชากร และ n คือจานวนตัวอย่างในการศึกษา แต่ละครั้ง ซึ่ งอาจมีจานวนเท่ากับ 1, 2, 3,…,N แล้ว การกระจายของค่าสถิติจะมีรูปแบบของโค้งประเภท 155


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ต่างๆ เช่น Z t f หรื อ2 ทั้งนี้แล้วแต่ขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่นามาใช้ในการศึกษาในครั้งนั้น ๆ ลักษณะของค่าสถิติที่นามาทดสอบ และคุณสมบัติของข้อมูลที่ได้มา ขั้นตอนการดาเนิ นงานการทดสอบ เริ่ มด้วยการ (1) กาหนดสมมติฐานทางสถิติเพื่อการทดสอบ ประกอบด้วยสมมติฐาน2 ประเภทคือ สมมติฐานศูนย์ (Null Hypothesis) ใช้สัญลักษณ์ H0 เป็ นสมมติฐานที่มีลกั ษณะที่เป็ นกลาง ความหมาย ของสมมติฐานที่เป็ นกลางคือเป็ นสมมติฐานที่ระบุวา่ ไม่มีความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่ทดสอบหรื อไม่ มีความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทดสอบ อีกประเภทคือสมมติฐานทางเลือก (Alternative Hypothesis) ใช้ สัญลักษณ์ H1 ซึ่ งกาหนดตามสมมติฐานวิจยั ที่นาเสนอไว้ในบทที่ 1 ของรายงานวิจยั สมมติฐานทางเลือก เป็ นสมมติฐานที่จะยอมรับก็ต่อเมื่อข้อมูลที่นามาทดสอบไม่สามารถยืนยันได้วา่ สมมติฐานศูนย์เป็ นจริ ง ( หรื ออีกนัยหนึ่งคือ เมื่อปฏิเสธสมมติฐานศูนย์) (2) กาหนดระดับความเสี่ ยงที่จะยอมให้เกิ ดในการปฏิเสธสมมติฐานศูนย์ที่เป็ นจริ ง เรี ยกอีกอย่างว่าระดับนัยสาคัญ ใช้สัญลักษณ์  กาหนดอยู่ในรู ปของความน่ าจะเป็ น (Probability) ระดับของ  ที่ใช้กนั ในทางสังคมศาสตร์ คือ .01 และ .05 (3) เปิ ดตารางค่าสถิ ติทดสอบที่ใช้ โดยใช้ค่า  และค่าองศาแห่ งความเป็ นอิสระ Degree of Freedom df หรื อ  หรื อระดับความเป็ นอิสระ โดยทัว่ ไปแสดงถึงจานวนของข้อมูลที่สามารถ ผันแปรไปได้อย่างอิสระในแต่ละชุดของข้อมูลที่นามาคานวณค่าสถิติที่นามาทดสอบ ตัวอย่างเช่น ถ้ามี ข้อมูล 30 ตัว มีค่า เฉลี่ยเท่ากับ a ในการนี้ขอ้ มูล 29 ตัวสามารถมีค่าผันแปรไปได้อย่างเป็ นอิสระ แต่ ข้อมูลตัวที่ 30 ต้องมีค่าที่ทาให้ค่าเฉลี่ยที่ได้ มีค่าเท่ากับ a ดังนั้นข้อมูล 1 ตัวที่เป็ นตัวสุ ดท้ายจึงมี ความสัมพันธ์กบั ค่าสถิติที่นามาทดสอบหรื อไม่มีความเป็ นอิสระจากค่าสถิติที่นามาทดสอบ ดังนั้น จานวนข้อมูลที่เป็ นอิสระจากค่าสถิติตวั ที่นามาทดสอบหรื อ ค่า df หรื อ  ของค่าสถิติน้ นั คือ 30-1 (4) คานวณค่าสถิติทดสอบจากข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้ หรื อที่ได้จากข้อมูล เชิงประจักษ์ (5) เปรี ยบเทียบค่าสถิติที่คานวณได้กบั ค่าสถิติทดสอบที่ได้จากตาราง ถ้าค่าสถิติ ทดสอบที่ได้จากการคานวณจากจากข้อมูลเชิงประจักษ์ มีค่ามากกว่าหรื อเท่ากับค่าสถิติทดสอบจาก ตาราง แสดงว่า ข้อมูลเชิงประจักษ์ไม่สามารถยืนยันสมมติฐานศูนย์ ดังนั้นจึงปฏิเสธสมมติฐานศูนย์ แต่ ถ้ามีค่าน้อยกว่าค่าจากตารางแสดงว่า ข้อมูลจากการศึกษามีพอที่จะยอมรับสมมติฐานศูนย์ ผลที่ตามมา

156


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

จากการปฏิเสธสมมติฐานศูนย์คือการยอมรับสมมติฐานทางเลือก สมมติฐานศูนย์คือการปฎิเสธสมมติฐานทางเลือก

และผลที่ตามมาจากการยอมรับ

ภาพที่ 7 คือภาพโค้งของการกระจายของค่าสถิติที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างเท่าที่เป็ นไปได้ ทั้งหมด กรณี ที่ค่าสถิติที่นามาทดสอบคือค่าเฉลี่ย เมื่อนาค่าสถิติมาplot graph จะได้โค้งการกระจายของ ค่าสถิติ ซึ่งอาจเป็ นการกระจายแบบ t หรื อการกระจายแบบปกติ แล้วแต่จานวนตัวอย่าง ค่า  จะช่วย ให้ทราบพื้นที่ของเขตวิกฤต ซึ่ งอยูป่ ลายโค้ง มีอาณาเขตตั้งแต่ค่าสถิติทดสอบที่หาค่าได้จากตารางตามค่า  ที่กาหนด ไปจดสุ ดปลายโค้ง แสดงด้วยบริ เวณที่เป็ นสี ดาในภาพ การทดสอบค่าสถิติดว้ ยสถิติทดสอบมีอยู่ 2 ลักษณะคือ การทดสอบอย่างมีทิศทาง และ อย่างไม่มีทิศทาง พิจารณาได้จากสมมติฐานทางเลือก (H1) ภาพที่ 7 และ 8 เป็ นการทดสอบแบบมี ทิศทาง ดังนั้นจึงทดสอบเพียงทางใดทางหนึ่ง แล้วแต่วา่ กาหนด H1 ในทางมากกว่า (ทางขวา) หรื อ น้อยกว่า (ทางซ้าย) ส่ วนภาพที่ 9 เป็ นการทดสอบแบบไม่มีทิศทาง คือกาหนด H1 ว่าไม่เท่ากัน ดังนั้น ต้องทดสอบ สองทิศทาง ทั้งซ้ายและขวา ในกรณี น้ ี จึงต้องแบ่งค่า  เป็ นสองส่ วน แต่ละส่ วนมีค่าเป็ น /2 เช่น ถ้ากาหนดค่า =.05 ค่า  ในการทดสอบจะเหลือ .025 ในแต่ละปลายของโค้ง และการ ทดสอบแบบไม่มีทิศทางนี้ เขตปฏิเสธ H0 หรื อเขตวิกฤต จะมีพ้นื ที่นอ้ ยลงกว่าการทดสอบแบบมีทิศทาง

 -3

-2

-1

0

1

2

3

ภาพที่ 7 ทดสอบสมมติฐาน H0 :  = 0 และ H1 :  > 0

 -3

-2

-1

0

1

2

3

ภาพที่ 8 ทดสอบสมมติฐาน H0 :  = 0 และ H1 :  < 0

157


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

/2 -3

/2 -2

-1

0

1

2

3

ภาพที่ 9 ทดสอบสมมติฐาน H0 :  = 0 และ H1 :   0 6.3.1 การทดสอบสมมติฐานด้ วยสถิติพาราเมตริกกรณีข้อมูลกลุ่มเดียวหรือชุ ดเดียว 6.3.1.1 การทดสอบสมมติฐานเกีย่ วกับค่ าเฉลีย่ ตัวอย่างการทดสอบแบบนี้เช่น ต้องการทดสอบว่าค่าจากกลุ่มตัวอย่างเท่ากับค่าของ ประชากรหรื อไม่ หรื อค่าสถิติที่ได้จากตัวอย่างเท่ากับค่าพารามิเตอร์ หรื อไม่ หรื อทดสอบว่าตัวอย่างสุ่ ม มาจากประชากรจริ งหรื อไม่ สมมติฐานที่ทดสอบค่าเฉลี่ยกรณี ขอ้ มูลชุดเดียวหรื อตัวอย่างกลุ่มเดียว H0 :  = 0 หรื อ  - 0 = 0 H1 :  > 0 หรื อ  < 0 หรื อ H1 :   0 เมื่อ

0 

คือ ค่าเฉลี่ยของประชากร และ คือ ค่าเฉลี่ยที่ตอ้ งการทดสอบ

1) กรณี ที่ทราบค่าความแปรปรวนของประชากรสถิติที่ใช้ในการทดสอบคือ z test 2) กรณี ที่ไม่ทราบค่าความแปรปรวนของประชากร แต่ใช้ตวั อย่างขนาดใหญ่ (n  30) ทดสอบด้วย z –test ถ้าใช้ ตัวอย่างขนาดเล็ก (n < 30) ทดสอบ ด้วย t-test

z

X  S n

0

หรื อ

t

X 

0

S n 158


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ข้ อตกลงเบือ้ งต้ น ในการทดสอบนัยสาคัญโดยอาศัยการแจกแจงของซี (Z-test) : 1. กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่ ม และเป็ นอิสระต่อกัน 2. การแจกแจงของคะแนนของประชากรเป็ นโค้งปกติ 3. ขนาดกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ n > 30 ข้ อตกลงเบือ้ งต้ น ในการใช้การแจกแจงของที (t - test) 1. กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่ มและเป็ นอิสระต่อกัน 2. กลุ่มตัวอย่างมีขนาดเล็ก (n < 30) ตัวอย่างที่ 6.5 จากการสารวจการใช้จ่ายเงินเพื่อซื้ อหนังสื อของอาจารย์ทุกคนในสถาบันการศึกษาแห่ ง หนึ่ง พบว่า เท่าที่ผา่ นมาทุกปี นั้น โดยเฉลี่ยอาจารย์ทุกคนใช้เงินเพื่อซื้ อหนังสื อวิชาการ ปี ละ 2,500 บาท ส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 150 บาท ในปี นี้มีการสารวจการใช้จ่ายเงินเพื่อซื้ อหนังสื อของกลุ่มตัวอย่าง อาจารย์ 50 คน พบว่าใช้เงินซื้ อหนังสื อเฉลี่ย 2,650 บาท จงทดสอบสมมติฐานที่วา่ อาจารย์ใน สถาบันการศึกษาแห่งนี้ ใช้เงินซื้ อหนังสื อวิชาการไม่แตกต่างจากการใช้เงินของประชากร วิธีการ กรณี น้ ี ทราบค่า ส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของประชากร จึงทดสอบด้วยค่า Z 1) กาหนดสมมติฐาน H0 :  = 2500 H1 :  > 2500 2) กาหนดค่าระดับนัยสาคัญหรื อระดับความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้เกิด  = .05 3) คานวณค่า z จากข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้ โดยการแทนค่าที่ให้มาในสู ตร 4) เปิ ดค่า z ในตาราง ที่ค่า 1 -  มีวธี ี การดังนี้ 4.1) แบ่งครึ่ งพื้นที่ใต้โค้งการแจกแจงของ Z เป็ นสองส่ วน แต่ละครึ่ งมีพ้นื ที่ 1/2 หรื อ .05 จาก H1 แสดงว่าทดสอบทางเดียว ดังนั้นเขตวิกฤตจึงอยูป่ ลายโค้งด้านขวามือ มีค่าพื้นที่ เท่ากับ .05 เราจะต้องหาค่า Z จากตารางว่า ณ จุดที่แบ่งระหว่างเขตวิกฤติและเขตยอมรับ H0 นั้น Z มีค่า เท่าใด  = .05

Z=0

Z=? 159


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

4.2) พื้นที่ระหว่างจุดที่ค่า Z = 0 ถึงจุดเริ่ มต้นของเขตวิกฤต มีค่าเท่ากับ .45 ดังนั้น เราต้องดูตารางพื้นที่ใต้โค้งปกติ ที่ค่า .45 ดังนี้ จากตารางพื้นที่ใต้โค้งแห่งการแจกแจงปกติ ในภาคผนวก จะเห็นว่า ตัวเลขในแถว และสดมภ์แรก เป็ นค่า Z โดยที่ ตัวเลขในสดมภ์แรก เป็ นค่า Z ที่เป็ นจานวนเต็ม และทศนิยมตัวแรก ส่ วนตัวเลขในแถวแรก เป็ นค่า Z ที่เป็ นทศนิยมตัวที่ 2 ตัวเลขภายในกรอบที่เป็ นทศนิยม 3 - 4 ตัว คือ พื้นที่ใต้โค้ง ที่นบั ตั้งแต่จุดที่ Z = 0 อย่างไรก็ตามค่าพื้นที่ใต้โค้งที่เท่ากับ .4500 นั้น ไม่มี มีแต่ที่มีค่า ใกล้เคียงคือ ค่าพื้นที่ .4495 และ .4505 ซึ่ งค่า Z ณ จุดนั้นมีค่าเท่ากับ 1.64 และ 1.65 ตามลาดับ ตารางที่ 11 แสดงผลการวิเคราะห์ ค่าสถิติทดสอบ 0.0 0.0 0.04 0.05 0.0 0.0 0.0 0.0 2 3 6 7 8 9 . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .4495 .4505 . . . . 1.6 .4452 .4463 . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . Z

0.000 0.01

ค่าพื้นที่ใต้โค้งที่ตอ้ งการหาค่า Z คือ .4500 เป็ นค่าที่อยูร่ ะหว่าง .4495 และ .4505 ซึ่ง ต่างกันอยู่ .0010 ความต่างของพื้นที่ใต้โค้ง .0010 ค่า Z ต่างกันอยู่ 1.65 – 1.64 = 0.01 ถ้าต่างกัน .0005 ค่า Z จะต่างกันเท่ากับ .005 ดังนั้น ค่า Z ที่พ้นื ที่ใต้โค้ง .4495 + .0005 = .4500 จะมีค่าเท่ากับ 1.64 + .005 = 1.645 5) คานวณค่า Z จากข้อมูลที่ได้จากการศึกษากลุ่มตัวอย่างได้ค่า Z ดังนี้ z

2650  2500 150

= 7.07

50

6) เปรี ยบเทียบค่า z ที่คานวณได้กบั ค่า z จากตาราง ถ้าค่า z จากการคานวณมีคา่ มากกว่าหรื อเท่ากับ ค่า z ที่ได้จากตาราง แปลว่า ปฏิเสธสมมติฐานศูนย์ ยอมรับสมมติฐานทางเลือก แต่ ถ้าค่า z จากการคานวณมีค่าน้อยกว่า ค่า z ที่ได้จากตาราง แปลว่า ยอมรับสมมติฐานศูนย์ ปฎิเสธสมมติ 160


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ฐานทางเลือก ในกรณี น้ ี ได้คา่ Z ที่คานวณได้จากข้อมูลของกลุ่มตัวอย่าง มีค่ามากกว่า ค่า Z ที่ได้จาก ตาราง ซึ่ งเป็ นค่าที่ตกอยูใ่ นเขตวิกฤต ดังนั้น ปฏิเสธสมมติฐานศูนย์ แปลความหมายได้วา่ อาจารย์ใช้ เงินซื้ อหนังสื อในปี นี้ ต่างไปจากประชากร

= .05

Z=0

Z = 1.645

ตารางที่ 11 เป็ นผลการวิเคราะห์คา่ สถิติทดสอบ จากการทดสอบสมมติฐานทางเดียว ที่วา่ ตัวอย่างที่สุ่มมา จานวน 100 คน มีรายได้ต่อปี เท่ากับ 100,000 บาท หรื อไม่ โดยกาหนดค่า  = .05 H0 :  = 100,000 H1 :   100,000

สมมติฐานที่ทดสอบ

จากตารางที่ 12 พบว่า รายได้ต่อปี ของกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 88,350 บาท ส่ วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 137.27 ผลการทดสอบดังตารางที่ 12 t

88380  100000 137276

= -.8465

100

ข้างล่างเป็ นค่าที่ได้จากการวิเคราะห์ดว้ ยโปรแกรมสาเร็ จรู ป ตารางที่ 12 ค่ าเฉลีย่ และค่ าส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน N รายได้ต่อปี

100

88.38

S.D.

S.E.

137.27

13.72

161


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 13 ผลการวิเคราะห์ ข้อมูล

รายได้ ต่อปี

t

df

-.846

99

Test Value = 100 Sig. (2 Mean tailed) difference .399

-11.62

95% Confidence Interval of the Difference Lower Upper -38.86

15.61

จากตารางที่ 13 ค่าที่พิจารณาคือค่าที่อยูใ่ น คือค่า t และค่าระดับนัยสาคัญพบว่า ค่า t มีค่า -.846 ระดับนัยสาคัญ (Sig.) =.399 ซึ่ งมากกว่าค่า  ดังนั้น ยอมรับสมมติฐานศูนย์ นัน่ คือ รายได้ต่อปี ของตัวอย่างไม่แตกต่างจากประชากร 6.3.1.2 การทดสอบสั ดส่ วน

กรณี ของปั ญหาที่สนใจอยูใ่ นรู ปของสัดส่ วนใช้การ

ทดสอบค่า Z =

p pq n

P = สัดส่ วนของประชากร p = สัดส่ วนของกลุ่มตัวอย่าง q= 1-p n = ขนาดกลุ่มตัวอย่าง ตัวอย่างที่ 6.6 จากการศึกษาที่เคยทามาพบว่า ประชากรที่มีรายได้มากกว่า 50,000 บาท มีอยู่ 90% เมื่อสุ่ มตัวอย่างมา 100 คน จะทดสอบว่า มีตวั อย่างที่มีรายได้มากกว่า 50,000 บาท ในสัดส่ วน ที่แตกต่างไปจากประชากรหรื อไม่ เมื่อกาหนดระดับนัยสาคัญ =.05 สมมติวา่ จากตัวอย่าง พบว่ามีผมู ้ ี รายได้มากกว่า 50,000 บาท อยู่ 85% จะทดสอบได้ดงั นี้ 1) หาค่า Z จากสู ตร z

.9  .85 .85  .15 100

= 1.400

162


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

2) ที่ตารางพื้นที่ใต้โค้งปกติ ดูที่ พท. ใต้โค้ง = .4500 (  = .05) ในที่น้ ีคา่ พื้นที่ใต้โค้ง ในตารางพื้นที่ใต้โค้งปกติมีค่า .4500 และ .4505 ซึ่ งมีค่า  = 1.64 และ 1.65 ตามลาดับ ดังนั้นค่าพื้นที่ใต้ โค้ง .4500 จะมีค่า  ระหว่าง 1.64 และ 1.65 ซึ่ งได้แก่ 1.645 3) เปรี ยบเทียบค่า  จากการคานวนซึ่ง = 1.40 พบว่าน้อยกว่าค่า  จากตาราง จึง ปฏิเสธ   สรุ ปได้วา่ สัดส่ วนจากตัวอย่างไม่ต่างจากประชากร 6.3.2 การทดสอบสมมติฐานด้ วยสถิติแบบพาราเมตริกกรณี 2 กลุ่ม 6.3.2.1 การทดสอบผลต่ างของความแปรปรวนของประชากร S12 F 2 S2

โดยที่ค่า

S12

>

S 22

หรื ออีกนัยหนึ่ ง ค่า F ได้จากค่าความแปรปรวน

ของกลุ่มที่มีค่า SD สู งกว่า หารด้วย ค่าความแปรปรวนของกลุ่มที่มี SD ต่ากว่า สมมติฐานตรวจสอบ คือ H0:  12   22  0 H1:  12   22 > 0 วิธีการทดสอบเปรี ยบเทียบค่า F ที่คานวณได้กบั ค่า F 1, 2  จากตาราง ที่ระดับ  ที่กาหนด โดยที่ dfi = n i – 1 ตัวอย่างที่ 6.7 จากการศึกษาระดับเงินเดือนของเจ้าพนักงานรัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง พบว่า รัฐวิสาหกิจแห่งแรกมีค่ามัชฌิมเลขคณิ ตของเงินเดือนเท่ากับ 8,000 บาท มีค่าส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 7,800 บาท แห่งที่ 2 มีค่ามัชฌิมเลขคณิ ตของเงินเดือนเท่ากับ 7,800 บาทส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 850 บาท ถ้าสุ่ มตัวอย่างพนักงานแห่งละ 25 คน อยากทราบว่า ความแปรปรวนของระดับเงินเดือนของ พนักงานทั้งสองแห่งต่างกันหรื อไม่ ณ ระดับนัยสาคัญที่ .05 H0:  12   22  0 H1:  12   22 > 0 เมื่อ  22

คือ ความแปรปรวนของเงินเดือนของพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งที่ 1 คือ ความแปรปรวนของเงินเดือนของพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งที่ 2

 12

แทนค่าสู ตร F

S12 S 22

=

850 800

= 1.06

F(.05;24,24) = 1.98 163


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ค่า F จากการคานวณ (1.06) มีคา่ น้อยกว่าค่า F จากตาราง (1.58) สรุ ปได้วา่ ความ แปรปรวนของระดับเงินเดือนของพนักงานทั้งสองแห่งไม่ต่างกัน 6.3.2.2 ทดสอบความแตกต่ างของค่ าเฉลีย่ สองตัว เป็ นการทดสอบสมมติฐานของค่า เฉลี่ยซึ่ งมีอยูส่ องลักษณะ คือ กรณี ที่ขอ้ มูลที่ไม่มีความสัมพันธ์กนั และกรณี ที่ขอ้ มูลที่มี ความสัมพันธ์กนั 1) ทดสอบสมมติฐานความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยสองค่าที่ได้มาจากกลุ่มผูใ้ ห้ขอ้ มูล ที่ไม่มีความสัมพันธ์กนั 1.1) ข้อมูล 2 ชุดเป็ นอิสระต่อกันและทราบค่าความแปรปรวนของประชากร สมมติฐานทดสอบ

หรื อ H1 : 1 -  2 = 0 หรื อ H1 : 1 >  2 หรื อ

H 0 : 1   2

H1 : 1  2



x

1

2

  

1

2 2

x

2 1

n

H1 : 1 <  2

 2 

n

เปรี ยบเทียบค่า Z ที่คานวณได้กบั ค่า Z(1-) จากตาราง ตัวอย่างที่ 6.8 หัวหน้างานต้องการทราบว่า ข้าราชการชายหรื อหญิงขาดงานมากกว่า กัน จึงสุ่ มตัวอย่างข้าราชการชาย 50คน หญิง 35 คน พบว่าข้าราชการชายขาดงานโดยเฉลี่ย 12 วัน/ปี ข้าราชการหญิง 10 วัน/ปี ถ้าความแปรปรวนของการขาดงานของข้าราชการชายเท่ากับ 1 วัน/ปี ของ ข้าราชการหญิงเท่ากับ 2 วัน/ปี ข้อสรุ ปที่ระดับนัยสาคัญ .05 คืออะไร สมมติฐานที่ทดสอบ เมื่อ

1 2

H 0 : 1   2

H1 : 1 >  2

คือค่าเฉลี่ยของการขาดงานของข้าราชการชาย คือค่าเฉลี่ยของการขาดงานของข้าราชการหญิง

แทนค่าในสู ตร

Z

(12  10)  (0)

= 10.38

1 2  50 35

Z (.95) = 2.57 164


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ค่า Z จากที่คานวณได้จากข้อมูล มากกว่าค่า Z ที่ได้จากตาราง สรุ ปได้วา่ ข้าราชการชาย ขาดงานมากกว่าข้าราชการหญิง 1.2) ข้อมูล 2 ชุดเป็ นอิสระต่อกัน ไม่ทราบค่าความแปรปรวนของประชากร แต่ทราบว่ามีค่าเท่ากัน หรื อใกล้เคียงกัน หรื อทดสอบแล้วไม่แตกต่างกัน (12 = 22 = 2 ) ขนาดกลุ่มตัวอย่างตั้งแต่ 30 คน ใช้ Z-test ถ้าน้อยกว่า 30 คน ใช้ t-test โดยใช้ค่าความแปรปรวนรวม (pooled variance) แทนความแปรปรวนแยกแต่ละกลุ่ม สู ตร

t หรื อ Z

เมื่อ

S 2p

X1  X 2

=

1 1  S 2p     n1 n 2  (n 1  1)S 12  (n 2  1)S 22 n1  n 2  2

=

ตัวอย่างที่ 6.9 จากการเปรี ยบเทียบผลของสื่ อ 2 ชนิดที่มีตอ่ การเผยแพร่ ขา่ วสารด้าน โรคระบาดและการป้ องกัน ผูว้ จิ ยั ศึกษาผลจากการได้รับข่าวของคน 2 กลุ่ม กลุ่มละ 12 คนเท่ากัน กลุ่ม แรกอ่านข่าวในหนังสื อพิมพ์ทอ้ งถิ่น คอลัมน์ สุ ขภาพชุมชน และกลุ่มที่สองฟังข่าวจากหอกระจายข่าว ของหมู่บา้ น พบว่ามีค่าเฉลี่ยของการรับรู ้ข่าวเป็ น 31.75 และ 28.67 และความแปรปรวนเป็ น 12.5 และ 16.64 ตามลาดับ คะแนนจากการใช้สื่อ 2 ชนิดมีค่าแตกต่างกันที่  = .05 หรื อไม่ 1.3) ข้อมูล 2 ชุดเป็ นอิสระต่อกัน ไม่ทราบค่าความแปรปรวนของประชากร แต่ทราบว่ามีค่าไม่เท่ากัน หรื อไม่ใกล้เคียงกัน หรื อทดสอบแล้วแตกต่างกัน (12  22 ) ใช้ t-test สู ตรการคานวณเช่นเดียวกับ Z t 

x

1

 12 n1

x 

2

 22 n2

เปรียบเทียบค่ าทีค่ านวณได้ กับค่ า t จากตาราง โดยทีค่ านวณค่ า df ได้ จากสู ตร 2

 s 12 s 22     n1 n 2   df  S 22 S 12 n1  n 2 n1  1 n 2  1

165


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

2) ทดสอบสมมติฐานความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยสองค่าที่ได้มาจากกลุ่มผูใ้ ห้ขอ้ มูลที่ มีความสัมพันธ์กนั เช่นการเปรี ยบเทียบคะแนนเฉลี่ยก่อนอบรมกับคะแนนเฉลี่ ยหลังอบรมของผูเ้ ข้ารับ การอบรมกลุ่มเดียวกันใช้สูตร t – test ดังนี้ สู ตร เมื่อ d ดาเนินโครงการ หาได้ดงั นี้

S

2 d

=

d S d2 / n

คือ ค่าเฉลี่ยของคะแนนผลต่างระหว่างหลังดาเนินโครงการ กับก่อน

d = S d2

t

d n

คือ ค่าความแปรปรวนของคะแนนผลต่าง คานวณจากสู ตร =

n  d 2   d 2 n ( n  1)

3) ทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยมากกว่าสองตัว ใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวน Analysis of Variance-ANOVA ข้ อตกลงเบือ้ งต้ นในการวิเคราะห์ ความแปรปรวน 1. ตัวอย่างได้มาจากการสุ่ ม 2. ความแปรปรวนของประชากรเป็ นเอกพันธ์ 12 = 22 = 32 = 2 3. การแจกแจงของประชากรเป็ นโค้งปกติ การตั้งสมมติฐาน H0 :  1 = 2 =  3 H1 : อย่างนัอยมี  อยู่ 1 คู่ที่แตกต่างกัน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) ตรวจสอบความแตกต่าง ระหว่างค่าเฉลี่ยของตัวแปรตามเพียงตัวเดียว โดยที่แบ่งตัวแปรอิสระมากกว่าสองประเภทหรื อระดับ เป็ นการวิเคราะห์ ความแปรปรวนของตัวแปรเดี่ยว (Univariate ANOVA /simple ANOVA/single classification ANOVA) มีตวั แปรตาม 1 ตัว และตัวแปรอิสระ 1 ตัวที่มีมากกว่า 2 ระดับ

166


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ทาไมจึงเรียกว่าการวิเคราะห์ ความแปรปรวน การวิเคราะห์ความแปรปรวนเป็ นการทดสอบความมีนยั สาคัญทางสถิติของค่าเฉลี่ย 2 ค่าขึ้นไป แนวคิดคือ ความแตกต่างในตัวแปรตามเป็ นผลจาก 2 ส่ วน ส่ วนหนึ่งเป็ นผลจากตัวแปรอิสระ อีกส่ วนเป็ นผลจากอย่างอื่นที่ไม่ใช่ตวั แปรอิสระ(เรี ยกว่าความคลาดเคลื่อน) วิธีการวิเคราะห์จึงทาโดย การแบ่งความแปรปรวน(หรื อความแตกต่าง)ที่ได้จากการวิจยั เป็ นสองส่ วน คือความแปรปรวนที่เกิดจาก ตัวแปรการทดลอง และความแปรปรวนภายในกลุ่มที่ใช้ในการทดลองทั้งหมด จากนั้น เปรี ยบเทียบ ความแปรปรวนสองส่ วนนี้ ด้วยสถิติ F ความแปรปรวนอันเนือ่ งมาจากตัวแปรอิสระ

F=

ความแปรปรวนอันเนื่องมาจากความคลาดเคลือ่ น

เป็ นการเปรี ยบเทียบความแปรปรวนระหว่างผลจากตัวแปรอิสระและความแปรปรวน ภายในกลุ่มด้วยค่า F จากนั้นนาค่า F ที่คานวณได้มาเปรี ยบเทียบกับค่า F [; ( k - 1) , (n - k)] ที่ระดับ นัยสาคัญที่กาหนด เมื่อ k คือจานวนกลุ่มที่นามาเปรี ยบเทียบ และ n คือ จานวนข้อมูลทุกกลุ่ม รวมกัน ตัวอย่างที่ 6.10 ในตารางที่ 14 เป็ นข้อมูลที่ได้จากการวิจยั การให้อาหารเสริ ม 3 ชนิดแก่ สุ นขั 3 กลุ่ม ข้อมูลในตารางคือ น้ าหนักที่เพิ่มขึ้นของสุ นขั แต่ละตัว ตารางที่ 15 เป็ นตารางรู ปแบบการ นาเสนอผลทัว่ ไปของการวิเคราะห์ความแปรปรวน และตารางที่ 16 เป็ นผลการวิเคราะห์จากข้อมูลใน ตารางที่ 14 ตารางที่ 14 ค่ าเฉลีย่ และค่ าผลบวกกาลังสองทีไ่ ด้ จากการให้ อาหารเสริมแก่ สุนัข ตัวอย่าง ตัวที่ 1 ตัวที่ 2 ตัวที่ 3 ตัวที่ 4

กลุ่ม 1 2 1 2 3

กลุ่ม 2 5 4 3 4

กลุ่ม 3 3 4 2 3

ค่าเฉลี่ยของกลุ่ม xi ผลบวกกาลังสองภายในกลุ่ม 1 ค่าเฉลี่ยรวมทุกกลุ่ม X ผลบวกกาลังสองระหว่างกลุ่ม2

2 6 3 8

4

3

167


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

การคานวณค่าผลบวกกาลังสอง 1 (SSw) = [(2-2)2 + (1-2)2 + (2-2 ) 2 + (3-2) 2] + SSw ของกลุ่มที่ 1 =  ( x 1i  x 1 ) 2 SSw ของกลุ่มที่ 2 =  ( x 2i  x 2 ) 2 SSw ของกลุ่มที่ 1 =  ( x 3i  x 3 ) 2

[(5-4)2 + (4-4)2 + (3-4 ) 2 + (4-4) 2] + [(3-3)2 + (4-3)2 + (2-3 ) 2 + (3-3) 2] = 6

กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่ 3

การคานวณค่าผลบวกกาลังสอง 2 (SSb) =  ni X i  X =4 (2-3)2 + 4(4-3)2 + 4(3-3)2 =8 เมื่อคานวณค่าได้แล้วนามาเสนอในตารางซึ่ งมีรูปแบบตารางทัว่ ไป ดังนี้ ตารางที่ 15 รู ปแบบการนาเสนอตารางวิเคราะห์ ความแปรปรวนและการคานวณ แหล่งความแปรปรวน

df

ระหว่างกลุ่ม (b)

SS

MS

F

k-1

SSb/dfb

MSb/MSw

ภายในกลุ่ม (w)

n-k

SSw/dfw

รวม

n -1

จากนั้นใส่ ขอ้ มูลที่ได้จากการคานวณข้างบน ดังตารางที่ 16 ตารางที่ 16 ผลการวิเคราะห์ ความแปรปรวน (จากการวิเคราะห์ ในตารางที่ 14) แหล่ง

SS

df

MS

ระหว่างกลุ่ม ภายในกลุ่ม รวม

8 6 14

2 9

4 .67

F 4/.67=5.97

P .05

จะเห็นว่าค่าผลบวกกาลังสองมีค่า = 14 และแบ่งได้เป็ น 2 ส่ วน คือ 8 และ6 โดยที่ ผลบวก กาลังสองภายในกลุ่มไม่สามารถอธิ บายที่มาได้ ดังนั้นจึงเป็ นผลบวกกาลังสองของความคลาดเคลื่ อน ในขณะที่ผลบวกกาลังสองระหว่างกลุ่มอธิ บายได้ว่าเนื่ องมาจากความแตกต่างระหว่างกลุ่มหรื ออีกนัย หนึ่งคือระหว่างตัวแปรอิสระที่ต่างกันหรื อที่ต่างระดับกัน 168


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

การแปลความหมาย ตารางที่ 16 แสดงผลของการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว SS คือผลต่าง กาลังสอง df คือองศาแห่งความเป็ นอิสระ MS คือความแปรปรวน ค่า F คือค่าที่ได้จากการเปรี ยบเทียบ ความแปรปรวน 2 ค่า (ในที่น้ ีคือความแปรปรวนระหว่างกลุ่มหารด้วยความแปรปรวนภายในกลุ่ม) เนื่องจากค่าความแปรปรวนระหว่างกลุ่มมีค่ามากกว่าความแปรปรวนภายในกลุ่ม ดังนั้นตัวแปรแบ่งกลุ่ม จึงมีผล เห็นได้จากการที่ค่า F มีค่ามากกว่า 1 เนื่องจากตัวแปรแบ่งกลุ่มมีค่าเป็ น 3 ระดับ ดังนั้น ค่า df ระหว่างกลุ่มจึงมีค่าเป็ น 2 จานวนข้อมูลทุกกลุ่มรวมกันคือ 12 และ df ภายในกลุ่มมีคา่ เป็ น 12-3 = 9 ใน กรณี ที่วเิ คราะห์ดว้ ยโปรแกรมสาเร็ จรู ปส่ วนใหญ่จะระบุระดับนัยสาคัญของค่า F ที่ได้มาให้ แต่ในกรณี ที่ ไม่ได้ระบุ จะต้องเปิ ดตารางการแจกแจงของ F ซึ่ งค่าที่ระดับนัยสาคัญ .05 ที่ df = 2,9 (ค่า df ของ ความแปรปรวนที่มากกว่า , df ของความแปรปรวนที่นอ้ ยกว่าตามลาดับ) ได้ค่าวิกฤติของ F = 4.26 แสดงว่าตัวแปรแบ่งกลุ่มหรื อตัวแปรอิสระมีผลแตกต่างในตัวแปรตาม ตัวอย่างที่ 6.11 จากการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของวิธีการเสริ มแรง 3 วิธี จากกลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่มที่เป็ นอิสระต่อกัน สุ่ มมาจากประชากรที่มีการกระจายเป็ นโค้ง ปกติและมี ความแปรปรวนเท่ากัน ผลการวิเคราะห์จะได้ค่าที่ตอ้ งการทั้งหมดดังตาราง ตารางที่ 17 ตารางวิเคราะห์ ความแปรปรวน แหล่งความแปรปรวน ระหว่างกลุ่ม(b) ภายในกลุ่ม(w) รวม

df 2 27 29

MSb SS MS F= MSw 3889.87 1943.44 31.53 1664.10 61.63 5550.97 191.41

เปรี ยบเทียบค่า F ที่คานวณได้จากข้อมูลที่ศึกษา กับ ค่า จากตารางซึ่ง F(.01; 2,27)=5.57 พบว่าวิธีการเสริ มแรงที่ต่างกันให้ผลที่แตกต่างกัน การวิเคราะห์ ภายหลังด้ วยการเปรี ยบเทียบพหุคูณ (Multiple Comparison) เมื่อปฏิเสธ H0 จากการวิเคราะห์ความแปรปรวนแสดงว่าต้องมีอย่างน้อย 1 คู่ที่มีความ แตกต่างกัน ดังนั้นต้องมีการทดสอบความแตกต่างรายคู่เท่าที่เป็ นไปได้ ( = kC2 คู่ k = จานวนกลุ่ม) พร้อมๆกัน เรี ยกว่าการ เปรี ยบเทียบพหุ คูณซึ่ งมีหลายวิธี เช่น = Tukey’s HSD Test = Newman - Keuls test = Duncan’s test = Sheffe’s method (หรื อ S method) 169


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

6.4 การวิเคราะห์ และความหมายผลการวิเคราะห์ ข้อมูลด้ วยสถิติติอ้างอิงหรือสถิติทดสอบ แบบนันพาราเมตริก 6.4.1 แนวคิดทัว่ ไปเกี่ยวกับการทดสอบด้วยสถิตินนั พาราเมตริ ก 6.4.2 สถิตินนั พาราเมตริ ก ที่ใช้ในการทดสอบความแตกต่าง 6.4.3 การวิเคราะห์ขอ้ มูลด้วยสถิตินนั พาราเมตริ ก 6.4.1 แนวคิดทัว่ ไปเกี่ยวกับการทดสอบด้ วยสถิตินันพาราเมตริก คานี้ใช้เป็ นครั้งแรกโดย Wolfowitz, 1942 การทดสอบนันพาราเมตริ ก นามาใช้ ทดสอบทางสถิติในกรณี ที่ผวู ้ ิจยั ไม่มีความรู ้เกี่ยวกับการแจกแจงของตัวอย่างหรื อค่าพารามิเตอร์ ของตัว แปรในประชากรของกลุ่มที่นามาศึกษา ดังนั้นการทดสอบนี้จึงไม่ได้ทาเพื่อการประมาณค่าพารามิเตอร์ เช่นการทดสอบค่าเฉลี่ยหรื อค่าส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ใช้การทดสอบด้วยสถิติพาราเมตริ ก ดังนั้น บางครั้งจึงเรี ยกการทดสอบแบบนันพาราเมตริ กว่าเป็ นการทดสอบที่ไม่อิงรู ปแบบของการกระจาย หรื อ การทดสอบที่ไม่อิงค่าพารามิเตอร์ (distribution-free หรื อ parameter-free ) การพิจารณานาสถิตินนั พาราเมตริ กมาใช้น้ นั เกิดจากการพบกรณี ในการศึกษา ดังต่อไปนี้ 1) การแจกแจงความถี่ของเหตุการณ์ที่ศึกษา : เหตุการณ์หรื อตัวแปรที่นามาศึกษามีการ แจกแจงที่ไม่อยูใ่ นรู ปปกติ ไม่เหมาะที่จะใช้ค่าเฉลี่ยมาทดสอบ 2) ขนาดหรื อจานวนตัวอย่าง : ขนาดหรื อจานวนตัวอย่างมีความสัมพันธ์กบั ข้อตกลง เบื้องต้นในการใช้สถิติทดสอบในเรื่ องการแจกแจงของตัวอย่างที่เป็ นปกติ โดยทัว่ ๆไป แม้จะไม่แน่ใจ แต่ถา้ จานวนหรื อขนาดใหญ่พอ เช่น 100 ขี้นไป อาจสันนิษฐานได้วา่ มีการแจกแจงของตัวแปรที่ศึกษาที่ อยูใ่ นรู ปปกติ อย่างไรก็ตาม ถ้าตัวอย่างมีขนาดเล็กมาก ไม่แน่ใจว่าตัวแปรที่ทดสอบมีการกระจายเป็ น ปกติ ก็สามารถใช้การทดสอบด้วยสถิตินนั พาราเมตริ ก 3) ปัญหาทางการวัด : การใช้การทดสอบที่มีขอ้ ตกลงเบื้องต้นในด้านการแจกแจงปกติ จะมีขอ้ จากัดถ้าตัวแปรที่วดั ไม่อยูใ่ นระดับที่เป็ นไปตามข้อตกลงเบื้องต้น ตัวอย่างเช่น ในการศึกษาโดย ใช้ระดับคะแนนในการวัดตัวแปรที่จะศึกษา ผลการวัดจะไม่สามารถเปรี ยบเทียบกันได้ในลักษณะของ ความเท่ากันของหน่วยการวัดแต่ละหน่วย เนื่องจากเป็ นการวัดรระดับจัดลาดับ ซึ่ งในการทดสอบแบบ พาราเมตริ กถือว่าเป็ นการฝ่ าฝื นข้อตกลงในการใช้การทดสอบทางสถิติ ซึ่ งต้องเป็ นการวัดในระดับ อันตรภาคขึ้นไป โดยทัว่ ไป การใช้สถิติไร้พารามิเตอร์ มีคุณสมบัติดงั นี้ (1) คานวณค่าสถิติได้ง่าย ไม่ซบั ซ้อน (2) ใช้กลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กได้โดยไม่เกิดความคลาดเคลื่อนในการ ทดสอบ 170


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

(3) (4) (5) (6) (7)

ใช้ได้กบั ข้อมูลทุกระดับมาตรการวัด การแจกแจงของประชากรไม่จาเป็ นต้องเป็ นการแจกแจงปกติ ใช้ง่าย สะดวก รวดเร็ ว มีขอ้ ตกลงน้อย ไม่ยงุ่ ยาก ถ้าข้อมูลไม่เป็ นไปตามข้อตกลงเบื้องต้นของการใช้สถิติพาราเมตริ ก การใช้สถิตินนั พาราเมตริ กทดสอบจะให้อานาจการทดสอบสู งกว่า

6.4.2 สถิตินันพาราเมตริกทีใ่ ช้ ในการทดสอบความแตกต่ าง โดยทัว่ ไปแล้ว จะมีวธิ ี การทดสอบแบบนันพาราเมตริ กอย่างน้อยหนึ่งวิธีที่ใช้เทียบแทน การทดสอบชนิดพาราเมตริ ก ซึ่ งอาจจาแนกได้ดงั นี้ 6.4.2.1 การทดสอบกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียว 6.4.2.2 การทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่มตัวอย่างที่เป็ นอิสระจากกัน 6.4.2.3 การทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปร 2 ตัวที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างที่ ไม่เป็ นอิสระจากกันหรื ออีกนัยหนึ่ง มีความสัมพันธ์กนั 6.4.2.4 การทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่มตัวอย่างที่เป็ นอิสระกันมากกว่า 2 กลุ่ม ตารางที่ 18 นาเสนอสถิติทดสอบแบบนันพาราเมตริ กต่างๆ ที่ใช้ในการทดสอบสมมติ ฐานเกี่ยวกับตัวแปรที่ศึกษา

171


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 18 การนาเสนอสถิติทดสอบแบบสถิติพาราเมตริกและนันพาราเมตริก ทีใ่ ช้ ในการทดสอบ สมมติฐานเกีย่ วกับตัวแปรที่ศึกษา การทดสอบ การทดสอบแบบนันพาราเมตริ ก แบบพาราเมตริ ก 1 กลุ่ม เปรี ยบเทียบค่าของ Z หรื อ t Nominal: 2 - test, Binomial test, ตัวอย่างกับค่าของประชากร Ordinal: Kolmokorov-Smirnov one sample test, One sample run test เปรี ยบเทียบกลุ่มประชากร z หรื อ t-test Nominal: Fisher exact probability test สองกลุ่มที่เป็ นอิสระต่อกัน สาหรับข้อมูลที่ Ordinal: Median test, Mann Whitney U test, เป็ นอิสระต่อกัน Wilcoxon rank-sum test, Kolmokorov-Smirnov two samples test, Wald-Wolfowitz Runs test Interval: Randomisation test for 2 indept samples ตรวจสอบความมีนยั สาคัญ t-test สาหรับ Nominal: McNemar test ของกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กนั ข้อมูลที่สัมพันธ์ Ordinal: Sign test, Wilcoxon matched pairs สองกลุ่มหรื อของกลุ่มเดียวที่มี กัน signed-rank test การวัดซ้ าสองครั้ง Interval: Walsh test, Randomisation for matched pairs การวิเคราะห์ความแปรปรวน F-test Cochran Q test เปรี ยบเทียบกลุ่มตั้งแต่สาม One way Nominal: Cochran Q test กลุ่ม independent Ordinal: การวิเคราะห์ความแปรปรวนของการ groups จัดลาดับของ Kruskal-Wallis (Kruskal-Wallis analysis of ranks ) เปรี ยบเทียบกลุ่มต่าง ๆ ที่แบ่ง การวิเคราะห์ Ordinal: Friedman 2 way ANOVA ด้วยองค์ประกอบสอง ความแปรปรวน องค์ประกอบ สองทาง สหสัมพันธ์ (2 กลุ่มไม่อิสระ) สัมประสิ ทธิ์ Nominal: Contingency Coefficient ประเมินความสัมพันธ์เชิง สหสัมพันธ์ของ Ordinal: Spearman rank correlation เส้นตรงระหว่างสองตัวแปร Pearson coefficient, Kendall rank correlation coefficient,Kendall coefficient of concordance วัตถุประสงค์การทดสอบ

172


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

6.4.3 การวิเคราะห์ ข้อมูลด้ วยสถิตินันพาราเมตริก เนื้อหาที่นาเสนอต่อไปนี้ เป็ นการนาสถิติพาราเมตริ กบางตัวที่ใช้กนั บ่อยมานาเสนอ ดังนี้ 6.4.3.1 การทดสอบกลุ่มตัวอย่ างกลุ่มเดียว วัดครั้งเดียวหรื อข้อมูลชุดเดียวเป็ นการ ทดสอบความพอดีของการกระจาย (test goodness of fit) เป็ นการทดสอบว่า ความถี่ของสิ่ งที่ศึกษาอยู่ ในรู ปหรื อขนาดเดียวกันกับความถี่ที่คาดหวังไว้ตามทฤษฎีหรื อไม่ สถิติที่ใช้ได้แก่ ไคสแควร์ (Chisquare Goodness of Fit Test ) และ Kolmogorov-Smirnov One Sample Statistic Test 1) การทดสอบความพอดีของการกระจาย ด้ วยไคสแควร์ ทดสอบว่าความถี่ของสิ่ งที่ศึกษาอยูใ่ นรู ปหรื อขนาดเดียวกันกับความถี่ที่คาดหวังไว้ ตามทฤษฎีหรื อไม่ เมื่อ O คือความถี่ที่สังเกตได้ วัดได้ เมื่อ E คือความถี่ที่คาดหวัง ความถี่ตามทฤษฎี 1.1) ในกรณี ที่ความถี่ตามทฤษฎีมีค่าเท่ากัน(โดยพิจารณาจากข้อมูลว่า โอกาสของการ เกิดเหตุการณ์ตามทฤษฎีจะเท่ากันจริ งหรื อไม่ ตัวอย่างที่ 6.12 : จากการโยนลูกเต๋ า 120 ครั้ง พบว่าจานวนครั้งที่เกิดในแต่ละหน้าเป็ น ดังตารางข้างล่างนี้ ให้ทดสอบว่า ลูกเต๋ านี้ ลาเอียงหรื อไม่ ตารางที่ 19 แสดงจานวนครั้ งทีเ่ กิดจากการโยนลูกเต๋ า 1

2

3

4

5

6

รวม

จานวนครั้งที่เกิด 17

28

12

15

23

25

120

หน้ าลูกเต๋ า

กรณี ที่ลูกเต๋ าเป็ นปกติ ค่า E ตามทฤษฎีของการเกิดแต่ละหน้า มีค่า = 20 ทุกหน้า H0: จานวนการเกิดแต่ละหน้าเท่ากัน (ไม่ต่างกัน) H1: จานวนการเกิดแต่ละหน้าไม่เท่ากัน (ต่างกัน) คานวณค่า  จากสู ตร 2

2 

(O  E ) 2   E 2

(20  17) 2 (20  28) 2 (20  12) 2 (20  15) 2 (20  23) 2 (20  25) 2       20 20 20 20 20 20

9.8

173


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตาราง

เปรี ยบเทียบค่า 2 ที่คานวณได้จากการทดลอง กับค่า 2 ตามทฤษฎี ซึ่งหาได้จาก 2(,หรื อ df ) ซึ่ งในที่น้ ี =.05 df= จานวนหน้าลูกเต๋ า-1 = 6-1=5 2(.05,5)= 11.07 เปรี ยบเทียบแล้วสรุ ปได้วา่ จานวนการเกิดแต่ละหน้าไม่แตกต่างกัน

1.2) กรณี ที่ความถี่ตามทฤษฎี มีรูปแบบของตนโดยเฉพาะซึ่ งอาจมีสัดส่ วนไม่เท่ากัน เช่นในการวิจยั เชิ งสารวจครั้งหนึ่ ง พบว่าได้ตวั อย่างที่ศึกษาจานวน 100 คน มีสัดส่ วนอาชี พ รับราชการ ค้าขาย เกษตรกร และธุ รกิจ เป็ นสัดส่ วน 10 25 40 25 ในขณะที่สัดส่ วนอาชี พในประชากรเป็ น 10 15 50 25 สัดส่ วนของตัวอย่างต่างจากสัดส่ วนในประชากรหรื อไม่ H0 : สัดส่ วนอาชีพของตัวอย่างเหมือนกับสัดส่ วนอาชีพของประชากร H1 : สัดส่ วนของตัวอย่างต่างจากสัดส่ วนของประชากร รับราชการ ค้ าขาย E 10 15 15 30 O Oรับราชการ = .15100 =15 Oค้าขาย = .30100 = 30 Oเกษตรกร = .40100 = 40 Oธุรกิจ = .15100 =15 คานวณค่า 2 จากสู ตร 2 

2  

เกษตรกร ธุรกิจ 50 25 40 15 Eรับราชการ = .10100 =10 Eค้าขาย = .15100 = 15 Eเกษตรกร = .50100 = 50 Eธุรกิจ = .25100 =25

(O  E ) 2 E

(10  15) 2 (15  30) 2 (50  40) 2 (25  15) 2     15 30 40 15

18.333

เปรี ยบเทียบค่า 2 ที่คานวณได้จากการทดลอง กับค่า 2 ตามทฤษฎี ซึ่งหาได้จากตารางที่ 2(,หรื อ df ) ซึ่ งในที่น้ ี =.05 = (จานวนแถว-1)(จานวนสดมภ์-1)=3x1=3 2(.05,3)= 7.82 ค่า 2 ที่คานวณได้มีค่ามากกว่าค่าจากตาราง สรุ ปได้วา่ สัดส่ วนของตัวอย่างแตกต่างจาก สัดส่ วนของประชากร 2) การทดสอบความพอดีของการกระจายทีเ่ กิดขึน้ จริงกับค่ าคาดหวังด้ วย Kolmogorov-Smirnov Test เป็ นการทดสอบความพอดีของการกระจายที่เกิดขึ้นจริ งกับ ที่คาดหวัง ใช้ได้ดีกบั กรณี ขอ้ มูลอยูใ่ นระดับจัดลาดับ โดยใช้เปรี ยบเทียบค่าความถี่สะสมที่คาดหวังและ 174


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ที่เกิดจริ ง ตาราง

พิจารณาความแตกต่างที่สูงสุ ดว่าเป็ นเท่าไร

แล้วนาค่านั้นไปเปรี ยบเทียบกับค่าวิกฤตจาก

ตัวอย่างที่ 6.13 จากการศึกษาการได้รับจองตัวให้ทางานหลังจากจบการศึกษา ของ นักศึกษาปี ที่ 3-6 จานวน 12 คน ได้ผลดังนี้ ปี ทีศ่ ึกษา จานวนทีไ่ ด้ รับการจองตัว 3 0 4 1 5 4 6 7 จะสรุ ปผลการศึกษานี้วา่ อย่างไร สมมติฐานศูนย์ คือ : ไม่มีความแตกต่างระหว่างนักศึกษาต่างชั้นปี ในการได้รับการจองตัว ความ แตกต่างที่เห็นอาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญ สมมติฐานทางเลือก คือ : มีความแตกต่างระหว่างนักศึกษาต่างชั้นปี ในการได้รับการจองตัว ความ แตกต่างที่เห็นอาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญ นาข้อมูลเข้าตาราง เพื่อหาค่าความถี่สะสมและความแตกต่างดังข้างล่าง กาหนดให้  = 0.05 ตารางที่ 20 ตารางการหาค่ าความถี่สะสมและความแตกต่ างระหว่างนักศึกษาต่ างชั้นปี ปี ที่ศึกษา

3

4

5

6

ความถี่ที่คาดหวัง

3/12 3/12 3/12 3/12

ความถี่สะสมที่คาดหวัง

3/12 6/12 9/12 12/12

ความถี่สะสมทีเป็ นจริ ง

0/12 1/12 5/12 12/12

ความแตกต่าง

3/12 5/12 4/12 0/12

ค่าสู งสุ ดจากการคานวณด้วยข้อมูลจริ งคือ 5/12= 0.417 ค่าสู งสุ ด จากตารางที่ n = 12  = 0.05 คือ 0.375 ซึ่ งมีค่าน้อยกว่าค่าที่ได้จากข้อมูลที่ศึกษามา ดังนั้นปฏิเสธสมมติฐานศูนย์ ยอมรับ 175


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สมมติฐานวิจยั ที่ระดับความเชื่อมัน่ 95 % เนื่ องจากค่าจากข้อมูลจริ งสู งกว่าค่าวิกฤต สรุ ปได้วา่ ชั้นปี ที่ เรี ยนมีความสัมพันธ์กบั การจองตัวทางาน ผูอ้ ่านจะสังเกตได้วา่ ในกรณี น้ ี ถ้ากาหนดค่า  = 0.01 จะได้คา่ จากตาราง = 0. 450 มีค่ามากกว่าค่าที่ได้จากข้อมูลที่ศึกษามา หมายความว่า ยอมรับสมมติฐานศูนย์ ด้วยความเชื่อมัน่ 99% ว่า ชั้นปี ที่เรี ยนไม่มีความสัมพันธ์กบั การจองตัวเข้าทางาน 6.4.3.2 การทดสอบความแตกต่ างระหว่างประชากร 2 กลุ่มทีเ่ ป็ นอิสระจากกัน สถิติทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวอย่าง 2 กลุ่มที่เป็ นอิสระต่อกันมีอยู4่ วิธี สถิติที่ นิยมใช้กนั มากที่สุด คือ Mann-Whitney U test (เทียบเท่าได้กบั t-test) ทดสอบว่าฟังก์ชนั การกระจายของ ประชากรสองกลุ่มเหมือนกัน (และใช้เป็ นการทดสอบภายหลังจากการทดสอบด้วย Kruskall-Wallis test แล้วพบว่ามีนยั สาคัญด้วย ) ใช้ในการทดสอบในกรณี ขอ้ มูลมีระดับการวัดในระดับจัดลาดับหรื อสู ง กว่า รองลงมาได้แก่ค่าสถิติ Wald-Wolfowitz run test การทดสอบค่ามัธยฐาน (The Median test)และ Kolmogorov-Smirnov test สาหรับค่าสถิติ Moses extreme reactions test แม้วา่ จะใช้ทดสอบกลุ่ม ตัวอย่างสองกลุ่ม แต่ใช้ได้เฉพาะการตรวจสอบผลจากการให้ตวั แปรอิสระในการวิจยั เชิงทดลอง โดยที่ ตัวแปรทดลองมีผลแบบ 2 ทิศทางมากกว่าแบบทิศทางเดียว ดังนั้นวิธีน้ ี จึงนิยมใช้เมื่อผูว้ จิ ยั คาดว่าจะ ทดสอบแบบสองทิศทาง มากกว่าแบบทิศทางเดียว ตัวอย่างที่นามาเสนอคือ สถิติ Mann-Whitney test การจะใช้ Mann-Whitney test ต้อง ถามตัวเองว่า ข้อมูลเป็ นคู่หรื อไม่ ถ้าข้อมูลมีลกั ษณะจับกันเป็ นคู่ ๆ แล้ว ควรเลือกใช้ Wilcoxon test แทน การทดสอบนี้ใช้การจัดลาดับที่จากต่าไปสู ง และเปรี ยบเทียบลาดับเฉลี่ยของสองกลุ่ม MannWhitney test ไม่มีขอ้ ตกลงเรื่ องการกระจายแบบปกติของประชากร แต่มีขอ้ ตกลงว่า รู ปร่ างของการ กระจายของสองกลุ่มต้องคล้ายคลึงกัน ถ้าการกระจายของสองกลุ่มต่างกันมาก การแปลงข้อมูลอาจทา ให้การกระจายมีความคล้ายคลึงกันมากขึ้น แนวคิดหลักและนิยามศัพท์ ตัวอย่างทีเ่ ป็ นอิสระ ตัวอย่างมีความเป็ นอิสระต่อกันถ้าการตอบของตัวอย่างคนที่ n ใน กลุ่มหนึ่งไม่เป็ นฟังชันก์ของการตอบของคนที่ n ในตัวอย่างกลุ่มแรก เรี ยกอีกอย่างว่าตัวอย่างทั้งหลาย ไม่มีความสัมพันธ์กนั หรื อเกี่ยวข้องกัน ตัวอย่างที่ไม่ใช่ตวั อย่างที่เป็ นอิสระต่อกัน ได้แก่ตวั อย่างที่ให้ ข้อมูลสองครั้ง ก่อน หลัง ตัวอย่างที่ได้จากการจับคู่ผทู ้ ี่มีลกั ษณะคล้ายคลึงกัน แล้วแยกเข้ากลุ่มคนละ กลุ่ม เป็ นต้น

176


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

วิธีการคานวณ การคานวณค่ า U 1) ให้ n เป็ นขนาดของตัวอย่างแต่ละกลุ่มที่เป็ นอิสระต่อกันที่ตอ้ งการทดสอบนัยสาคัญ คือกลุ่ม A และ B และให้ขอ้ มูลมีการเรี ยงลาดับจากที่มีค่าของข้อมูลน้อยสุ ดจนถึงที่มีค่าของข้อมูล สู งสุ ดคือจาก a ถึง k รวมกลุ่มทั้งสองเข้าด้วยกัน แล้วจัดลาดับใหม่ สมมติวา่ นามาเรี ยงลาดับใหม่ได้ดงั ตารางที่ 21 ตารางที่ 21 แสดงมีการเรียงลาดับจากทีม่ ีค่าของข้ อมูลน้ อยสุ ดจนถึงทีม่ ีค่าของข้ อมูลสู งสุ ด ลาดับ 1 1 2 3 4 5 5 6 7 8 9 9 10 11 12 13 กลุ่มเดิม A B B A B A A A B A A B A B B B ให้กลุ่ม A มีจานวนสมาชิกในกลุ่มมากกว่า กลุ่ม B 2) ให้ Ua เป็ นผลรวมของจานวนสมาชิกในกลุ่ม A ที่อยูใ่ นลาดับก่อนสมาชิกคนแรก ของ B บวกกับจานวนสมาชิกของ A ที่อยูก่ ่อนสมาชิกของ B คนที่สอง (นับรวมตั้งแต่ A คนแรก ) บวกกับจานวนสมาชิกของ A ที่อยูใ่ นลาดับที่ก่อนสมาชิ กของ B คนที่สาม โดยนับตั้งแต่ สมาชิกของ A คนแรก ทาอย่างนี้ จนถึงจานวนสมาชิกของ A ที่อยูใ่ นลาดับที่ก่อน สมาชิกของ B คนสุ ดท้าย ในที่น้ ี สมาชิกของ B มี 8 คน ดังนั้น ค่า Ua = 1 + 1 + 2 + 5 + 7 + 8 + 8 + 8 = 40 ให้ Ub เป็ นค่าที่ได้จากจานวนสมาชิกใน B ยกกาลังสอง แล้ว ลบด้วยค่า Ua ค่า Ub = (8*8)-40 = 24 หมายเหตุ สามารถหาค่าของ Ub ได้เช่นเดียวกับวิธีการหาค่า Ua แต่สลับกัน โดยค่าที่ ได้คือผลรวมของจานวนของสมาชิกใน B ที่อยูใ่ นลาดับก่อนสมาชิกของ A คนที่หนึ่ง จนถึงคนสุ ดท้าย ให้ U มีค่าเท่ากับ Ua หรื อ Ub แล้วแต่ค่าใดจะมีค่าน้อยกว่า ในที่น้ ี ค่า Ub มีค่าน้อยกว่า ค่า Ua ดังนั้น U มีค่า = 24 จากนั้นพิจารณาค่าความน่าจะเป็ นของ U ในตารางที่คา่ n1 = 8, n2 = 8, and U=24, ได้ ค่าความน่าจะเป็ นที่ระดับนัยสาคัญ .221ดังนั้น จึงไม่สามารถสรุ ปได้วา่ กลุ่มทั้งสองมีความต่างกันอย่าง 177


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

มีนยั สาคัญที่ระดับนัยสาคัญ .05 ในทางปฏิบตั ิ เราสามารถคานวณค่าความน่าจะเป็ นของ U ได้ดว้ ยโปรแกรมสาเร็ จรู ป SPSS โดยมีผลการทดสอบแบบสองทาง 6.4.3.3 การทดสอบความแตกต่ างระหว่างตัวแปรทีไ่ ด้ จากประชากรทีไ่ ม่ เป็ นอิสระจาก กันหรืออีกนัยหนึ่ง มีความสั มพันธ์ กนั การทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างที่มีความสัมพันกัน ทดสอบความแตกต่างของกลุ่ม แทนการทดสอบด้วย t-test ด้วย Sign test และ Wilcoxon's matched pairs test หรื อ Wilcoxon signed rank test ซึ่ งใช้ทดสอบว่า ค่ามัธยฐานของประชากรที่มีการแจกแจง เหมือนกันมีค่าเป็ นศูนย์หรื อไม่ ในกรณี ที่วดั ตัวแปรแบบแบ่งสอง เช่น ผ่าน ไม่ผา่ น หรื อเห็นด้วย ไม่ เห็นด้วย ซึ่ งอยูใ่ นการวัดระดับนามบัญญัติแบบสองกลุ่ม ทดสอบด้วย McNemar's Chi-square ตัวอย่างการทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่มตัวอย่างที่มีความสัมพันธ์กนั ด้วย sign test หรื อการ ทดสอบเครื่ องหมายซึ่งเหมาะที่จะใช้ในกรณี ของการวัดตัวแปรระดับจัดลาดับหรื อนามบัญญัติกระบวน การทาโดยการให้เครื่ องหมาย (+ หรื อ -) ใช้ในกรณี ที่มีระดับ การวัดแบบไม่ต่อเนื่ อง และการกระจาย ของข้อมูลไม่เป็ นแบบแผน ตัวอย่างที่ 6.14 จากการประเมินคนงานซึ่งทาโดยผูบ้ งั คับบัญชาในระดับสู ง และ ผูบ้ งั คับบัญชาโดยตรง เป็ นผูป้ ระเมิน แล้วนาคะเนนที่ได้มารวมกัน แล้วจึงใช้ผลการประเมินในการ พิจารณาขึ้นเงินเดือน การประเมินใช้มาตรประเมินค่า 1-5 ระดับ แต่ละระดับมีค่าเงินเพิ่มระดับละ 2% ผูบ้ ริ หารสงสัยว่า การประเมินจากผูบ้ งั คับบัญชาระดับสู งอาจมีลกั ษณะที่เบ้ เนื่ องมาจากความลาเอียง เท่า ๆ กับการที่ไม่รู้จกั ผูท้ ี่ได้รับการประเมินดีพอ ดังนั้นจึงลองใช้คะแนนของลูกจ้างจานวน 20 คน ที่มี ผลงานที่บนั ทึกเป็ นลายลักษณ์อกั ษร และเป็ นที่ประจักษ์ทวั่ ไปว่าอยูใ่ นระดับสู งกว่าค่าเฉลี่ยมาใช้ดว้ ย พบคะแนนจากการประเมินดังข้างล่าง โดยมีคาถามว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนยั สาคัญเกิดขึ้น หรื อไม่

178


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 22 แสดงผลการประเมินคนงานโดยผู้บังคับบัญชาและจากการประเมินเอกสาร

พนัก งาน คนที่

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20

(1) ผล การ ประเมิน เอกสาร

(2) ผล จาก ผูบ้ งั คับ บัญชา โดยตรง

1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1

1 2 1 2 2 1 3 1 1 2 2 2 1 1 1 2 3 2 1 1

(3) ผล (4) ความ (5) ความ (6)ทิ (7) สัญ จาก แตกต่าง แตก ต่าง ศทา ลักษณ์ ผูบ้ งั คับ ระ หว่าง ระหว่าง ง บัญชา (1)และ (1)และ ระดับสู ง (2) (3)

0 1 0 1 1 0 2 0 0 1 1 1 0 0 0 1 2 1 0 0

0 1 0 1 1 0 2 0 0 1 1 1 0 0 0 1 2 1 0 0

1 1 1 2 1 2 1 0 1 0 1 2 1 1 0 1 1 2 1 1

< = < < = < > = < > = < < < = = > < < <

+ 0 + + 0 + 0 + 0 + + + 0 0 + + +

สมมติฐานศูนย์ ของการทดสอบเครื่องหมาย คือไม่มีความแตกต่างระหว่างการวัดทั้ง สองครั้ง หรื อในกรณี น้ ี คะแนนของผูบ้ งั คับบัญชาทั้งสองระดับที่ประเมินพนักงานมีความคล้ายคลึงกัน ในภาพรวม หรื อ H0: M1 = M2 179


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เมื่อ M1 คือ ค่ามัธยฐานของ ความแตกต่างที่เกิดขึ้นในการประเมินจากเอกสารและ ผูบ้ งั คับบัญชาโดยตรง และ M2 คือ ค่ามัธยฐานของ ความแตกต่างที่เกิดขึ้นในการประเมินจากเอกสารและ ผูบ้ งั คับบัญชาชั้นสู ง กาหนดให้ระดับนัยสาคัญของการทดสอบคือ 0.05 และใช้ตารางแบบแบ่งสอง (Binomial Table) ดังที่นามาแสดงในภาคผนวก เพื่อทานายว่าความแตกต่างที่เกิดขึ้นในการประเมินจาก เอกสารและผูบ้ งั คับบัญชาโดยตรง มีค่าน้อยกว่าความแตกต่างที่เกิดขึ้นในการประเมินจากเอกสารและ ผูบ้ งั คับบัญชาชั้นสู ง หรื อ H1: M1 < M2 จากนั้นดาเนินการวิเคราะห์ดงั นี้ 1) พิจารณาทิศทางของค่าความแตกต่างและการให้สัญลักษณ์ 1.1) ถ้าค่าในสดมภ์ที่ (4) ต่ากว่าค่าในสดมภ์ที่ (5) แล้ว ทิศทางในสดมภ์ที่ (6) จะเป็ น “<” และสัญลักษณ์ในสดมภ์ที่ (7) จะเป็ น + 1.2) ถ้าค่าในสดมภ์ที่ (4) สู งกว่าค่าในสดมภ์ที่ (5) แล้ว ทิศทางในสดมภ์ที่ (6) จะเป็ น “>” และสัญลักษณ์ในสดมภ์ที่ (7) จะเป็ น 1.3) ถ้าค่าในสดมภ์ที่ (4) เท่ากับค่าในสดมภ์ที่ (5) แล้ว ทิศทางในสดมภ์ที่ (6) จะเป็ น “=” และสัญลักษณ์ในสดมภ์ที่ (7) จะเป็ น 0 2) ตัดข้อมูลที่มีสัญลักษณ์เป็ น 0 ในคอลัมน์ที่ 7 ออก จะเหลือข้อมูลที่นามา พิจารณาค่า p จากตาราง 14 ตัว 3) จากข้อมูลที่เหลืออยู่ 14 ตัวหรื อ 14 คู่ มีทิศทางเป็ น “+” อยู่ 11 ตัว และเป็ น “ - ” อยู่ 3 ตัว ดังนั้น ดูค่า p ได้ในตาราง Binomial Table ที่ N = 14 และ x = 3 ได้ค่า p = 0.029 4) แปลความหมายค่า p จากตารางที่ได้ = 0.029 ได้วา่ คาดว่าผูบ้ งั คับบัญชาทั้งสอง กลุ่มมีการให้คะแนนที่คล้ายกันประมาณ 2.9% ของทั้งหมด 5) เปรี ยบเทียบค่า p จากตาราง ที่ได้ = 0.029 ต่ากว่าค่า p ที่กาหนดคือ 0.05 ซึ่ งมีค่า สู งกว่าค่าที่ได้จากตาราง ดังนั้น เราจึงปฏิเสธสมมติฐานสู ญ

180


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ขอบเขตที่ p หรือ  = 0.05

-3

-2

-1

0

1

2

3

ขอบเขตที่ p = 0.029 ซึ่งอยู่ภายในขอบเขตที่ p = 0.05 6.4.3.3 การทดสอบความแตกต่ างระหว่ างกลุ่มตัวอย่ างมากกว่ า 2 กลุ่ม ค่า สถิ ตินันพารเมตริ ก ที่ ใช้ในการทดสอบความแตกต่ างระหว่างกลุ่ มตัวอย่า งที่ เป็ น อิสระต่อกันมากกว่า 2 กลุ่ม คือ Kraskal-Wallis analysis of variance ซึ่ งใช้สาหรับตัวแปรที่วดั ในระดับ จัดลาดับ 1) จัดลาดับข้อมูลรวมทุกกลุ่มเข้าด้วยกัน จากที่ต่าสุ ดเป็ น 1 จนถึงค่าสู งสุ ด 2) หาผลรวมของอันดับในแต่ละกลุ่ม เป็ นค่า Ri 3) หาค่าสถิติ H จากสู ตร N คือจานวนข้อมูลทั้งหมด และ ni คือจานวนข้อมูลในกลุ่ม i กรณี ที่มีขอ้ มูลอยูใ่ นตาแหน่งลาดับเดียวกัน หาค่า H จากสู ตรนี้ k Ri2 12   3( N  1) N ( N  1) i 1 ni Hc  (t 3  t )  1 N3  N

หรื อ

Hc  1

H  (t 3  t ) N3  N

เมื่อ t แทนจานวนข้อมูลที่มีค่าเท่ากัน เมื่อรวมข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกัน การทดสอบ นัยสาคัญของค่า H ที่คานวณได้มีอยู่ 2 กรณี คือ

181


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

1) เมื่อ k = 3 และจานวนตัวอย่างในแต่ละกลุ่มไม่เกิน 5 เปิ ดตารางที่ เพื่อหาค่า วิกฤติของ H ถ้าค่า H ที่คานวณได้มีค่ามากกว่าค่าจากตาราง หรื อค่าความน่าจะเป็ นที่ต้ งั ไว้มีค่ามากกว่า ความน่าจะเป็ นจากตาราง จะยอมรับ H0 2) กรณี n มีขนาดใหญ่พอ การแจกแจงของ H จะมีการแจกแจงแบบไคสแควร์ ดังนั้น จึงเปิ ดค่าไคสแควร์ ที่ df = k-1 ถ้าค่า H ที่คานวณได้มีค่าน้อยกว่าค่าจากตาราง ยอมรับ H0 การยอมรับ H0 แสดงว่า ประชากรทั้ง k กลุ่มมีการแจกแจงเหมือนกันหรื อมีค่าเฉลี่ย เท่ากัน ตัวอย่างที่ 6.15 การเปรี ยบเทียบวิธีสอน 3 วิธีวา่ ให้ผลต่างกันหรื อไม่ หลังจากสอนแล้ว ทดสอบได้คะแนนดังนี้ วิธีที่ 1 X 68 75 77 74 66 59 65

วิธีที่ 2

R1 16 20 21 19 15 10 14

X 39 44 60 40 55 63 49 57

รว 115 ม

R2 1 4 11 2 6 12 5 8 49

วิธีที่ 3 X 56 71 43 73 64 58

R3 7 17 3 18 13 9

67

คานวณค่า H จากสู ตร H

12 115 49 67      3(21  1) 21(21  1)  7 8 6

= 10.30

182


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ค่า 2 ที่ df = 2  = .01 มีคา่ = 9.21 น้อยกว่าค่าที่คานวณได้จากข้อมูลดังนั้น ไม่ ยอมรับ H0 สรุ ปว่าวิธีสอนทั้งสามวิธีมีความแตกต่างกัน การเลือกใช้ วธิ ีทดสอบด้ วยสถิตินันพาราเมตริก นักวิจยั ต้องเข้าใจแนวคิดของการใช้สถิตินนั พาราเมตริ กว่าเป็ นความพยายามของ นักวิจยั ที่จะหลีกเลี่ยงข้อตกลงเรื่ องการสุ่ มตัวอย่างที่มีขอ้ ตกลงว่าต้องสุ่ มจากประชากรที่มีการกระจาย เป็ นปกติ ดังนั้นถ้าแน่วา่ ใช้การสุ่ มตัวอย่างจากประชากรมีการกระจายเป็ นปกติแล้ว การทดสอบด้วย สถิตินนั พาราเมตริ กจะให้อานาจการทดสอบต่ากว่าสถิติพาราเมตริ ก ในภาพรวมนั้น สถิตินนั พาราเมตริ กแต่ละตัวมีความไว และจุดอ่อนแตกต่างกัน เช่น Kolmogorov-Smirnov ที่ใช้ทดสอบความแตกต่างของกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่ม นั้น ไม่เพียงแต่มีความไวต่อ ความแตกต่างในตาแหน่งของการกระจาย แต่ยงั มีผลอย่างมากจากความแตกต่างในรู ปทรงของการ กระจายด้วย ส่ วนการทดสอบคู่เท่าเทียมด้วย Wilcoxon test นั้น มีขอ้ กาหนดว่าต้องสามารถจัดลาดับ ของขนาดของความแตกต่างที่ได้จากการวัดเป็ นคู่ ๆ ได้อย่างมีความหมาย ถ้าทาไม่ได้ตามนั้นแล้วควร เลือกใช้การทดสอบเครื่ องหมาย (Sign test) แทน โดยทัว่ ไป ถ้าผลการศึกษามีความสาคัญเช่นการวิจยั ทางการแพทย์ ที่ตอ้ งการตอบคาถามวิจยั ว่า ยาที่มีราคาแพงมากและก่อให้เกิดความเจ็บปวดมากสามารถ ช่วยให้คนไข้ทุเลาอาการเจ็บป่ วยได้หรื อไม่แล้ว การตอบคาถามเช่นนี้ อาจต้องใช้การทดสอบด้วย สถิตินนั พาราเมตริ กหลายตัว ถ้าได้ผลการทดสอบมีความแตกต่างกัน ผูว้ จิ ยั ต้องพยายามหาเหตุผลและทา ความเข้าใจในความแตกต่าง อย่างไรก็ตาม สถิตินนั พาราเมตริ กมีอานาจทางสถิติ (อีกนัยหนึ่งคือความ ไว) น้อยกว่าสถิติทดสอบแบบพาราเมตริ กตัวที่เทียบเคียงกัน ดังนั้นถ้าการทดสอบที่ทาต้องสามารถ ตรวจสอบผลที่เกิดขึ้นได้แม้ในขนาดที่นอ้ ยเพียงใดก็ตาม เนื่องจากปริ มาณนั้นเป็ นสิ่ งที่สาคัญหรื อมีผลที่ สาคัญ เช่น ปริ มาณที่เพิ่มขึ้นแม้เพียงน้อยนิดของสารบางอย่างในอาหารก่อผลให้เกิดอันตรายต่อผูท้ ี่ บริ โภค กรณี เช่นนี้ ต้องระมัดระวังในการเลือกสถิติทดสอบที่เหมาะสมที่สุด ขนาดกลุ่มตัวอย่ างหรือข้ อมูลทีม่ ีขนาดใหญ่ กบั การใช้ สถิตินันพาราเมตริก สถิตินนั พาราเมตริ กมีความเหมาะสมในการใช้กบั ตัวอย่างขนาดเล็ก ถ้าตัวอย่างหรื อชุ ด ของข้อมูลมีขนาดใหญ่ เช่น มากกว่า 100 การใช้สถิตินนั พาราเมตริ กนับว่าไม่เหมาะสม เพราะเมื่อ จานวนตัวอย่างมีขนาดใหญ่ การกระจายของค่าเฉลี่ยของตัวอย่างจะเข้าใกล้การกระจายปกติ แม้วา่ ตัว แปรที่ทดสอบนั้นจะไม่มีการกระจายเป็ นปกติในประชากรก็ตาม ดังนั้นส่ วนใหญ่แล้ว กรณี ที่ตวั อย่างมี ขนาดใหญ่ ควรใช้สถิติทดสอบแบบพาราเมตริ กที่มีความไวมากกว่า และมีอานาจในการทดสอบสู งกว่า มีความเหมาะสมมากกว่า

183


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

184


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

บทที่ 7 การเขียนสรุป อภิปรายผล และข้ อเสนอแนะ 7.1 การสรุปผลและข้ อเสนอแนะ ในส่ วนของการสรุ ปผล เป็ นเรื่ องที่ผวู ้ จิ ยั จะต้องเก็บรวบรวมประเด็นที่สาคัญทั้งหมดมา เรี ยบเรี ยงให้ต่อเนื่ อง ตั้งแต่ตน้ จนจบอย่างย่อๆ ให้ผอู ้ ่านมองเห็นภาพได้ทนั ทีว่า งานวิจยั นั้นมีปัญหาที่ สาคัญอะไร ใช้วธิ ี การศึกษาปั ญหานั้นอย่างไร แล้วได้ผลออกมาเป็ นอย่างไร ในส่ วนของการสรุ ปผลควร พิจารณาดู ว่า รายงานวิจยั นั้นได้สรุ ปผลในประเด็นที่ สาคัญๆ อย่างสมเหตุ สมผล ซึ่ งอยู่ในกรอบของ ข้อมูลที่คน้ พบ หรื ออยูใ่ นกรอบข้อมูลของประชากรที่ศึกษาได้ชดั เจนมากน้อยแค่ไหน ไม่ควรสรุ ปใน รายละเอียดที่มีขอ้ มูลเพียงเล็กน้อย การวิจยั ที่ศึกษาเฉพาะกลุ่มตัวอย่างในบางกลุ่มหรื อบางพื้นที่ (case study) จะต้องระมัดระวังในการขยายผลสรุ ป (generalization) เกินขอบเขตของประชากรที่กาหนดเป็ น กรอบไว้ และผลการวิจยั นั้นถูกจากัดอยูใ่ นวงแคบ ซึ่ งอาจเป็ นจริ งเฉพาะกับประชากรในเขตที่ได้รับการ สุ่ มมาเป็ นตัวอย่างเท่านั้น แต่อาจจะไม่เป็ นจริ งกับประชากรทัว่ ไปก็ได้ ในส่ วนท้ายของการประเมินการ สรุ ปผลรายงานวิจยั ควรตรวจดู ว่า มี ก ารสรุ ป ผลครอบคลุ มวัตถุ ป ระสงค์และสมมติ ฐานครบทุ ก ข้อ หรื อไม่ เพราะมี รายงานการวิจยั บางเรื่ องสรุ ป ผลการวิจยั ไม่ ตรงกับ วัตถุ ป ระสงค์ที่ ต้ งั ไว้ หรื อตอบ วัตถุประสงค์ได้ไม่ครบทุกข้อ สาหรับการเสนอแนะ ควรพิจารณาว่ารายงานวิจยั นั้นมีการเสนอแนะถึงการนาผลวิจยั ไปใช้ในทางปฏิ บตั ิหรื อไม่ ถ้ามีขอให้พิจารณาต่อไปว่าการเสนอแนะนั้นสมเหตุสมผล และปฏิ บตั ิได้ จริ งหรื อไม่ ส่ วนการวิจยั ที่ไม่ใช่ เป็ นลักษณะการวิจยั แบบประยุกต์ แต่เป็ นการวิจยั ขั้นพื้นฐาน ก็ควร เสนอแนะถึ งการเชื่ อมโยงระหว่างผลการวิจยั กับทฤษฎี เดิ ม รวมทั้ง เสนอแนะแนวทางการปรั บปรุ ง ทฤษฎีเก่า และลู่ทางการนาทฤษฎีใหม่ไปใช้ในการศึกษาวิจยั ครั้งต่อไปด้วย จุ ด อ่ อ นที่ ส าคัญ ของข้อ เสนอแนะในรายงานวิ จ ัย คื อ ข้อ เสนอแนะมัก ไม่ สั ม พัน ธ์ หรื อไม่เกี่ยวข้องกับผลการวิจยั ที่ได้ คือ ลองพิจารณาดูวา่ ถ้าสามารถให้ขอ้ เสนอแนะเหล่านั้นได้เลย โดย ไม่ ต้อ งท าวิ จ ัย ก็ แ สดงให้ เ ห็ น ว่ า ข้อ เสนอแนะนั้น ไม่ เ กี่ ย วกับ งานวิ จ ัย ข้อ เสนอแนะที่ ดี ค วรระบุ วิธีดาเนินการไปพร้อมด้วยว่าจะทาอย่างไร มิใช่เพียงแต่เสนอว่าต้องทาอะไรเท่านั้น

7.2 การอภิปรายผลการวิจัย ควรพิจารณาในแง่ ของการใช้เหตุ ผลและหลักฐานต่างๆ มาอ้างอิ งในส่ วนที่ อภิ ปราย ไม่ใช่ใช้ความรู ้สึก หรื อความคิดของผูว้ ิจยั สอดแทรกเข้าไปเพื่อไม่ให้มีส่วนโน้มน้าวให้ผลการวิจยั เอน 185


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เอี ย งไปในทางใดทางหนึ่ ง ตามที่ ผู้วิ จยั ต้อ งการ ควรพิ จ ารณาดู ว่า การอภิ ป รายผลการวิ จ ัย ได้มี ก าร เปรี ย บเที ย บกับ ผลการวิจยั ของผูอ้ ื่ นที่ ท ามาแล้วมากน้อยเพี ย งใด มี ก ารเปรี ย บเที ย บทุ ก แง่ ทุ ก มุ ม ใน ลักษณะของเครื่ องมือวัด การวัดตัวแปร และกรอบทฤษฎี ที่ใช้ รวมทั้งข้อจากัดที่ระบุไว้ว่าเหมือนหรื อ ต่างกันอย่างไร ในแง่ของการวิจยั ทางคลินิคและวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ควรพิจารณาถึงประเด็นของการ มีนยั สาคัญทางสถิติดว้ ยว่า มีความสอดคล้องในแง่ของความเป็ นจริ งมากน้อยเพียงใด ในบางครั้งผลการวิจยั ทางคลีนิค อาจไม่พบว่ามีนยั สาคัญทางสถิติ เนื่ องจากมีขอ้ จากัด บางประการในการศึกษานั้น เช่น ตัวอย่างน้อยไป หรื อวิธีการเลือกตัวอย่างไม่ดีพอ แต่เมื่อพิจารณาในแง่ ของการปฏิบตั ิ ค่าที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยนั้นถือว่าสาคัญ ที่ผวู ้ ิจยั จะต้องมีความตระหนักในการแปร ผลและอภิ ป รายผลอย่ า งมาก โดยเฉพาะการเปลี่ ย นแปลงขนาดของยาที่ ใ ช้ รั ก ษาโรค หรื อ การ เปลี่ยนแปลงอาการของผูป้ ่ วยทางด้านสรี รวิทยา และชี ววิทยาเพียงเล็กน้อย ก็อาจเป็ นอันตรายต่อผูป้ ่ วย ได้

186


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตัวอย่ างสรุ ปผล ตัวอย่ างที่ 1 การเปรี ยบเที ยบการติดเชื อ้ ปรสิ ตของประชาชนผู้ใช้ แรงงานจากต่ างถิ่นกับผู้ใช้ แรงงานถิ่นเดิม ที่ อาศัยใน ชุมชนเขตพืน้ ที่ พัฒนาชายฝั่ งทะเลตะวันออก (กุหลาบ รั ตนสั จธรรม และคณะ, 2545) สรุ ปผล การเปรี ยบเทียบการติดเชื้ อปรสิ ตของประชาชนผูใ้ ช้แรงงานจากต่างถิ่นกับผูใ้ ช้แรงงานถิ่นเดิ ม เป็ นการวิจยั เชิงสารวจแบบตัดขวาง เพื่อศึกษาเปรี ยบเทียบอัตราการติดเชื้อปรสิ ตชนิดต่างๆ ความรู ้ ความ คิดเห็น และพฤติกรรมอนามัยที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้ อปรสิ ตและสภาพแวดล้อมที่สอดคล้องกับการติด เชื้อปรสิ ต กลุ่มตัวอย่างเป็ นประชาชนวัยแรงงานในเขตพื้นที่ 3 จังหวัดคือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา โดยใช้วิธีสุ่มแบบหลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการเก็บอุจจาระและใช้แบบสัมภาษณ์ที่ผูว้ ิจยั สร้างขึ้ น ซึ่ งผ่านการหาความตรงเชิ งเนื้ อหา ความตรงเชิ งโครงสร้าง และทดลองใช้มาแล้ว วิเคราะห์ ข้อมูลโดย การตรวจอุจจาระหาไข่พยาธิ ดว้ ยเทคนิ คอย่างง่าย(Simple Smear Technique) และใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ การทดสอบค่าไคกาลังสอง การทดสอบค่าซี (Z-test) และการทดสอบค่าที ผลการวิจยั พบว่า 1. ประชาชนส่ วนใหญ่ที่ศึกษาเป็ นเพศหญิง ร้อยละ 58.5 พบอายุ 30-34 ร้อยละ 15.9 มีอาชี พ รับจ้างทัว่ ไป ร้อยละ 33.6 มีการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 63.0 มีสถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ 82.9 นับ ถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 99.8 อาศัยอยู่ในพื้นที่ปัจจุบนั 15 ปี ขึ้นไป ร้อยละ 71.7 โดยอาศัยอยู่เป็ นประจา ร้อยละ 98.8 และมีภูมิลาเนาเดิมอยูภ่ าคตะวันออก ร้อยละ 67.6 2. การเปรี ยบเทียบอัตราการติดเชื้อปรสิ ตชนิดต่าง ๆ พบว่า ประชาชนกลุ่มผูใ้ ช้แรงงานจากต่างถิ่น มีการติดเชื้อปรสิ ตมากกว่ากลุ่มผูใ้ ช้แรงงานถิ่นเดิมอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติที่ระดับ < .05 ซึ่ งเป็ นไปตาม สมมติฐานการวิจยั ข้อที่ 1 โดยพบว่าประชาชนที่มีภูมิลาเนาเดิมอยูภ่ าคตะวันออกเฉี ยงเหนื อ มีอตั ราการติดเชื้ อ ปรสิ ตสูงถึง ร้อยละ 19.0 ในขณะที่ภาคตะวันออกตรวจพบ ร้อยละ 7.9 เมื่อทดสอบความแตกต่างพบว่า ภาค ตะวันออกเฉี ยงเหนื อมีการติ ดเชื้ อปรสิ ตสู งกว่าภาคตะวันออกและภาคเหนื อ อย่างมี นยั สาคัญทางสถิติที่ ระดับ <.05 และจากการตรวจอัตราการติดเชื้ อปรสิ ตชนิ ดต่าง ๆ พบว่า ผูใ้ ช้แรงงานจากต่างถิ่นจะมีอตั รา การติดเชื้ อปรสิ ตสู งกว่าผูใ้ ช้แรงงานถิ่นเดิมเกื อบทุกประเภท ยกเว้นพยาธิ ลาไส้ขนาดกลางและโปรโตซัวร์ (E. histolytica) โดยพบอัตราการติดเชื้ อพยาธิ ปากขอสู งที่สุด พบในผูใ้ ช้แรงงานต่างถิ่นร้อยละ 8.12 ในผูใ้ ช้ แรงงานถิ่นเดิมร้อยละ 6.07 รองลงมาพบโปรโตซัวร์ ไกอาร์ เดีย ร้อยละ 1.49 ในแรงงานต่างถิ่น และพบ ร้อยละ 0.36 ในผูใ้ ช้แรงงานถิ่นเดิม แต่เมื่อทดสอบความแตกต่างทางสถิติแล้วไม่พบว่าภูมิลาเนาต่างกันติด เชื้ อปรสิ ตแต่ละประเภทต่างกัน นอกจากนี้ ยงั พบว่า อัตราการติดเชื้ อในพื้นที่ที่มีการอพยพย้ายถิ่นเข้ามามาก กับพื้ นที่ ที่มีการย้ายถิ่นมาจากภูมิภาคอื่ นน้อยกว่า พบว่ามี อตั ราการติ ดเชื้ อปรสิ ตไม่แตกต่ างกัน ซึ่ งไม่ เป็ นไปตามสมมติ ฐานการวิจยั ข้อที่ 2 ซึ่ งตั้งสมมติฐานไว้ว่าอัตราการติดเชื้ อปรสิ ตในประชาชนผูใ้ ช้ แรงงานในพื้ นที่ ที่มีประชาชนฯ ต่ างถิ่น เคลื่อนย้ายมามากติ ดเชื้ อสู งกว่าพื้นที่ ที่มีประชาชนฯ ต่ างถิ่ น เคลื่อนย้ายมาน้อยกว่า 187


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตัวอย่ างอภิปรายผล ตัวอย่ างที่ 1 การเปรี ยบเที ยบการติดเชื อ้ ปรสิ ตของประชาชนผู้ใช้ แรงงานจากต่ างถิ่นกับผู้ใช้ แรงงานถิ่นเดิม ที่ อาศัยใน ชุมชนเขตพืน้ ที่ พัฒนาชายฝั่ งทะเลตะวันออก (กุหลาบ รั ตนสั จธรรม และคณะ, 2545) อภิปรายผล 1. การติดเชื้ อปรสิ ตแต่ละประเภทของกลุ่มผูใ้ ช้แรงงานถิ่นเดิมและต่างถิ่น ไม่แตกต่างกัน และ ในพื้นที่ที่มีการอพยพย้ายถิ่นเข้ามามากกับพื้นที่ที่มีการย้ายถิ่นเข้ามาน้อยกว่า พบอัตราการติดเชื้ อปรสิ ต ในประชาชนฯ ถิ่นเดิ ม ไม่แตกต่างกันเช่ นเดี ยวกัน จากข้อมูลจริ ง พบว่า แรงงานต่างถิ่นที่ มาทางานใน ภาคตะวันออก มาในหลากหลายลักษณะ ทั้งมาทางานในโรงงานอุตสาหกรรม รับจ้างทาสวนทาไร่ และ ขายอาหาร และส่ วนหนึ่ งมาแต่ งงานกับผูใ้ ช้แ รงงานถิ่ นเดิ ม พบแรงงานต่ างถิ่ นมาอาศัยอยู่ในพื้ นที่ ที่ ทาการศึกษา ตั้งแต่ 1-15 ปี ขึ้นไป โดยพบมีบา้ นเป็ นของตนเองถึงร้อยละ 46.3 ซึ่ งมีผลทาให้เกิดการแพร่ เชื้ อปรสิ ตได้ท้ งั ทางอาหารและน้ าดื่ ม ทางดิ น และด้านสุ ขอนามัยส่ วนบุ คคล รวมทั้งสภาพพื้ นที่ ภาค ตะวันออกมีความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการเจริ ญเติบโตของปรสิ ต จึงทาให้มีอตั ราการแพร่ เชื้ อ ของปรสิ ตได้ง่ายขึ้ น แต่เนื่ องจากพฤติ กรรมอนามัยและการปฏิ บตั ิและสภาพแวดล้อมที่ สอดคล้องกับ การติดเชื้อปรสิ ตของประชาชนฯ ถิ่นเดิม ถูกต้องมากกว่าประชาชนต่างถิ่น จึงยังมีการติดเชื้ อปรสิ ตไม่สูง นัก 2. กลุ่มผูใ้ ช้แรงงานถิ่ นเดิ มมี ความรู ้ เกี่ ยวกับอาหารที่ รับประทานแล้วจะติ ดพยาธิ ตวั ตื ด และ พยาธิ ใบไม้ตบั น้อยกว่ากลุ่มผูใ้ ช้แรงงานต่างถิ่น และมีความรู ้เกี่ยวกับปรสิ ตโดยรวมน้อยกว่าร้อยละ 50 ดังนั้นจึงอาจมีโอกาสติ ดเชื้ อปรสิ ตได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อไปรับประทานอาหารนอกบ้านหรื อซื้ ออาหาร ปรุ งสาเร็ จ ซึ่ งจากการศึกษาพบร้อยละ 82.1 ที่เคยซื้ ออาหารปรุ งสาเร็ จรับประทาน และพบมากถึงร้อยละ 27.1 ที่ ซ้ื อบ่อยๆ จนถึงเป็ นประจา ซึ่ งผูข้ ายอาหารกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ งเป็ นคนต่ างถิ่นซึ่ งมี พฤติ กรรม อนามัยที่ไม่ถกู ต้องสูงกว่าคนถิ่นเดิมอยูแ่ ล้ว จึงเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อมากขึ้น นอกจากนี้ ยงั พบว่ากลุ่ม ผูใ้ ช้แรงงานที่ติดเชื้อ ปรสิ ต มีความคิดเห็นว่า ถ่ายอุจจาระแล้วพบพยาธิ เป็ นเรื่ องธรรมดา และบีบมะนาว ใส่ ในเนื้ อต่างๆ สามารถทาให้เนื้ อสุ กได้ ซึ่ งเป็ นความเชื่ อที่ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการรับประทานที่ไม่ สุ กจริ ง ๆ ทาให้เกิดการติดเชื้อปรสิ ตที่เกิดเนื่องจากอาหารสุ ก ๆ ดิบ ๆ ได้ 3. ผักสดเป็ นอีกแหล่งหนึ่งที่จะทาให้การแพร่ เชื้อปรสิ ตเป็ นไปได้มากขึ้น โดยเฉพาะผักสดที่มา กับอาหารที่ปรุ งสาเร็ จ จากการศึกษาพบว่า ร้อยละ 53.6 ไม่ได้ลา้ งผักทุกครั้ง โดยอาจมีความเข้าใจว่าผัก เหล่านี้ผขู ้ ายคงล้างมาแล้ว ในส่ วนของผักสดที่ซ้ื อมาจากตลาด กลุ่มผูใ้ ช้แรงงานมักจะล้างทุกครั้งถึง ร้อย ละ 97.6 ดังนั้นจึงควรมีมาตรการในการดาเนินการในเรื่ องนี้

188


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตัวอย่างการเขียนข้ อเสนอแนะ ตัวอย่ างที่ 1 การเปรี ยบเที ยบการติดเชื อ้ ปรสิ ตของประชาชนผู้ใช้ แรงงานจากต่ างถิ่นกับผู้ใช้ แรงงานถิ่นเดิม ที่ อาศัยใน ชุมชนเขตพืน้ ที่ พัฒนาชายฝั่ งทะเลตะวันออก (กุหลาบ รั ตนสั จธรรม และคณะ, 2545) ข้ อเสนอแนะ 1. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการคุม้ ครองผูบ้ ริ โภคควรมีมาตรการในการตรวจตรา และรณรงค์ ให้เกิดการปฏิบตั ิที่ถกู ต้องในเรื่ องของสุ ขาภิบาลอาหาร 2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่ องสุ ขภาพของชุมชนควรมีการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ และแจ้ง ข้อมูลเกี่ยวกับการติดเชื้ อปรสิ ต และวิธีการป้ องกันการติดเชื้ อปรสิ ตให้ประชาชนทราบ เป็ นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่ อง พร้อมทั้งมีการติดตาม ตรวจสอบ และเฝ้ าระวัง อัตราการติดเชื้ อปรสิ ต เพื่อเตรี ยม มาตรการในการแก้ไข ควบคุม และป้ องกัน การแพร่ ระบาดของการติดเชื้ อปรสิ ตไม่ให้เพิ่มมากขึ้น และ ควรรักษาผูต้ ิดเชื้อปรสิ ตเดิม และผูท้ ี่เป็ นพาหะให้หายขาด และไม่ติดเชื้อซ้ า ตัวอย่ างที่ 2 การวิจัยของเทศบาล จากการศึกษาวิจยั เรื่ องนี้ มีขอ้ เสนอแนะที่ได้จากการวิจยั ไว้สาหรับผูบ้ ริ หารหรื อระดับนโยบาย กับผูป้ ฏิบตั ิการ รวมทั้งข้อเสนอแนะสาหรับการศึกษาวิจยั ดังต่อไปนี้ ข้ อเสนอแนะสาหรับผู้บริหาร 1. จากการวิจยั พบว่า ผูบ้ ริ หารเทศบาลตาบลเป็ นเพศชายเกื อบทั้งหมด (ร้อยละ 92.6) ซึ่ งมี ข้อเสนอแนะว่ารัฐบาล โดยกระทรวงมหาดไทยควรมอบหมายให้กรมการปกครองพิจารณาและกาหนด เป็ นนโยบาย เพื่ อให้ส ตรี เข้ามาบริ หารงานเทศบาลตาบลให้มากขึ้ น อาจกาหนดเป็ นสัด ส่ วนว่าให้มี ผูส้ มัครเป็ นหญิงร้อยละ 30 ของทั้งหมด เพราะอุปนิ สัยใจคอของสตรี อ่อนโยน และเป็ นการเปิ ดโอกาส ให้สตรี ได้เข้ามามีบทบาทในการบริ หารงานเทศบาลตาบล ซึ่ งเป็ นองค์กรการปกครองระดับล่างสุ ดให้ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ที่ให้สตรี มีสิทธิ และเสรี ภาพเท่าชาย 2. ผลการวิจยั พบว่า ปัญหาที่ผบู ้ ริ หารงานเทศบาลประสบมากที่สุดคือ งบประมาณ ร้อยละ 92.6 ซึ่ งมี ขอ้ เสนอแนะว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมการปกครอง ควรจะมี การจัดสรรงบประมาณให้ เหมาะสมกับฐานะของเทศบาลตาบลแต่ละระดับ โดยเฉพาะเทศบาลตาบลระดับล่างหรื อระดับต่ าสุ ด ควรจะให้งบประมาณมากเป็ นพิเศษ ส่ วนเทศบาลตาบลที่มีฐานะการเงินดีอยูแ่ ล้ว ก็ควรให้พอสมควรเพื่อ เป็ นการกระจายอานาจงบประมาณให้เทศบาลทุกระดับอย่างทัว่ ถึงด้วย โดยกาหนดเป็ นนโยบายให้และ การบริ หารทราบ 189


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ข้ อเสนอแนะสาหรับผู้ปฏิบัติ 1. ผลการวิจยั พบว่า ปัญหาที่พบในการบริ หารงานเทศบาลตาบล คือ งบประมาณมีนอ้ ยและ ไม่เพียงพอต่อการพัฒนาตาบล ซึ่ งมีขอ้ เสนอแนะว่า เจ้าหน้าที่ควรจะจัดวาระการประชุมให้ผบู ้ ริ หารมี การวางแผนกันว่าควรจะมีวิธีการจัดหางบประมาณอย่างไรบ้าง ตามที่กฎหมายเปิ ดโอกาสรวมทั้งมีการ ใช้จ่ายงบประมาณให้โปร่ งใสและสามารถตรวจสอบได้ดว้ ย โดยมีการตั้งประชาชนในตาบลนั้น ๆ เข้า มามีส่วนร่ วมในการตรวจสอบ 2. ผลการวิจยั พบว่า เจ้าหน้าที่ขาดความรู ้ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่และข้อความใน กฎระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ ซึ่ งมีขอ้ เสนอแนะไว้ดงั นี้ (1) ควรศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและข้อมูลด้วยตนเอง (2) ขออนุมตั ิเข้าอบรมและสัมมนาเกี่ยวกับเรื่ องนี้ (3) ควรมีการวัดนาสรุ ปผลการอบรมและสัมมนาเก็บไว้ เพื่อศึกษาและเวียนให้เพื่อ ได้รับทราบด้วย 3. ผลการวิจยั พบว่า ที่เทศบาลตาบลขาดความสามัคคี จึงมีขอ้ เสนอแนะว่าเทศบาลตาบลใด ขาดความสามัคคีมาก ควรมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่ งเสริ มความสามัคคีให้มากขึ้น เช่น (1) จัดกีฬาสี ภายในเทศบาลตาบลของตน (2) จัดกีฬาแข่งขันกันระหว่างเทศบาลตาบลกับเทศบาลตาบลอื่น ๆ อาจมี 2 - 4 ตาบลก็ได้ (3) จัดทัศนศึกษานอกสถานที่ เช่น พาไปดูงานที่ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลางหรื อ ภาคอีสานแล้วจัดกิจกรรมระหว่างนัง่ ในรถทัวร์ หรื อจัดกิจกรรมรอบกองไฟ เป็ นต้น อาทิเช่น ทัศน ศึกษาพระตาหนักภูพิงค์ พระตาหนักเขาค้อ และอื่น ๆ (4) จัดนันทนาการหรื อการออกกาลังกายในทุกวันพุธ รอบบ่ายเวลา 15.30-16.30 น. เพื่อช่วยสร้างสุ ขภาพร่ างกายให้แข็งแรงเป็ นการป้ องกันโรคต่าง ๆ ได้ดว้ ย แล้วความสามัคคีกจ็ ะตามมา 4. ผลการวิจยั พบว่า ระบบและกลไกการทางานของสานักงานปลัดเทศบาลมีศกั ยภาพ และ ความสามารถเพียงพอที่จะรองรับและสนับสนุนฝ่ ายการเมืองในการบริ หารงานนั้น ผูบ้ ริ หารเห็นว่า ไม่ใช่มีร้อยละ 79.1 จึงมีขอ้ เสนอแนะว่า ปลัดเทศบาลตาบล ซึ่ งถือว่าเป็ นผูบ้ งั คับบัญชาและรับผิดชอบ โดยตรงต่องานด้านนี้ จึงควรที่จะมีการดาเนินงาน ดังนี้ (1) มีการเชิญประชุมเพื่อปรึ กษาถึงผลงานวิจยั เรื่ องนี้วา่ สานักงานปลัด ยังรองรับและ สนับสนุนฝ่ ายการเมืองน้อยไปหน่อย พวกเราควรจะปรับปรุ งและแก้ไขอย่างไรบ้าง เช่น อาจจัดหา อุปกรณ์หรื อเทคโนโลยีที่ทนั สมัย เช่น คอมพิวเตอร์และเครื่ องถ่ายเอกสารรวมทั้งอื่นๆ เสริ มบ้างเป็ นต้น (2) ปลัดเทศบาลควรมีการให้รางวัลกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบตั ิงานด้วยความวิริยะอุตสาหะ และอุทิศเวลาให้กบั งานเทศบาลด้วยดีตลอดมา (3) ส่ งเจ้าหน้าที่ไปเข้าอบรมและสัมมนาเพื่อเพิ่มพูนความรู ้และประสบการณ์ให้มาก ขึ้น 190


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ข้ อเสนอแนะสาหรับการศึกษาวิจยั ต่ อไป 1. ควรทาการศึกษาวิจยั เกี่ยวกับงบประมาณของเทศบาลตาบลว่า มีมาจากแหล่งใดบ้างและ พอเพียงกับปริ มาณงานและการพัฒนาหรื อไม่อย่างไร โดยศึกษาเฉพาะกรณี เทศบาลตาบลที่มีฐานะ การเงินต่า 2. ควรมีการติดตามและประเมินผลการบริ หารงานของผูบ้ ริ หารงานเทศบาลตาบลว่าประสบ ผลสาเร็ จตามที่กฎหมายกาหนดไว้ หรื อไม่อย่างไร 3. ควรศึกษาเปรี ยบเทียบปัญหา และลักษณะการบริ หารระหว่างเทศบาลตาบลกับเทศบาลเมือง ว่ามีลกั ษณะอย่างไรบ้าง 4. ควรมีการศึกษาเปรี ยบเทียบปัญหาการบริ หารงานของเทศบาลตาบล ระหว่างภาคตะวันออก กับภาคตะวันตก หรื อภาคอื่น ๆ 5. ควรนาผลการวิจยั นี้ไปทดลองใช้ เช่น เจ้าหน้าที่ขาดศักยภาพในการปฏิบตั ิงาน แล้วทาการ วิจยั ว่าประสบผลสาเร็ จตามที่ทดลองไปแล้ว มาก - น้อย เพียงไร 6. ควรทาการวิจยั เชิงคุณภาพ ( Qualitative Research ) ผูบ้ ริ หารงานของเทศบาลตาบลของทั้ง 3 จังหวัดนี้ คือ จังหวัดระยอง จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราดถึงปัญหาที่ประสบแต่ละปั ญหาแล้วจะ มีวิธีการแก้ไขอย่างไรให้ประสบผลสาเร็ จ

191


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

192


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

บทที่ 8 ตัวอย่ างงานวิจยั ในบทนี้จะนาเสนอตัวอย่างงานวิจยั ในสาขาต่าง ๆ จานวน 12 เรื่ อง ดังนี้

ซึ่ งสามารถนามาเป็ นตัวอย่างได้

เรื่องที่ 1 สาขาวิทยาศาสตร์ กายภาพและคณิตศาสตร์ บทคัดย่อ รายงานการวิจัยเรื่อง การประเมินศักยภาพแหล่งนา้ บาดาลและผลกระทบจากการใช้ นา้ บาดาล ในพืน้ ทีต่ าบลท่าพระ อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น * (Evaluation of Groundwater Resources Potential and Impact of Groundwater Exploitation, Thaphra Area, Amphoe Muang, Chanwat Khon Kaen) โดย นายประจญ เจริ ญศรี และคณะ ** ความสาคัญและทีม่ าของการวิจัย 1. พื้นที่ตาบลท่าพระ อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่นเป็ นพื้นที่ที่มีการพัฒนาน้ าบาดาลขึ้น ใช้เป็ นปริ มาณสู ง โดยเฉพาะการใช้บาดาลเพื่อการอุตสาหกรรมและการเกษตรมานานกว่า 30 ปี และมี แนวโน้มที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อแหล่งน้ าบาดาล ซึ่ งเป็ นแหล่งน้ าจืดเพียงแห่งเดียวในพื้นที่กล่าวคือ น้ าเค็มจากแหล่งน้ าข้างเคียงเริ่ มรุ กล้ าเข้าสู่ ช้ นั น้ าบาดาลตามบริ เวณขอบด้านทิศเหนือของพื้นที่ 2. การศึกษาวิจยั ครั้งนี้มีวตั ถุประสงค์หลักในการศึกษาวิจยั เพื่อประเมินศักยภาพแหล่ง น้ าบาดาลและป้ องกันการเสื่ อมโทรมของแหล่งน้ าบาดาลในเขตพื้นที่ตาบลท่าพระรวมไปถึงการกาหนด ปริ มาณการใช้น้ าบาดาลสู งสุ ดในเขตพื้นที่ต่าง ๆ สาหรับการพัฒนาแหล่งน้ าบาดาลขึ้นใช้อย่างยัง่ ยืน 3. เนื่องจากพื้นที่ตาบลท่าพระ เป็ นพื้นที่มีแหล่งนาบาดาลจืดที่รายล้อมด้วยแหล่งน้ า * งานวิจัยนี้ ผู้วจิ ัยได้ รับรางวัลผลงานวิจัย ประจาปี 2545 รางวัลชมเชย สาขาวิทยาศาสตร์ กายภาพและคณิตศาสตร์ จากสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ** กรมทรั พยากรนํา้ บาดาล กระทรวงทระพยากรธรรมชาติและสิ่ งแวดล้ อม ถนนพระราม 6 ราชเทวี กทม. 10400 โทรศัพท์ 0-2202-3727 โทรสาร 0-2202-3791 โทรศัพย์มือถือ 01-984-9188 E-mail : Prachon@email.com

193


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เค็ม รวมไปถึงใต้ช้ นั น้ าจืดยังรองรับด้วยเกลือหิ น มีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เช่น บริ ษทั ขอนแก่น (บุญรอด)บริ วเวอรี่ จากัด บริ ษทั ไทยน้ าทิพย์ จากัด และโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆ ซึ่ งได้ลงทุนก่อสร้าง โรงงานเป็ นมูลค่านับหมื่นล้านบาท โดยอาศัยแหล่งน้ าบาดาลในพื้นที่ตาบลท่าพระเป็ นแหล่งน้ าในการ ผลิตรวมทั้งมีการขยายตัวของชุมชนที่อยูอ่ าศัย หากแหล่งน้ าบาดาลเสื่ อมโทรมไป จะต้องย้ายฐานการ ผลิต ก็จะก่อให้เกิดความเสี ยหายอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ 4. การดาเนินการศึกษาวิจยั ครั้งนี้ เป็ นการดาเนิ นงานภายใต้ความร่ วมมือ 3 ฝ่ าย คือ ฝ่ ายผูใ้ ช้น้ า อันได้แก่โรงงานอุสาหกรรม ฝ่ ายผูก้ ากับดูแลและปฏิบตั ิการใช้น้ าบาดาลคือ กรมทรัพยากร ธรณี กองน้ าบาดาล และฝ่ ายเทคนิควิชาการ คือ คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่ งเป็ นนิมิต ใหม่สาหรับการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ โดยทุกฝ่ ายที่มีส่วนได้ส่วนเสี ยมีส่วนร่ วม 5. เป็ นโครงการศึกษาวิจยั โดยการกาหนดสมมติฐานและทฤษฎี ในด้านศักยภาพและ ปริ มาณน้ าบาดาลในพื้นที่และพิสูจน์โดยนาวิชาการและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้อย่างสมบูรณ์ แบบเป็ นครั้งแรก ในด้านการบริ การจัดการทรัพยากรน้ าบาดาล ซึ่ งถือได้วา่ เป็ นต้นแบบของโครงการที่ สามารถนาไปปรับใช้กบั พื้นที่ที่มีการใช้น้ าบาดาลเป็ นปริ มาณมาก ๆ ได้ทุกพื้นที่ทวั่ ประเทศ 6. ผลจากการศึกษาวิจยั อย่างเป็ นระบบ ทาให้ได้ขอ้ มูลที่ชดั เจนมีความถูกต้องเที่ยงตรง สามารถตรวจสอบได้ทุก ขั้นตอน โดยข้อมู ลดังกล่ า วสามารถนาไปใช้ประโยชน์ใ นด้านการพัฒนา ทรัพยากรน้ าบาดาลขึ้นใช้ได้อย่างยัง่ ยืน 7. จากการศึกษาวิจยั และมีการพิสูจน์ความลึกของชั้นเกลือหิ นจากการแปลความหมาย ข้อมูล ได้มีการเจาะบ่อสารวจพิสูจน์ระดับความลึกของชั้นเกลือหิ น ใต้ช้ นั น้ าบาดาลจืด (ชั้นหิ นภูทอก) ซึ่ งเป็ นข้อมูลสาคัญทางด้านธรณี วทิ ยา แหล่งหิ นของประเทศไทย 8. จากการศึกษาวิจยั ทาให้กาหนดจุดติดตั้งระบบบ่อสังเกตการณ์ (Monitoring well svstem) สาหรับเครื อข่ายติดตามเฝ้ าระวังการเปลี่ยนแปลงระดับน้ าบาดาลและคุณภาพน้ าบาดาลในระยะ ยาวอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมการใช้น้ าบาดาลในพื้นที่ตาบลท่าพระให้เกิดประโยชน์สูงสุ ด วัตถุประสงค์ ของการวิจัย 1. เพื่อการศึกษาวิจยั ศักยภาพแหล่งน้ าบาดาลในแง่ของอุทกธรณี วทิ ยา โดยทาการเจาะ สารวจเก็บข้อมูลทางธรณี วิทยา ลักษณะของชั้นหิ นอุม้ น้ า การสารวจทางธรณี ฟิสิ กส์ ในแนวราบและ แนวดิ่ง คุณภาพทางเคมีของน้ าบาดาลและการทดลองสอบคุณสมบัติทางชลศาสตร์ น้ าบาดาลของชั้นหิ น อุ ม้ น้ า ซึ่ ง จะนาไปสู่ ก ารประเมิ นศักยภาพ โดยอาศัยแบบจาลองคณิ ตศาสตร์ เพื่อการบริ หาร และ จัดการเต็มศักยภาพแหล่งน้ าบาดาลในอนาคต 194


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

2. เพื่อศึกษาวิจยั ความเป็ นไปได้ของปริ มาณการสู บน้ าบาดาลสู งสุ ด เพื่อการพัฒนา แหล่งน้ าบาดาลเพื่อการอุปโภค บริ โภค เกษตรกรรม ปศุสัตว์ และการอุตสาหกรรม โดยรักษาความ สมดุล การกักเก็บของแหล่งน้ าบาดาลเป็ นหลัก 3. เพื่อการศึกษาวิจยั ความเป็ นไปได้ของทิศทาง และอิทธิ พลของการแทรกซึ มของน้ า บาดาลเค็มสู่ แหล่งน้ าบาดาลจืด เพื่อกาหนดแนวทางป้ องกันและควบคุมการใช้ทรัพยากรน้ าบาดาล ไม่ ให้เกิดความเสี ยหายต่อภาคอุตสาหกรรม และเศรษฐศาสตร์ ในอนาคต 4. เพื่อศึกษาวิจยั ทางกายภาพของปริ มาณน้ าไหลเติม (Recharge) สู่ แหล่งกักเก็บน้ า บาดาล ทั้งในแง่ของทิศทางการไหล อัตราไหล และประเภทของชั้นหิ นอุม้ น้ า เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างพื้นที่น้ าไหลเติมและพื้นที่น้ าไหลออก (Discharge) ทั้งการสู บน้ าและไหลตามธรรมชาติ 5. เพื่อนาผลวิจยั ไปใช้กาหนดพื้นที่และทาการเจาะบ่อเฝ้ าระวัง (Monitoring well) เพื่อ สร้างเครื อข่ายการติดตามการเปลี่ ยนแปลงของระดับน้ าบาดาล และคุณภาพน้ าบาดาลในระยะยาว เพื่อ ควบคุ มและติดตามการใช้น้ าบาดาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และปศุสัตว์ให้ สอดคล้องกับผลการศึกษาของโครงการ 6. เพื่อเป็ นแนวทางหรื อรู ปแบบ ในการสารวจและศึกษาศักยภาพแหล่งน้ าบาดาลใน พื้นที่อื่นๆ ของภาคตะวันออกเฉี ยงเหนื อ โดยเฉพาะพื้นที่มีแหล่งศักยภาพน้ าบาดาลสู ง เพื่อการพัฒนา ให้เกิดประโยชน์สูงสุ ด 7. เพื่อจัดทาระบบฐานข้อมูลสารเทศภูมิศาสตร์ (GIS) สาหรับตาบลท่าพระโดยเฉพาะ เพื่อง่ายและสะดวกในการศึกษาเฝ้ าระวัง ติดตาม และควบคุมการใช้น้ าบาดาลได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ สู งสุ ด ระยะเวลาการทาวิจัย ตั้งแต่วนั ที่ 9 เดือนเมษายน พ.ศ.2542 ถึงวันที่ 30 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2544 (2 ปี 7 เดือน) สรุ ปผลการวิจัย หินอุม้ น้ าบาดาลในพื้นที่ศึกษาประกอบด้วย หิ นทราย หิ นทรายแป้ ง และหิ นโคลน มี ลักษณะสี น้ าตาลแดงและสี ส้มแดงของหมวดหิ นภูทอก ซึ่ งมีความหนาแปรเปลี่ยนไปในแต่ละพื้นที่ ตั้งแต่ 250 เมตรถึงมากกว่า 600 เมตร ความลึกที่มีการพัฒนาน้ าบาดาลขึ้นมาใช้ในพื้นที่ศึกษามีต้ งั แต่ 30 195


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ถึง 200 เมตร ปริ มาณน้ าที่สามารถพัฒนาใช้มีต้ งั แต่ 5 ถึง 100 ลบ.ม./ชม. โดยบริ เวณที่สามารถพัฒนาน้ า บาดาลได้ปริ มาณสู ง พบในเขตเทศบาลตาบลท่าพระ เช่นบริ เวณศูนย์วจิ ยั และบารุ งพันธ์สัตว์ท่าพระ บริ ษทั ขอนแก่น บริ วเวอรี่ จากัด และบริ เวณบ้านหนองใคร่ นุ่น ส่ วนใหญ่เป็ นน้ าคุณภาพดี มีปริ มาณสาร ทั้งหมดที่ละลายได้นอ้ ยกว่า 500 มิลลิกรัมต่อลิตร บริ เวณที่เป็ นน้ าเค็มและมีปริ มาณสารทั้งหมดที่ละลาย ได้มากกว่า 1,500 มิลลิกรัมต่อลิตร จะพบบริ เวณทิศเหนือของพื้นที่ศึกษา ซึ่ งอยูส่ องข้างของลาน้ าชีมี พื้นที่รับน้ าอยูท่ างทิศใต้ของพื้นที่บริ เวณพลาญหิ นเกิ้งระดับแรงดันน้ าบาดาล (potentiometric surface) อยูช่ ่วง 140 ถึง 210 เมตรเหนือระดับน้ าทะเลปานกลาง ทิศทางการไหลของน้ าบาดาลจะไหลจากทางทิศ ใต้ไปทางทิศเหนื อและทิศตะวันตกเฉี ยงเหนื อ สัมประสิ ทธิ์ การจ่ายน้ าของหมวดหิ นภูทอกมีค่า แปรเปลี่ยนตั้งแต่ 3.5E-05 ถึง 1.65E-02 ตารางเมตรต่อวินาที (1 ตารางต่อวัน ถึง 1,425 ตารางเมตรต่อ วัน) ผลจากการศึกษาได้ลกั ษณะและขอบเขตการกระจายตัวของชั้นดิน-หิน ความลึกของ ชั้นเกลือหิ นของหมวดหิ นมหาสารคาม และโครงสร้างทางธรณี วทิ ยาที่เอื้ออานวยต่อการกักเก็บน้ า บาดาล ในส่ วนของการสารวจข้อมูลทางอุทกธรณี วทิ ยาได้ดาเนินการติดตามการเปลี่ยนแปลงของระดับ น้ าคุณภาพน้ า และวิเคราะห์ขอ้ มูลอุทกธรณี เคมีของน้ าบาดาลจากบ่อสังเกตการณ์จานวน 84 บ่อที่ ดาเนินการวัดระดับน้ าทุกเดือนเป็ นเวลา 2 ปี ซึ่ งข้อมูลทั้งหมดที่ได้นามาใช้เพื่อการประเมินระบบอุทก ธรณี วทิ ยาของพื้นที่และประยุกต์ใช้แบบจาลองทางคณิ ตศาสตร์ น้ าบาดาลในการจาลองการไหลใน 3 มิติ จาลองการไหลของน้ าบาดาลและการแพร่ กระจายของน้ าเค็มเพื่อประเมินศักยภาพแหล่งน้ าบาดาล ประเมินสมดุลของน้ าบาดาลและปริ มาณการสู บน้ าสู งสุ ดโดยไม่ก่อให้เกิดกระทบต่อแหล่งน้ าบริ เวณ พื้นที่ท่าพระ อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ครอบคลุมพื้นที่ 480 ตารางกิโลเมตร โดยใช้โปรแกรม Visual MODFLOW version 2.8.1 ซึ่งเป็ นโปรแกรมการคานวณใน 3 มิติ และใช้การคานวณเชิงตัวเลข ด้วยวิธีไฟไนท์ดิฟเรนซ์ ทาการจาลองสภาพแหล่งน้ าบาดาล ทั้งในสภาวะคงที่และสภาวะที่ เปลี่ยนแปลงตามเวลา โดยปรับเทียบพารามิเตอร์ และวิเคราะห์ความอ่อนไหวของแบบจาลอง การปรับ ค่าพารามิเตอร์ ของแบบจาลองได้ดาเนิ นการตามขั้นตอนตามชนิดของพารามิเตอร์ เช่น การเปลี่ยนแปลง ค่าสัมประสิ ทธิ์ การยอมให้น้ าซึ มผ่านของหน่วยหิ นทางอุทกธรณี วทิ ยาในแนวราบ ค่าสัมประสิ ทธิ์ การ กักเก็บอัตราการเพิ่มเติมน้ า โดยการใช้ขอ้ มูลระดับน้ าบาดาลจากบ่อบาดาลจานวน 72 บ่อ จนได้ความ คลาดเคลื่อนเฉลี่ยของระดับน้ าจากการจาลองเทียบกับข้อมูลภาคสนามเท่ากับ 2.35 เมตร และจากการ วิเคราะห์ความอ่อนไหวของแบบจาลองพบว่าพารามิเตอร์ ที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ า บาดาลในแบบจาลองมากที่สุดคือ ค่าสัมประสิ ทธิ์ การยอมให้น้ าซึ มผ่าน ผลการจาลองสภาพการใช้น้ าและสมดุลของน้ าบาดาลในปั จจุบนั พบว่าในพื้นที่ศึกษามี ปริ มาณน้ าไหลเข้าระบบทั้งหมด ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงการกักเก็บเนื่ องจากการไหลเข้าสู่ ระบบ 65,163,776 ลบ.ม./ปี ปริ มาณน้ า บาดาลไหลเข้าสู่ ระบบ 1,032,010 ลบ.ม/ปี ปริ มาณการเพิ่มเติมน้ าสู่ 196


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

แหล่งน้ าบาดาล 11,715,298 ลบ.ม/ปี และมีการไหลของแม่น้ าเข้าสู่ ระบบ 7,786,596 ลบ.ม/ปี รวม ปริ มาณน้ าไหลเข้าระบบทั้งหมด 85,697,680 ลบ.ม/ปี ส่ วนปริ มาณน้ าที่ไหลออกจากระบบประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงการกักเก็บเนื่องจากการไหลออกจากระบบ 14,781,168 ลบ.ม/ปี ปริ มาณ การสู บน้ า 2,534,248 ลบ.ม/ปี และการไหลของแม่น้ าออกสู่ ระบบ 68,384,800 ลบ.ม/ปี รวมปริ มาณน้ าไหลออก ระบบทั้งหมด 85,700,230 ลบ.ม/ปี จากการประเมินปริ มาณการสู บสู งสุ ดที่ไม่ส่งผลกระทบต่อปริ มาณและคุณภาพน้ า (safe yidld) พบว่าปริ มาณการสู บน้ าสู งสุ ดที่สามารถสู บจากแอ่งกักเก็บท่าพระขึ้นมาใช้โดยกาหนดให้ ระดับน้ าบาดาลลดลงไม่เกิน 2 เมตร และปริ มาณสารทั้งหมดที่ละลายได้ในน้ าบาดาลที่ระดับความลึก 200 เมตร เกินกว่า 1,00 มิลลิกรัมต่อลิตรในระยะเวลา 5 ปี ได้แก่ 10 ล้าน ลบ.ม/ปี หรื อ 27,400 ลบ.ม/วัน แต่ในพื้นที่ในเขตบ้านท่าพระ บริ ษทั ขอนแก่น บริ วเวอรี่ บริ เวณบ้านหนองบัวดีหมีจะต้องสู บน้ าไม่เกิน กว่า 1,500 ลบ.ม/วัน มิฉะนั้น จะทาให้น้ าเค็มแพร่ กระจายเข้าสู่ แหล่งน้ าจืดได้และในบางพื้นที่ที่มีปัญหา การลดลงของระดับน้ าบาดาลควรจะวางแผนการพัฒนาน้ าบาดาลโดยให้ระยะห่างของบ่อบาดาลเพิม่ ขึ้น เพื่อมิให้เกิดการแย่งน้ าระหว่างบ่อบาดาล นอกจากนี้ในการประเมินปริ มาณน้ าสู งสุ ดนี้ข้ ึนอยูก่ บั ตาแหน่งของบ่อที่ทาการสู บน้ า ซึ่ งถ้าเปลี่ยนแปลงตาแหน่ง บ่อสู บน้ าให้เข้าใกล้พ้นื ที่รับน้ าที่อยูบ่ ริ เวณ ทิศใต้ของพื้นที่ศึกษา และให้ระยะห่างของบ่อบาดาลเพิ่มขึ้น ก็อาจจะมีผลให้ปริ มาณการสู บสู งสุ ดกว่า ปริ มาณที่ประเมินไว้ ในปั จจุบนั อัตราการใช้บาดาลในแอ่งกักเก็บน้ าท่าพระอยูท่ ี่ 2.5 ล้าน ลบ.ม/ปี ซึ่ งต่ากว่า ปริ มาณการสู บน้ าสู งสุ ดที่ประเมินไว้ ดังนั้นจากสมมุติฐานที่วา่ ปริ มาณการใช้น้ าบาดาลในปั จจุบนั ใน บริ เวณพื้นที่ตาบลท่าพระ จะมีผลทาให้เกิดการแทรกตัวของน้ าเค็มทั้งในแนวดิ่งและแนวราบเข้าสู่ แหล่ง น้ าบาดาล จึงยังไม่มีผลทาให้เกิดการแทรกตัวของน้ าเค็ม ลักษณะการเพิ่มขึ้นของความเค็มบริ เวณ โรงเรี ยนบ้านท่าพระเนาว์ และบริ ษทั ไทยน้ าทิพย์ เกิดจากข้อจากัดของพื้นที่ซ่ ึ งเป็ นพื้นที่สูญเสี ยน้ า ระบบการไหลของน้ าบาดาลในบริ เวณกว้างจะนาพาความเค็มที่เกิดจากการละลายของชั้นเกลือหิ นที่อยู่ ข้างใต้และไหลขึ้นสู่ แม่น้ าชี ทาให้บริ เวณดังกล่าวมีความเค็มของน้ าบาดาลเพิม่ สู งขึ้น ในการประยุกต์ใช้แบบจาลองน้ าบาดาลในการประเมินสมดุลของน้ าบาดาลและ ปริ มาณการสู บสู งสุ ด เป็ นแนวทางหนึ่งที่เหมาะสมในการศึกษา อย่างไรก็ตาม แบบจาลองถือได้วา่ เป็ น ตัวแทนของระบบอุทกธรณี วิทยาได้ในระดับหนึ่ง เนื่ องจากในระบบของชั้นหิ นอุม้ น้ ามีความซับซ้อน มาก ทั้งในเรื่ องของการกาหนดสภาพขอบเขต สภาพเริ่ มต้นของแบบจาลอง เรื่ องความสมบูรณ์และ ความถูกต้องของข้อมูล นอกจากนี้ยงั มีความไม่แน่นอนของพารามิเตอร์ ที่ใส่ ในแบบจาลอง เช่น ความ ไม่เป็ นเนื้ อเดียวดัน (heterogeneity) ของค่าสัมประสิ ทธิ์ การยอมให้น้ าซึ มผ่าน อัตราการเพิ่มเติมของน้ าสู่ ระบบน้ าบาดาล ความไม่แน่นอนของปั จจัยภายนอก เช่น สภาพภูมิอากาศ สภาพการใช้น้ าบาดาล 197


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ระยะเวลาที่ใช้ในการติดตามคุณภาพและระดับน้ าสั้นเกินกว่าที่จะสามารถเป็ นตัวแทนของสภาพอุทก ธรณี วทิ ยา ทาให้แบบจาลองมีขอ้ จากัด หรื อมีความคลาดเคลื่อน ดังนั้นเพื่อให้มีการจาลองได้ผลดี ควจ จะทาการติดตามวัดข้อมูลในสนามอย่างต่อเนื่ องได้แก่ คุณภาพน้ าบาดาล ระดับน้ าบาดาล ข้อมูลอุทก วิทยา ข้อมูลการใช้น้ าบาดาล โดยเฉพาะในบริ เวณที่มีการสู บน้ าในปริ มาณสู ง หรื อมีการศึกษาเพิม่ เติม เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติทางชลศาสตร์ ซึ่ งได้แก่ สัมประสิ ทธิ์ การยอมให้น้ าซึ มผ่าน สัมประสิ ทธิ์ การกักเก็บน้ า เนื่องจากเป็ นพารามิเตอร์ ที่มีผลต่อแบบจาลองมาก แบบจาลองควรจะมีการ ปรับปรุ งเป็ นระยะ ๆ ทุก 3 หรื อ 5 ปี เมื่อมีขอ้ มูลเพิ่มเติมเพื่อเป็ นการติดตามเฝ้ าระวังไม่ให้เกิด ผลกระทบต่อสิ่ งแวดล้อม เพื่อเป็ นประโยชน์ต่อการวางแผนพัฒนาแหล่งน้ าบาดาล ปละบริ หารจัดการ ทรัพยากรน้ าบาดาลให้เหมาะสม ประโยชน์ ทไี่ ด้ รับจากการวิจัย - ทราบถึงปริ มาณน้ าฝนที่ไหลลงไปกักเก็บในแอ่งน้ าบาดาลในแต่ละปี และทราบ ปริ มาณการสู บที่เหมาะสม (Optimum yield) ที่สามารถสู บขึ้นมาใช้ได้โดยไม่มีผลกระทบต่อแหล่งน้ า บาดาลและสภาพแวดล้อม - สามารถนาข้อมูลที่ได้จากการศึกษาไปใช้ในการบริ หารจัดการแหล่งน้ าบาดาล เพื่อ ป้ องกันผลกระทบต่อแหล่งน้ าบาดาลอย่างเป็ นระบบ - ป้ องกันผลเสี ยหายทางเศรษฐกิจ ลดอัตราเสี่ ยงที่โรงงานจะต้องหยุดกิจการ หรื อย้าย โรงงานอันเนื่ องมาจากแหล่งน้ าบาดาลได้รับผลกระทบจากการใช้บาดาลอย่างเป็ นระบบ ทราบถึงลักษณะทางกายภาพของชั้นน้ าบาดาลและคุณสมบัติทางเคมีได้อย่างชัดเจน และ สามารถกาหนดขอบเขตพื้นที่การพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องและถาวร - ผลการศึกษาเป็ นข้อมูลได้เป็ นอย่างดี ในการสนับสนุนการก่อกาหนดเขตตั้งนิคมอุตสาหกรรม เขตการเกษตร หรื อชุมชนที่อยูอ่ าศัย - ทาให้เกิดความมัน่ ใจต่อผูป้ ระกอบอุตสาหกรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจ ให้เจริ ญ ยิง่ ขึ้น - กระตุน้ ภาคเอกชนให้ตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรน้ า และเห็นความสาคัญของ การอนุ รักษ์สิ่งแวดล้อม - เป็ นโครงการนาร่ องเป็ นครั้งแรกด้านน้ าบาดาล ทาให้เกิดความสามัคคีในการมีส่วน ร่ วมการพัฒนาประเทศทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา 198


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

- เป็ นทฤษฎีตน้ แบบเพื่อนาไปใช้ในพื้นที่คล้ายกันทัว่ ประเทศ ศักยภาพในการพัฒนาไปสู่ ภาคอุตสาหกรรม - สามารถกาหนดขอบเขตการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับปริ มาณ การกักเก็บน้ าบาดาลในแต่ละปี เพื่อให้เกิดประสิ ทธิ ภาพและประสิ ทธิ ผลสู งสุ ด - สามารถกาหนดประเภทของอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต ทั้งที่ใช้น้ าเป็ น ปั จจัยการผลิตและปั จจัยสนับสนุนให้เกิดคุณค่าทางเศรษฐกิจสู งสุ ด และเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบด้าน สิ่ งแวดล้อม - สามารถกาหนดความลึกของบ่อบาดาล ปริ มาณการใช้น้ าบาดาล และพื้นที่ที่ควรทา การเจาะบ่อบาดาล โดยอาศัยกฎหมายน้ าบาดาลในการกากับดูแล เพื่อให้เกิดมีการใช้น้ าร่ วมกัน ปราศจากความเสี ยหายในเชิงเศรษฐกิจ - สามารถกาหนดพื้นที่ในแต่ละแห่งที่มีน้ าบาดาล ซึ่งมีคุณสมบัติทางเคมีแตกต่างกัน ไป เพื่อเกื้อกูลต่อความจาเป็ นของประเภทอุตสาหกรรม - สามารถกาหนดขอบเขตพื้นที่ เพื่อเกื้อกูลต่อการก่อตั้งนิคมอุตสาหกรรม จังหวัด ขอนแก่น

199


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เรื่องที่ 2 สาขาวิทยาศาสตร์ การแพทย์ บทคัดย่อ รายงานการวิจัย เรื่ อง อุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ ในประเทศไทยและมาตรการแก้ ไข * (Motorcycle accident causation and identification of countermeasures in Thailand) โดย นายวีระ กสานติกุล และคณะ ** ความสาคัญและทีม่ าของการวิจัย อุ บ ตั ิ เหตุ จราจรทางบกในประเทศไทยได้เพิ่ มสู งขึ้ นอย่างรวดเร็ ว จาก 8.3 รายต่ อ ประชากรแสนคนในปี 2530 เป็ น 28.4 ราย ในปี 2539 และยังก่อให้เกิดความสู ญเสี ยทางเศรษฐกิจอีก ประมาณ 60,000 ล้านบาท ถึง 90,000 ล้านบาท หากไม่มีการแก้ไขคาดว่าคนไทยจะเสี ยชี วิตจากอุบตั ิเหตุ จราจรสู งถึง 3 คนต่อชัว่ โมง และความสู ญเสี ยทางทรัพย์สินอาจมากถึง 3 แสนล้านบาทต่อปี สาหรับ รถจักรยานยนต์ในปั จจุบนั ที่ได้จดทะเบียนมีจานวนกว่า 15 ล้านคัน และเป็ นที่ยอมรับทัว่ ไปว่ากว่า 80% ของอุ บ ัติ เ หตุ จ ราจรทางบกทั้ง หมดเกิ ด จากรถจัก รยานยนต์ อย่า งไรก็ ต ามปั จ จัย การเกิ ด อุ บ ัติ เ หตุ รถจักรยานยนต์ในประเทศไทยยังไม่เป็ นที่ทราบแน่ชดั เนื่องจากข้อมูลด้านยานพาหนะ ผูข้ บั ขี่ ผูโ้ ดยสาร และสิ่ งแวดล้อมมี ไม่ สมบู รณ์ จึงไม่ส ามารถจาลองสถานการณ์ ก่ อนชน ขณะชน และภายหลัง ชนได้ ดังนั้นการตรวจสอบเชิงลึก ณ สถานที่เกิดเหตุทนั ทีที่ได้รับแจ้งเหตุ จึงเป็ นสิ่ งจาเป็ นในการหาสาเหตุของ การเกิดอุบตั ิเหตุรถจักรยานยนต์และหามาตรการแก้ไขที่เหมาะสมต่อไป เพื่อลดการสู ญเสี ยทั้งทรัพยากร บุคคลและทรัพย์สิน วัตถุประสงค์ ของการทาวิจัย เพื่อหารู ปแบบและปั จจัยของอุบตั ิเหตุรถจักรยานยนต์พร้อมวิเคราะห์ตรวจสอบเชิง ลึก ของอุบตั ิเหตุ ที่เกิ ดขึ้น ณ จุดเกิ ดเหตุตลอดจนการบาดเจ็บที่เกิ ดขึ้นเพื่อเสนอแนะมาตรการการแก้ไขที่ สามารถลดจานวนอุบตั ิเหตุและลดความรุ นแรงของการบาดเจ็บ ระยะเวลาการทาวิจัย ได้กาหนดระยะเวลาไว้ 3 ปี * งานวิจัยนี้ ผู้วจิ ัยได้ รับรางวัลผลงานวิจัย ประจาปี 2545 รางวัลชมเชย สาขาวิทยาศาสตร์ การแพทย์ จากสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ** คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ นครปฐม73000 โทรศัพท์ 0-3425-3840 ต่ อ 2288 โทรสาร 0-3425-5801 (บ้ าน) 0-2651-8204 โทรศัพท์ มือถือ 0-1931-0114

200


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สรุ ปผลการวิจัย ได้ท าการศึ ก ษาอุ บ ัติ เหตุ ร ถจัก รยานยนต์ ณ จุ ด เกิ ด เหตุ จ านวน 1,082 ราย โดย ประกอบด้วยอุบตั ิเหตุจานวน 723 รายใน กทม. และอีกจานวน 359 รายในพื้นที่ 5 จังหวัดได้แก่ จังหวัด เพชรบุรี ตรัง ขอนแก่น สระบุรี และเชียงราย ประมาณร้อยละ 97 ของอุบตั ิเหตุใน กทม. และร้อยละ 85 ในต่างจังหวัด สามารถดาเนินการตรวจสอบได้ภายใน 15 นาที หลังได้รับแจ้งเหตุโดยที่ผขู้ บั ขี่ ผูโ้ ดยสาร และยานพาหนะที่เกี่ยวข้องยังอยู่ในที่เกิดเหตุ ส่ วนที่เหลื อสามารถตรวจสอบได้ภายใน 1 ถึง 2 ชัว่ โมง ภายหลัง เกิ ดเหตุ และยัง พบร่ องรอย เช่ น รอยครู ด รอยเบรค ตลอดจนยานพาหนะยัง อยู่ในที่ เกิ ดเหตุ ข้อมูลด้านสิ่ งแวดล้อม ยานพาหนะ ผูข้ บั ขี่ /ผูโ้ ดยสารรวมทั้งพยานที่ เห็ นเหตุ การณ์ จะถู กบันทึ ก และ วิเคราะห์ เพื่ อจาลองสถานการณ์ ท้ งั ก่ อนชน ขณะชนและภายหลัง ชน นอกจากนี้ ภายหลัง เกิ ดเหตุ 1 สัปดาห์ ใ นวันและเวลาเดี ยวกัน ยังได้เดิ นทางไปยัง สถานที่ เกิ ดอุ บตั ิ เหตุ เพื่ อรวบรวมข้อมูล เพิ่ม เติ ม เกี่ ยวกับจานวนรถที่ ผ่า นจุ ดเกิ ดเหตุ เป็ นจานวนกว่า 92,000 คัน รวมทั้งข้อมู ลเบื้ องต้นของผูข้ บั ขี่ / ผูโ้ ดยสาร อาทิเช่น เพศ, หมวกนิรภัยที่สวม, การเปิ ดปิ ดไฟหน้าของรถจักรยานยนต์ขณะขับขี่ , จานวน ผูโ้ ดยสาร, สัมภาระที่บรรทุก เป็ นต้น และเพื่อให้ได้ปัจจัยข้อมูลของผูข้ บั ขี่และผูโ้ ดยสารตามสถานี จาหน่ายน้ ามันที่อยูใ่ กล้เคียงกับจุดเกิดเหตุจานวน 3,160 คน ผลการวิจยั พบว่า 2 ใน 3 ของอุบตั ิเหตุรถจักรยานยนต์ใน กทม. และร้อยละ 46 ใน ต่างจังหวัด เกิ ดขึ้นในเวลากลางคืน สาหรับอุบตั ิเหตุรุนแรงในกทม. พบว่าร้ อยละ 85 เกิ ดขึ้นในเวลา กลางคืน ส่ วนในต่างจังหวัดประมาณ 2 ใน 3 เกิดขึ้นในเวลาค่า ประมาณร้อยละ 90 ของอุบตั ิเหตุภายใน กทม. และต่างจังหวัด มักเกิดบนทางตรงและครึ่ งหนึ่ งเกิดบริ เวณทางแยก ประมาณ 3 ใน 4 ของอุบตั ิเหตุ ทั้ง หมด จะมี ร ถคู่ ก รณี ซ่ ึ งส่ ว นใหญ่ เ ป็ นรถยนต์ รถปิ คอัพ รถบรรทุ ก และรถจัก รยานยนต์ด้ว ยกัน ประมาณ 1 ใน 8 ของอุบตั ิเหตุท้ งั หมดไม่มีรถคู่กรณี ร้อยละ 4 ของอุบตั ิเหตุใน กทม. จะชนคนข้ามถนน แต่ในต่างจังหวัดพบถึงร้อยละ 7 ชนคนข้ามถนนหรื อสัตว์ รู ปแบบการชนที่พบได้บ่อยที่สุด ได้แก่ การ ชนท้ายรถคู่กรณี ซ่ ึ งพบกว่าร้อยละ 14 ใน กทม. และร้อยละ 9 ในต่างจังหวัด รู ปแบบอื่นที่พบบ่อย ได้แก่ รถคู่กรณี ที่เลี้ยวหรื อทา U-turn ตัดหน้ารถจักรยานยนต์ ความเร็ วเฉลี่ยก่อนชน และขณะชนของอุบตั ิเหตุ ที่ไม่เสี ยชี วิตประมาณ 38 และ 32 กม./ชัว่ โมง ในขณะที่ความเร็ วเฉลี่ยก่อนชนและขณะชนในอุบตั ิเหตุ รุ นแรงถึงเสี ยชีวติ เพิม่ ขึ้นเป็ น 53 และ 50 กม./ชัว่ โมง ปั จจัยสิ่ งแวดล้อมที่มีส่วนร่ วมในการเกิดอุบตั ิเหตุพบกว่าร้อยละ 16 ที่สาคัญได้แก่ สิ่ ง กีดขวางทัศนวิสัยของผูข้ บั ขี่ อาทิเช่น ป้ ายโฆษณา ตูไ้ ปรษณี ย ์ ตูโ้ ทรศัพท์ เสาสะพาน ต้นไม้หรื อพุ่มไม้ โดยเฉพาะอย่างยิง่ บนผิวจราจรการติดตั้งแผ่นคอนกรี ตกีดขวางเส้นทางขาดการบารุ งรักษาพื้นผิวจราจร ที่เป็ นหลุม บ่อ ตลอดจนเครื่ องหมาย สัญญาณไฟจราจรที่บกพร่ อง โดยเฉพาะในเวลากลางคืนที่มกั เปิ ด ไฟเหลืองกระพริ บ 201


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ปั จจัยด้านยานพาหนะส่ วนใหญ่เกิดจากการขาดการดูแลรักษาอุปกรณ์ที่ชารุ ดหรื อมีไม่ ครบ หรื อไม่สามารถใช้งานได้ ที่สาคัญได้แก่ ไฟหน้ารถจักรยานยนต์ ไฟท้าย, เบรกหน้า-หลัง และ กระจกมองหลัง ปั จจัยด้านผูข้ บั ขี่พบว่า ร้อยละ 96 ของผูข้ บั ขี่ใน กทม. เป็ นชาย แต่ในต่างจังหวัดกว่า 1 ใน 5 ของผูข้ บั ขี่เป็ นหญิงและกว่า 1 ใน 3 ของผูข้ บั ขี่ในต่างจังหวัด มีอายุนอ้ ยกว่า 21 ปี ร้อยละ 40 ของผู้ ขับขี่ใน กทม. ดื่มสุ ราก่อนเกิดอุบตั ิเหตุ ส่ วนในต่างจังหวัด พบประมาณร้อยละ 30 ผูท้ ี่ดื่มสุ รามักจะฝ่ า ฝื นสั ญญาณจราจร ขับ ด้วยความเร็ วสู ง ส่ วนใหญ่ ไ ม่ ส วมหมวกนิ รภัย และมัก เกิ ดอุ บตั ิ เหตุ ใ นเวลา กลางคืน ผูข้ บั ขี่ที่ดื่มสุ รามีโอกาสจะสู ญเสี ยการควบคุ มรถจักรยานยนต์หรื อวิ่งแหกโค้งได้ง่าย ดังนั้น ส่ วนใหญ่จึงไม่มีคู่กรณี นอกจากนี้ จานวนอุบตั ิเหตุกว่า 2 ใน 3 ในต่างจังหวัด และ 3 ใน 4 ของอุบตั ิเหตุ ใน กทม. ของผุท้ ี่ดื่มสุ ราเป็ นอุบตั ิเหตุที่รุนแรงจนเสี ยชีวติ ประมาณร้อยละ 17 ของผูข้ บั ขี่กลุ่มอุบตั ิเหตุใน กทม. และครึ่ งหนึ่ งในต่างจังหวัดไม่มี ใบอนุ ญาตขับขี่ กว่าร้อยละ 87 ของผูข้ บั ขี่ใน กทม. และ 3 ใน 4 ของผูข้ บั ขี่ในต่างจังหวัดจะฝึ กขับด้วย ตนเอง ที่เหลือจะฝึ กหัดจากเพื่อน หรื อ ญาติ พฤติกรรมเสี่ ยง อาทิ เช่น การขับฝ่ าสัญญาณจราจร แซงใน ที่คบั ขัน ขับย้อนทิศทางหรื อขับตามในระยะกระชั้นชิ ด พบได้ 3 ใน 4 ของผูข้ บั ขี่ท้ งั หมดซึ่ งส่ วนใหญ่ เป็ นปั จจัยที่ ทาให้เกิ ดอุ บตั ิ เหตุ นอกจากนี้ ยงั มีผูข้ บั ขี่กว่าร้ อยละ 12 ที่ไม่เปิ ดไฟหน้ารถจักรยานยนต์ ในขณะขับขี่เวลากลางคืน ทาให้ผขู้ บั รถในคู่กรณี มองไม่เห็น จะเห็นได้วา่ อุบตั ิเหตุในเวลากลางคืนที่เกิด จากการที่คู่กรณี เลี้ยวตัดหน้ารถจักรยานยนต์จะเพิ่มขึ้น 5 เท่าตัวเมื่อผูข้ บั ขี่รถจักรยานยนต์ไม่ได้เปิ ดไฟ หน้า ประมาณครึ่ งหนึ่ งของผูข้ บั ขี่รถจักรยานยนต์ไม่ได้กระทาสิ่ งใดที่จะเป็ นการหลีกเลี่ ยง อุบตั ิเหตุ และเมื่อกระทาการหลีกเลี่ยงอุบตั ิเหตุ มีเพียงร้อยละ 12 เท่านั้น ที่เลือกวิธีการหลีกเลี่ยงที่ถูกต้อง และกระทาได้อย่างเหมาะสม ผูข้ บั ขี่ส่วนใหญ่มกั ใช้แต่เบรคหลังทั้งที่กว่าร้อยละ 70 ของแรงเบรคเกิ ด จากการใช้เบรคหน้า ประมาณ 2 ใน 3 ของผูข้ บั ขี่กลุ่มอุบตั ิเหตุ และน้อยกว่า 1 ใน 3 ของผูโ้ ดยสารใน กทม. สวมหมวกนิ รภัย แต่พบเพียงร้ อยละ 22 ของผูข้ บั ขี่และร้อยละ 4 ของผูโ้ ดยสารในต่างจังหวัดที่สวม หมวกนิ รภัย จากการสัมภาษณ์ พบว่า ผูข้ บั ขี่ส่วนใหญ่จะสวมเมื่อคาดว่าจะพบเจ้าหน้าที่ตารวจ ดังนั้น อัตราการสวมหมวกนิ รภัยในเวลากลางคืน เวลาเย็น หรื อรุ่ งเช้าจึงพบน้อยมาก และส่ วนใหญ่มกั ไม่ใช้ สายรัดคางหรื อรัดคางหลวม ๆ หรื อสวมไม่ถูกวิธี การบาดเจ็บส่ วนใหญ่มกั เกิดที่ขาและแขน ซึ่ งถึงแม้จะไม่รุนแรงจนเป็ นเหตุให้เสี ยชี วิต แต่มกั เป็ นสาเหตุให้เกิดความพิการได้ ทาให้ไม่สามารถประกอบอาชี พที่ตอ้ งใช้แรงงานโดยเฉพาะเมื่อมี 202


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

การหักอย่างรุ นแรงของกระดูกข้อเท้า ขา และแขน สาเหตุสาคัญที่ทาให้เสี ยชี วิต ได้แก่ การบาดเจ็บที่ บริ เวณศรี ษะ ทรวงอก คอ และช่องท้อง ผลการวิ จ ัย จึ ง สรุ ป ได้ว่า ปั จ จัย ชัด เจนของผูข้ ับ ขี่ ไ ด้แก่ ก ารขาดความรู ้ ใ นการขับ ขี่ ปลอดภัย และการดื่มสุ ราทาให้เกิดพฤติกรรมเสี่ ยงในการขับขี่ตามมา สาหรั บมาตรการแก้ไข ผลการศึกษาชี้ ให้เห็ นว่าการสอนวิธีการขับขี่รถจักรยานยนต์ อย่างปลอดภัยเป็ นสิ่ งจาเป็ นอย่างยิ่ง เนื่ องจากเป็ นวิธีเดียวที่จะทาให้ความรู ้เกี่ยวกับกฎจราจร วิธีขบั ขี่ที่ปลอดภัย เพิ่มทักษะหลี กเลี่ ยงการชนรวมทั้งการเลื อกหมวกนิ รภัยและวิธีใช้หมวกนิ รภัยที่ ถูกต้อง หลักสู ตรนี้ จะเกิดผลหากเป็ นข้อกาหนดในการขอใบอนุ ญาตขับขี่หรื อให้ฝึกทดแทนการเสี ยค่าปรับเมื่อ ทาผิดกฎจราจร การจัดให้มีหลักสู ตรสอนการขับขี่ปลอดภัย จึงเป็ นการเปิ ดโอกาสให้ผูใ้ ช้ถนนได้รับ ข้อมูลที่มีคุณค่าด้านความปลอดภัย การบังคับใช้กฎหมาย ควรเน้นไปเรื่ องการดื่มสิ่ งมึนเมา ผูข้ บั ขี่ที่มีพฤติกรรมเสี่ ยง และ ผู ้ที่ ไ ม่ มี ใ บอนุ ญ าตขั บ ขี่ ซึ่ งเป็ นกลุ่ ม ใหญ่ ใ นกลุ่ ม อุ บ ั ติ เ หตุ กฎหมายต้ อ งบั ง คั บ ใช้ ท้ ั ง ผู ้ข ั บ ขี่ รถจักรยานยนต์และผูข้ บั ขี่รถคู่กรณี ข้อกฎหมายที่เคร่ งครัดและบทลงโทษ จึงเป็ นสิ่ งจาเป็ นเพื่อย้ าผูข้ บั ขี่ อย่างอันตราย การออกแบบถนนและการบ ารุ ง รั ก ษาจ าเป็ นต้อ งมี ก ารพัฒ นา โดยเฉพาะบริ เ วณ ก่ อสร้ างที่ เป็ นปั ญหาใหญ่ใ นเวลากลางคื นเพราะขาดสัญญาณไฟเตื อน หรื อแผ่นสะท้อน รวมทั้งสิ่ ง ปนเปื้ อนบนผิวจราจรที่อยูข่ า้ งเคียงติดตั้ง ป้ ายเตือนทางโค้งที่ชดั เจน ควรเพิม่ เติมป้ ายสัญญาณจราจร เช่น ป้ ายหยุด ป้ ายให้ทางตามบริ เวณ 3 แยก ควรเลิ กใช้สัญญาณไฟเหลื องกระพริ บพร้ อมกันที่ทางแยกใน เวลากลางคืน แต่อาจปรับให้ทางเอกเป็ นเหลื องกระพริ บ ทางโทเป็ นแดงกระพริ บหรื อใช้สัญญาณไฟ ตามปกติเช่นเดียวกับในเวลากลางวัน แผ่นเหล็กสะท้อนแสงที่ใช้แบ่งช่ องทางเดิ นรถ ควรทดแทนด้วย แผ่น เหล็ ก ขนาดเล็ ก เรี ย บกลมที่ ไ ม่ เ ป็ นอัน ตรายต่ อ รถจัก รยานยนต์ การบัง คับ ใช้ก ฏหมายส าหรั บ รถบรรทุกที่จอดข้างทางในเวลากลางคืนให้ติดแผ่นสะท้อนแสงที่บริ เวณด้านหลังของรถบรรทุก ทาให้ผู ้ ขับขี่มาด้านหลัง เห็นได้ง่ายและช่วยลดอุบตั ิเหตุที่ไม่ควรเกิดขึ้นลงได้ ควรยกเลิ กการบังคับให้รถจักรยานยนต์วิ่งเฉพาะในช่ องทางซ้ายสุ ด อย่างน้อยในตัว เมื อ งและย่า นธุ ร กิ จ เพราะนอกจากจะไม่ ไ ด้ป ระโยชน์ อย่า งชัด เจนแล้วยัง เป็ นเหตุ ใ ห้ เกิ ดอุ บ ตั ิ เหตุ รถจักรยานยนต์ได้มากขึ้น โดยเฉพาะสิ่ งกีดขวางจากป้ ายโฆษณา ตูไ้ ปรษณี ย ์ ตูโ้ ทรศัพท์ ฯลฯ ที่จะบัง ไม่ให้เห็นรถคู่กรณี ที่ออกจากซอยหรื อรถคู่กรณี ที่จอดอยูท่ ี่ขา้ งทาง ปรั บปรุ งการเก็บข้อมูลบริ เวณที่ เกิ ดเหตุ ของเจ้าหน้าที่ ตารวจให้เป็ นไปอย่างมี ระบบ เพื่อที่จะใช้เป็ นมาตรฐานข้อมูลในการหามาตรการการแก้ไขเพื่อลดจานวนอุบตั ิเหตุลง 203


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ควรปรั บ ปรุ ง ข้อบัง คับ การใช้หมวกนิ รภัย โดยให้ใ ช้แต่ หมวกนิ ร ภัย ที่ ไ ด้ม าตรฐาน เท่านั้น ตลอดจนการใช้สายรั ดคางให้แน่ นและการสวมที่ ถูกวิธีเพราะผลการศึ กษาชี้ ให้เห็ นว่าหมวก นิรภัยส่ วนใหญ่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่สามารถรับแรงกระแทกได้เท่าที่ควร และหมวกนิ รภัยมักจะหลุดออก ก่อนจะได้ทนั ป้ องกันการบาดเจ็บที่ศรี ษะ รวมทั้งควรมีการจัดตั้งห้องทดสอบคุ ณภาพของหมวกนิ รภัย ก่อนนาออกจาหน่ ายเนื่ องจากการบาดเจ็บศีรษะทาให้เกิ ดความพิการและการสู ญเสี ยทรัพยากรบุคคล มากที่สุด การให้ค วามรู ้ เกี่ ย วกับ อุ ป กรณ์ ป้ องกันเป็ นเรื่ อ งส าคัญที่ ค วรจะถู ก เผยแพร่ เ กี่ ย วกับ ประโยชน์ในการป้ องกันการบาดเจ็บ เช่ น จัดให้มีการประชาสัมพันธ์ ทางสื่ อโทรทัศน์และบิ ลบอร์ ด เกี่ ย วกับ การใช้ห มวกนิ รภัย อุ บ ัติ เหตุ จ ากการดื่ ม สิ่ ง มึ นเมา ความส าคัญ ของไฟหน้า รถและไฟท้า ย ตลอดจนข้อมูลสาคัญอื่น ๆ ที่ช่วยให้การขับขี่รถจักรยายยนต์เป็ นไปอย่างปลอดภัย ประโยชน์ ทไี่ ด้ รับจากการวิจัย ประโยชน์ต่อประชาชน งานวิจยั นี้ ได้ช้ ี ให้เห็ นปั จจัยการเกิ ดอุบตั ิเหตุที่เกิดจากการที่ผู ้ ขับขี่ส่วนใหญ่ขาดความรู ้ในการขับขี่อย่างปลอดภัย ทาให้บริ ษทั AP Honda ได้ดาเนิ นประสานงานกับ ทางราชการในการออกใบอนุ ญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ให้กบั ผูท้ ี่ได้ผา่ นหลักสู ตรการขับขี่ปลอดภัยแล้ว และหากมีการขยายหน่วยงานออกไปอีกโดยภาครัฐร่ วมกับภาคเอกชน จะทาให้ประชาชนได้ตระหนัก และเรี ยนรู ้วิธีการขับขี่ที่สามรถหลีกเลี่ ยงอันตรายได้ รู ้และเคารพกฎจราจรมากขึ้น รู ้ วิธีการสวมหมวก นิรภัยที่ถูกต้องเลือกใช้แต่หมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐาน ข้อเสนอแนะด้านการปรับปรุ งรถจักรยานยนต์ โดย นาระบบ “เบรคร่ วม” (combined braking system) ให้เบรคหน้าหลังทางานพร้อมกัน มาใช้ระบบไฟหน้า ติดอัตโนมัติหรื อการติ ดตั้งเซนเซอร์ ไฟหน้าให้ทางานเมื่อแสงสว่างมีไม่เพียงพอ จะทาให้ประชาชน จานวนมากได้ใช้รถจักรยานยนต์ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น ประโยชน์ต่อประเทศ เป็ นที่ยอมรั บกันโดยทัว่ ไปว่าอุบตั ิเหตุจราจรทางบกส่ วนใหญ่ เกิดจากจักรยานยนต์ที่มีจานวนเพิ่มสู งขึ้นอย่างรวดเร็ ว ทาให้ตอ้ งสู ญเสี ยทรัพยากรมนุ ษย์และทรัพย์สิน จานวนมากตลอดจนเป็ นปั ญหาทางด้านสาธารณสุ ข ในกรณี ที่ผขู้ บั ขี่หรื อผูโ้ ดยสารได้รับบาดเจ็ บอย่าง ถาวร และการไม่มีการแก้ไขความสู ญเสี ยจะยิ่งมากขั้นในอนาคตงานวิจยั นี้ จึงได้นาเสนอมาตรการการ แก้ไขเพื่อลดจานวนอุบตั ิเหตุและความรุ นแรงของการบาดเจ็บ โดยคานึ งถึงความเป็ นไปได้ในเชิ งปฏิบตั ิ อีกทั้งสามารถจะนาวิธีการตรวจสอบมาฝึ กอบรมให้ผเู ้ กี่ยวข้องและเจ้าหน้าที่ตารวจจราจรมีความรู้ความ เข้าใจและสามารถเสนอหาแนวทางแก้ไขให้ดียงิ่ ขึ้นต่อไป อาทิเช่ น สามารถเก็บบันทึกข้อมูลบริ เวณที่ เกิ ดอุ บตั ิ เหตุ ได้อย่างเป็ นระบบ และใช้เป็ นฐานข้อมูลที่ หาวิธีการแก้ไขทางกายภาพของสิ่ งแวดล้อม บริ เวณนั้นได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ 204


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ประโยชน์ทางวิชาการ ข้อมูลในเชิ งลึกจานวนกว่า 2,250 ข้อมูลต่ออุบตั ิเหตุ 1 ราย ถูก นามาตี พิมพ์เผยแพร่ ให้องค์ความรู ้ ใหม่ ด้านอุ บตั ิเหตุ ในแง่มุมต่าง ๆ อาทิ เช่ นการบาดเจ็บโดยเฉพาะ บริ เวณคอ ความแตกต่างของอุบตั ิเหตุในกลุ่มที่ดื่มสุ ราและไม่ดื่มสุ ราวิธีการวิเคราะห์ความเสี ยหายต่อ หมวกนิรภัย ฯลฯ และสามารถที่จะนาข้อมูลเหล่านี้ ไปดัดแปลงเพื่อใช้หาปั จจัยอุบตั ิเหตุจากยานพาหนะ อื่น เช่น รถยนต์ เป็ นต้น ศักยภาพในการพัฒนาไปสู่ ภาคอุตสาหกรรม ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปั ญหาด้านยานพาหนะของงานวิจยั นี้ Honda R & D ประเทศ ญี่ปุ่น และบริ ษทั AP Honda ประเทศไทยได้แจ้งในวันแถลงผลงานวิจยั ชิ้นนี้ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2545 นี้ วา่ เห็ นชอบกับข้อเสนอแนะและจะนาข้อเสนอเรื่ องระบบไฟหน้าและระบบ “เบรคร่ วม” ไป พัฒนาเพื่อใช้ในการผลิ ตรถจักรยานยนต์ต่อไปในอนาคตอันใกล้ ซึ่ งจะเป็ นผลให้มีการเปลี่ ยนแปลงใน อุ ตสาหกรรมการผลิ ตรถจัก รยานยนต์ภายในประเทศในทิ ศ ทางที่ เป็ นประโยชน์ ต่อประชาชนและ ประเทศโดยรวม

205


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เรื่องที่ 3 สาขาวิทยาศาสตร์ เคมีและเภสั ช บทคัดย่อ รายงานการวิจัย เรื่อง เจลฟ้าทะลายโจรเพือ่ ใช้ เสริมการรักษาโรคปริทนั ต์ อกั เสบ * (Andrographis particulate gel as an adjunction for periodontitis) โดย ภญ.รศ.ดร.ปลืม้ จิ ตต์ โรจนพันธุ์ ** บทคัดย่อ การวิจยั นี้มีวตั ถุประสงค์เพื่อพัฒนายาสมุนไพรแผนปั จจุบนั เพื่อการนาสมุนไพรสมบัติ ล้ าค่าของประเทศซึ่ งบรรพบุรุษไทยได้ใช้กนั มาช้านานทั้งในด้านยา อาหาร และเครื่ องสาอาง มาทาการ วิจยั ค้นคว้า และพัฒนาเป็ นยาแผนปั จจุบนั เพื่อใช้เสริ มการรักษาโรคปริ ทนั ต์อกั เสบ (ประชากรทัว่ โลก เมื่ออายุ 60 ปี ขึ้นไป เป็ นโรคนี้มากกว่า 80%) เพื่อการพึ่งตนเอง เพื่อการทดแทนการนาเข้าผลิตภัณฑ์จาก ต่างประเทศ เพื่อพัฒนาสู่ อุตสาหกรรมการส่ งออก และเพื่อพัฒนาเศรษฐกิ จ สังคม ความเจริ ญ ความ ปลอดภัย และความมัน่ คงของประเทศ ผลการวิจยั สรุ ปได้ดงั นี้ งานวิจยั ชิ้นนี้ เป็ นการศึกษาแบบชุ ดโครงการวิจยั ต่อเนื่ องระยะ ยาว เริ่ มการวิจยั ตั้งปี พ.ศ. 2535 โดยการนาสารสกัดสมุนไพรหลายชนิดที่มีขอ้ มูลจากภูมิปัญญาไทย เพื่อ ทดสอบเชื้ อจุลินทรี ยท์ ี่เป็ นสาเหตุของโรคปริ ทนั ต์อกั เสบ (Porphyromanas gingivalis) พบว่า สารสกัด ฟ้ าทะลายโจรสามารถทาลายเชื้ อโรคปริ ทนั ต์อกั เสบได้ดี จึงได้วางแผนงานการพัฒนาผลิ ตภัณฑ์เจลฟ้ า ทะลายโจรเพื่อใช้เสริ มการรักษาโรคปริ ทนั ต์อกั เสบแบบครบวงจรโดยเริ่ มตั้งแต่การนาส่ วนต่าง ๆ ของ พืชมาทาการสกัดเปรี ยบเทียบเพื่อตรวจดูวา่ ส่ วนใดของพืชมีสารสาคัญมากที่สุด ซึ่ งพบว่า ใบเป็ นส่ วนที่ มีสารสาคัญคือ Andrographolide สู งสุ ด จากนั้นได้พฒั นาวิธีการสกัดและเลือกตัวทาละลายที่จะให้ผล ในการสกัดสู งสุ ด ทาการทดสอบปริ มาณสารสาคัญ และคุ ณสมบัติในการทาลายเชื้ อโรคที่เป็ นสาเหตุ ของโรคปริ ท ัน ต์อ ัก เสบพบว่า ปริ ม าณสารส าคัญ อยู่ใ นเกณฑ์ ม าตรฐาน และแสดงฤทธิ์ ในการฆ่ า เชื้อจุลินทรี ยด์ ีมาก พัฒนาวิธีการสกัดเพื่อให้สารสกัดในรู ปแบบที่เหมาะสมต่อการนาไปพัฒนาตารับ นา สารสกัดที่ได้ทดสอบประสิ ทธิ ภาพการฆ่าเชื้ อโรคในหลอดทดลอง เพื่อเป็ นแนวทางในการพัฒนา ตารับและทดสอบความเป็ นพิษในสัตว์ทดลอง ได้ทาการคัดเลือกเจลเบสที่จะนามาใช้ในการเป็ นพาหะ * งานวิจัยนี้ ผู้วจิ ัยได้ รับรางวัลผลงานประดิษฐ์ คดิ ค้ น ประจาปี 2545 รางวัลดีเยีย่ ม สาขาวิทยาศาสตร์ เคมีและเภสัช จากสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ** รองศาสตราจารย์ ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิ ดล” E-mail : Pypri@mahidol.ac.th

206


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สาหรั บสารสกัดฟ้ าทะลายโจร โดยทาการทดสอบความเข้ากันได้ของเจลเบสสารสกัดฟ้ าทะลายโจร ศึกษาพัฒนาตารับเจลฟ้ าทะลายโจรตามขั้นตอนต่าง ๆ ของการพัฒนา จนได้รับตารับเป็ นที่น่าพอใจ ได้ ทาการทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพ และเคมีรวมทั้งความคงตัวของตารับและความปลอดภัยของตารับ ในสัตว์ทดลอง จากนั้นนาผลิ ตภัณฑ์ที่ได้รับทาการทดลองทางคลิ นิกกับผูป้ ่ วย เปรี ยบเที ยบการรั กษา แบบวิธีการดั้งเดิมที่เคยใช้ คือ การขูดหิ นน้ าลายและเกลารากฟัน เปรี ยบเทียบกับการใช้เจลฟ้ าทะลายโจร ช่วยเสริ มในการรักษา พบว่าการรักษาโดยการใช้ยาร่ วมด้วยให้ผลดีกว่ารักษาแบบเดิมที่ไม่ใช้ยา และเมื่อ นามาทดลองในผูป้ ่ วยเพื่อเปรี ยบเทียบกับยาปฏิชีวนะจากต่างประเทศ คือ Elysol (Metromidazole) และ Minocyline ointment พบว่าได้ผลการรักษาเทียบเท่ายาปฏิชีวนะจากต่างประเทศ และยังมีขอ้ ดีกว่ายาจาก ต่างประเทศอีกหลายประการ อาทิสามารถลดเชื้ อรู ปแท่งที่เป็ นสาเหตุของโรคปริ ทนั ต์อกั เสบได้อย่างมี นัยสาคัญซึ่ งแตกต่างนี้ไม่พบในกลุ่มอื่น ยิ่งไปกว่านี้ สามารถทาให้เชื้ อรู ปกลมกลับสู่ สภาวะสมดุลได้เร็ ว ขึ้น (ซึ่ งเป็ น normal flora ในปากมีหน้าที่ช่วยปกป้ องสุ ขภาพช่องปาก และช่วยทาลายเชื้ อที่เป็ นสาเหตุ ของโรคในช่องปากต่าง ๆ ) นอกจากนี้ ยงั พบว่าสามารถกระตุน้ การเคลื่ อนที่ของ fibroblast ซึ่ งมีส่วน สาคัญในการเจริ ญของกระดูกเบ้าฟัน นับว่า “เจลฟ้ าทะลายโจรเพื่อใช้เสริ มการรักษาโรคปริ ทนั ต์อกั เสบ” เป็ นผลิตภัณฑ์ยา สมุนไพรแผนปั จจุบนั ตารั บแรกของประเทศไทย ที่มีก ารวิจยั ค้นคว้าและพัฒนาการหลัก เกณฑ์และ ขั้นตอนของกระบวนการวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ ได้อย่างครบวงจร

207


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

Abstract The research work has the objective of natural product discovery and development for self- sufficient in drug supply and for self economic survival. The crude extract of Andrographis paniculata was developed into a modern medicine in the form of Liquid Crystal Gel which showed good physical and chemical properties together with the in vitro biological properties. The clinical trial resulted in useful adjunct for periodontitis treatment together with the ordinary treatment. The subgigival administration of Andrographis panincilate gel and Metronodazole gel as an adjunct in the treatment of periodontitis was found that the application of both gels produced good clinical and microbiological characteristics. The comparison of Andrographis paniculata gel and Minocycline ointment as an adjunctive treatment of early onset periodontitis resulted that, the Andrographis paniculata gel when combined with root planning caused more advantages in term of microbiological results than minocycline gel in the addition to scaling and root planning. In conclusion, Andrographis paniculata gel can be used as an adjunct in the treatment of periodontitis instead of imported antibiotic products

208


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

บทนา โรคปริ ทนั ต์อกั เสบ (Periodontitis) หรื อเดิ มเรี ยกว่า โรครามะนาด เป็ นสาเหตุสาคัญ ของการสู ญเสี ยฟันของประชากรทัว่ โลก การสู ญเสี ยฟันทาให้เกิดผลเสี ยหายหลายประการ เช่น ผูป้ ่ วยไม่ มีฟันในการบดเคี้ยวอาหาร ฟั นข้างเคียงล้มเอียงเข้าหาช่องว่างทาให้อาหารอัดติดซอกฟั น จึงเกิดโรคฟั น ผุ และโรคปริ ทนั ต์ตามมาได้ง่ายการสู ญเสี ยการสบฟันที่ดี ซึ่ งอาจมีผลทาให้เกิดอาการเจ็บขากรรไกรเป็ น ต้น การสู ญเสี ยฟั นเกิ ดขึ้นในบริ เวณฟั นหน้า จะมีผลต่อการออกเสี ยงและสู ญเสี ยความสวยงาม ทาให้ ผูป้ ่ วยขาดความมัน่ ใจในตัวเอง นอกจากนี้ การเป็ นโรคปริ ทนั ต์อกั เสบยังเป็ นแหล่งกาเนิ ดของการติดเชื้ อ (Source of Infection) จึงมีรายงานว่า โรคปริ ทนั ต์อกั เสบอาจเกี่ยวข้องสัมพันธ์กบั โรคทางระบบหลาย ชนิ ด การป้ องกันและการรั กษาโรคปริ ทนั ต์อกั เสบ จึ งเป็ นการลดการสู ญเสี ย ฟั นและทาให้ผูป้ ่ วยมี คุณภาพชีวติ ที่ดีข้ ึน ช่วยป้ องกันปั ญหาสุ ขภาพทางกายที่มีผลกระทบจากสุ ขภาพช่องปาก และยังช่วยลด ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลต้องรับภาระเกี่ยวกับการแก้ไขปั ญหาสุ ขภาพในอนาคตอีกด้วย จากรายงานล่าสุ ดพบว่า ประชากรไทยอายุ 40 ปี ขึ้นไป เป็ นโรคเหงือกอักเสบมากว่า 60% และเมื่ออายุ 60 ปี ขึ้นไป เป็ นโรคปริ ทนั ต์อกั เสบมากกว่า 80% และปั จจุบนั จากการสารวจพบว่า อัตราการเป็ นโรคนี้ ในเด็กและวัยรุ่ นเพิ่มสู งขึ้นมา รวมทั้งประชาการในวัยกลางคนด้วย สรุ ปแล้วโรคนี้ สามารถเป็ นได้กบั คนทุกเพศทุกวัยทัว่ โลก นอกจากนี้ สัตว์ต่าง ๆ ที่ใช้ฟันบดเคี้ยวทั้งหลาย โดยเฉพาะ อย่างยิง่ สัตว์เลี้ยงประเภท สุ นขั แมว ม้า วัว ควาย เมื่ออายุมากขึ้นจะเป็ นโรคปริ ทนั ต์อกั เสบได้เหมือนกัน แทบทั้งสิ้ น และมักจะมีอาการรุ นแรงกว่าในคน ความสาเร็ จของการรักษาโรคปริ ทนั ต์อกั เสบ เริ่ มตั้งแต่การรักษาขั้นต้นคือ สอนวิธีดูแล อนามัยช่องปากจนผูป้ ่ วยปฏิบตั ิเองได้ เพื่อการควบคุมคราบจุลินทรี ยท์ ี่เป็ นสาเหตุของโรคปริ ทนั ต์ โดย การสอนให้ผปู ้ ่ วยคุ น้ เคยกับสภาพเหงื อกและฟั นของตนเอง สามารถรักษาสุ ขภาพในช่ องปากโดยการ แปรงฟันและใช้อุปกรณ์ช่วยทาความสะอาดที่จะเป็ นอย่างถูกต้องจนเกิดความเคยชิ น ร่ วมกับการขูดหิ น น้ าลาย (Scaling) เกลารากฟัน (root planning) และขูดเนื้ อเนื้ อเหงือกที่มีอาการอักเสบเอาออก (gingival curettage) คือการขูดเอาเนื้อเยื่อเหงือกที่ตายและสลายตัวรอบ ๆ ร่ องลึกปริ ทนั ต์ออก เพื่อทาให้ร่างกายมี การสร้างเนื้อเยือ่ เหงือกขึ้นใหม่และยึดเกาะกับรากฟันได้ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี การรั กษาขั้นต้นอาจไม่สามารถกาจัดเชื้ อแบคที เรี ยที่ เป็ น สาเหตุของโรคปริ ทนั ต์อกั เสบได้หมด เนื่ องจากเชื้ อแบคทีเรี ยแทรกซึ มเข้าไปอยูใ่ นเนื้ อเยื่อปริ ทนั ต์ หรื อ อยูใ่ นบริ เวณที่เครื่ องมือปริ ทนั ต์เข้าทาความสะอาดไม่ถึง เช่น บริ เวณร่ องลึ กปริ ทนั ต์ที่ลึกมากๆ และคด เคี้ยว และบริ เวณช่องรากฟันกราม (Furcation) เป็ นต้น การที่แบคทีเรี ยที่เป็ นสาเหตุของโรคยังหลงเหลือ อยูใ่ นร่ องลึกปริ ทนั ต์ อาจทาให้โรคปริ ทนั ต์อกั เสบกลับเป็ นซ้ าได้อีก จึงจาเป็ นต้องรักษาเพิ่มเติมด้วยการ ทาศัลยกรรมปริ ทนั ต์ซ่ ึ งเป็ นขั้นตอนที่ยงุ่ ยาก เสี ยเวลาและค่าใช้จ่ายมาก อีกทั้งยังต้องมีการคัดเลือกผูป้ ่ วย 209


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคทางระบบที่เป็ นอุปสรรคต่อการทาศัลยกรรม นอกจากนี้ ยงั ต้องทาโดยทันต แพทย์เฉพาะทางเป็ นส่ วนใหญ่ซ่ ึ งมีอยูน่ อ้ ย การใช้ยาต้านจุลินทรี ย ์ (Antimicrobial drug) จึงเป็ นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะใช้เสริ มการ รักษาขั้นต้นเพื่อยับยั้งหรื อฆ่าเชื้อโรคที่เป็ นสาเหตุของโรคปริ ทนั ต์อกั เสบเพื่อลดการกลับเป็ นซ้ าของโรค และลดความจาเป็ นในการศัลยกรรมปริ ทนั ต์และเพื่อเป็ นอี กทางเลื อกหนึ่ งที่ผูป้ ่ วยไม่สามารถรับการ รักษาด้วยการทาศัลยกรรมปริ ทนั ต์ ยาต้านจุลชีพอาจใช้ทางระบบหรื อเฉพาะตาแหน่งก็ได้ มีรายงานแสดงให้เห็นว่าการใช้ ยาปฏิชีวนะที่มีขอบข่ายในการออกฤทธิ์ กว้าง (broad spectrum antibiotics) ทางระบบเพื่อเสริ มการรักษา โรคปริ ทนั ต์อกั เสบในผูใ้ หญ่เป็ นวิธีที่มีประสิ ทธิ ภาพ ยาที่ใช้กนั อย่างแพร่ หลายในการศึกษาทางคลินิก ชนิ ดหนึ่ ง คือ เททราไซคลิน (Tetracycline) จากการทดลองพบว่า เททราไซคลิ นและอนุ พนั ธ์ ยับยั้ง แบคทีเรี ยส่ วนใหญ่ที่เป็ นสาเหตุของโรคปริ ทนั ต์อกั เสบ อย่างไรก็ตามการใช้ยาเททราไซคลินทางระบบ จาเป็ นต้องใช้ยาปริ มาณมาก และติ ดต่อกันนานเพื่อความเข้มข้นของยาในร่ องลึ กปริ ทนั ต์ จึ งเกิ ดการ รบกวนสมดุลของเชื้อจุลินทรี ยใ์ นระบบ ก่อให้เกิดการติดเชื้ อสาทับ (superindection) จากเชื้ อรา และอาจ เกิดเชื้อที่ด้ือต่อเททราไซคลินขึ้น ยาปฏิ ชีวนะที่ ใ ช้ม ากทางระบบอี ก ชนิ ดหนึ่ ง เมโทรไนดาโซล (Metronidazole) มี ขอบข่ายการออกฤทธิ์ เฉพาะต่อเชื้อจุลินทรี ยช์ นิ ดไม่ใช้ออกซิ เจนในการเจริ ญเติบ สาหรับเชื้ อจุลินทรี ยท์ ี่ ใช้ออกซิ เจนหรื อไม่ใช่ก็ได้ โดยเฉพาะ A. actinomycetemcomtans ขอบข่ายการออกฤทธิ์ ของเมโทรไนดาโซลยังจากัดอยู่ในวงแคบ และอาจมีผลข้างเคียง คือ รบกวนต่อระบบทางเดิ นอาหารและเกิ ดอาการ ของประสาทถ้าได้รับยาติดต่อกันนาน ในกรณี ที่ใช้ซ้ าหลาย ๆ ครั้ง ควรวัดระดับยาในกระแสโลหิ ต และ ตรวจนับเม็ดเลือดขาว เนื่องจากยาทาให้เม็ดเลือดขาวผิดปกติ นอกจากนั้นยังมีผลต่อไตและผิวหนัง และ ในระหว่างการใช้ยาต้องงดเครื่ องดื่มที่มีอลั กอฮอล์ จากรู ปแบบของการรักษาและเหตุผลต่าง ๆ ดังกล่าวเบื้องต้น พอสรุ ปได้วา่ ควรใช้การ รักษาโดยการปฏิบตั ิกบั ร่ องลึกปริ ทนั ต์โดยกรรมวิธีของทันตแพทย์ร่วมด้วยการรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่ งพบว่าการใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ให้ผลดีกว่าการให้ยาโดยการรับประทาน และมีพฒั นายาปฏิ ชีวนะ เฉพาะที่ในรู ปแบบต่าง ๆ เพื่อความเหมาะสมและมีประสิ ทธิ ภาพต่อการใช้รักษาผูป้ ่ วย การใช้ยาปฎิชีวนะส่ วนใหญ่ราคาแพงและต้องนาเข้าจากต่างประเทศ ทาให้ประเทศ ไทยเสี ยดุลการค้ากับต่างประเทศอยูม่ าก กอปรปัจจุบนั กระแสความต้องการยาของโลกเปลี่ยนไป ประชากรโลกหันมาสนใจผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมากขึ้น เนื่องจากยาแผนปัจจุบนั หรื อยาจากสาร สังเคราะห์มกั ทาให้เกิดอาการข้างเคียงต่าง ๆ มากมาย จึงพยายามค้นคว้าสารยาจากธรรมชาติจากพืช 210


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สมุนไพร ซึ่ งมีความเชื่อว่าเนื่องจากเป็ นสารจากธรรมชาติ มีความเป็ นพิษเป็ นภัยน้อยกว่า ได้เริ่ มมีการค้นคว้าข้อมูลทางสมุนไพร เพื่อนาสมุนไพรที่มีศกั ยภาพในการฆ่าเชื้ อ จุลินทรี ยท์ ี่เป็ นสาเหตุของโรคปริ ทนั ต์ ที่สามารถจะนามาพัฒนาให้อยู่ในรู ปแบบที่เหมาะสมในการใช้ เสริ มการรักษาโรคปริ ทนั ต์ จากการศึกษาข้อมูลสมุนไพรและจากที่ผทู ้ ดลองนาสารสกัดจากสมุนไพรทดสอบฤทธิ์ ในฆ่า เชื้ อโรคแบคที เรี ย ต่า ง ๆ พบว่า พืช สมุ นไพรที่ ค ้อนข้า งจะมี ศ กั ยภาพมากที่ สุ ดชนิ ดหนึ่ งคื อ ฟ้ า ทะลายโจร ฟ้ าทะลายโจร เป็ นสมุนไพรหนึ่ งในห้าชนิ ดที่ได้รับการสนับสนุ นให้พฒั นาเป็ นยาเพื่อ ใช้ในโรงพยาบาลชุมชนตามนโยบายสมุนไพรของรัฐบาลในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ งชาติ ฟ้ า ทะลายโจรเป็ นสมุนไพรที่รู้จกั และใช้กนั มาช้านาน มีฤทธิ์ ทางเภสัชวิทยากว้าง จากการทดลองพบว่า สารสกัดฟ้ าทะลายโจรมีฤทธิ์ ยบั ยั้งการเจริ ญเติบโตของเชื้อแบคทีเรี ยทีเป็ นสาเหตุของโรคปริ ทนั ต์อกั เสบ ได้ ในบ้านเรานั้นทันตแพทย์ไม่สามารถใช้ยาปฏิ ชีวนะซึ่ งมี ราคาแพงมากจากนาเข้าจากต่างประเทศ ให้แก่คนไข้ได้ กอรปกับเป็ นความต้องการของการทันตแพทย์เป็ นอย่างมาก ที่จะได้ยาสมุนไพรซึ่ งเป็ น ทรัพยากรล้ าค่าของประเทศไทยเอง จึงได้มีความคิดริ เริ่ มในการวิจยั ค้นคว้าและพัฒนา นาฟ้ าทะลายโจร มาพัฒนาเป็ นยาสมุนไพรแผนปั จจุบนั เพื่อการใช้เสริ มการรักษาโรคปริ ทนั ต์อกั เสบเป็ นตารั บแรกของ โลก และเป็ นยาสมุนไพรแผนปัจจุบนั ตารับแรกของประเทศไทยที่มีการวิจยั ค้นคว้าและพัฒนาครบวงจร โดยความร่ วมมือของคณะเภสัชศาสตร์ และคณะทันตแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิ ดล วัตถุประสงค์ 1. เพื่อการนาสมุนไพรไทยมาพัฒนาเป็ นผลิ ตภัณฑ์ยาสมุนไพรแผนปั จจุบนั เพื่อใช้ เสริ มการรักษาโรคปริ ทนั ต์อกั เสบ 2. เพื่อการพึ่งตนเองทางด้านยาของประเทศ 3. เพื่อพัฒนาสู่ ตลาดโลก ช่วยพัฒนาสังคม เศรษฐกิ จ ความเจริ ญ และความมัน่ คงของ ประเทศ วิธีการดาเนินงาน เนื่องจากเป็ นการวิจยั ค้นคว้าและพัฒนาใหม่อย่างครบวงจร อยูร่ ะหว่างดาเนินการจด สิ ทธิบตั รทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงไม่อาจะเปิ ดเผยรายละเอียดได้พอสรุ ปคร่ าว ๆ ในรู ปแบบ 211


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ของโครงการชุด ได้ดงั นี้ คณะผู้อานวยการชุ ดโครงการวิจัย

Prg. Director (ภญ.รศ.ดร. ปลืม้ จิตต์ โรจนพันธุ์)

Prg. Clerk

Pj1

Prg. Coordinator

Pj2

Pj7

Pj3

Pj8 Pj13

Pj4

Pj9 Pj14

Prg. Planner

Pj5

Pj10 Pj15

Pj6

Pj11 Pj16

Pj12 Pj17

หมายเหตุ Prg. Director = Program Director Prg. Advisor = Program Advisor Prg. Clerk = Program Clerk Prg. Coordinator = Program Coordinator Prg. Planner = Program Planner Prg. Project n. = Program Project n.

212


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

โครงการย่อยต่ าง ๆ ประกอบด้ วย 1. โครงการสกัดสารและทดสอบคุณสมบัติของสารสกัดฟ้าทะลายโจร เป็ นการทดสอบการสกัดส่ วนต่าง ๆ ของต้นฟ้ าทะลายโจร เพื่อตรวจสอบว่าส่ วนใดของ พืชให้สาระสาคัญมากที่ สุด พัฒนาวิธีการสกัดเพื่อให้ได้สาระสาคัญมากที่สุด ตรวจสอบความเข้มข้น ของสารสกัด ทดสอบคุณสมบัติต่าง ๆ ของสารสกัด 2. โครงการทดสอบฤทธิ์ทางจุลชี ววิทยาของสารสกัดฟ้าทะลายโจร ประกอบด้วยการนาสารสกัดฟ้ าทะลายโจรส่ วนต่างๆ ของพืชและการใช้ทาลายที่ต่างๆ กัน สกัดด้วยกรรมวีที่ต่างๆ กัน นามาทดสอบฤทธิ์ ในการฆ่าเชื้ อจุ ลินทรี ยใ์ นหลอดทดลอง เพื่อหาค่า MIC เพื่อเป็ นแนวทางในการพัฒนาตารับต่อไป 3. โครงการทดสอบความเป็ นพิษของสารสกัดฟ้ าทะลายโจร นาสารสกัดฟ้ าทะลายโจรเพื่อทดสอบความปลอดภัยในสัตว์ทดลองก่ อนที่จะทาการ วิจยั ขั้นต่อไป 4. โครงการพัฒนาตารับฟ้ าทะลายโจร ทาการวิจยั พัฒนาตารับฟ้ าทะลายโจรตามหลักการต่าง ๆ นับแต่การคัดเลือกสารก่อเจล ทดสอบความเข้ากันได้ของสารก่อเจลและสารสกัดฟ้ าทะลายโจรและขั้นตอนการพัฒนาตารับต่าง ๆ 5. โครงการทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีของตารับเจลฟ้าทะลายโจร ทาการทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพของตารับเจล เช่น ความหนื ด ความเป็ นกรดด่าง การปลดปล่ อยสารสกัด ฟ้ าทะลายโจรจากตารั บ อิ ท ธิ พ ลของอิ เ ล็ ก โทรไลท์ต่อการปลดปล่ อย การ ทดสอบปริ มาณสาระสาคัญของตารับฟ้ าทะลายโจร 6. โครงการทดสอบทางจุลชี ววิทยาของตารับเจลฟ้าทะลายโจร เป็ นการทดสอบฤทธิ์ ในการฆ่าเชื้อจุลินทรี ยเ์ ป็ นสาเหตุของโรคปริ ทนั ต์อกั เสบในหลอด ทดลองของตารับต่าง ๆ ที่ได้รับการพัฒนา เพื่อคัดเลือกให้ได้ตารับที่มีประสิ ทธิ ภาพในการฆ่าเชื้อสู งสุ ด 7. โครงการทดสอบการปนเปื้ อนจากจุลนิ ทรี ย์ของตารับเจลฟ้าทะลายโจร เนื่ องจากแม้วา่ เจลฟ้ าทะลายโจนจะถื อว่าเป็ นยารักษาแผลสาหรับภายนอก แต่แผลใน ร่ องปริ ทนั ต์น้ นั เป็ นแผลลึกในร่ องเหงือก ซึ่ งมีเชื้ อที่ไม่ตอ้ งการออกซิ เจนในการเจริ ญเติบโตอาศัยอยู่ จึง จาเป็ นต้องปราศจากเชื้ อตามที่กาหนดสาหรั บผลิ ตภัณฑ์ที่ใช้สาหรับแผลต่างๆ ที่ ผิวหนัง แผลอักเสบ และเนื้อเยือ่ ของร่ างกาย เช่น จมูก คอ และ หู 213


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

8. โครงการทดสอบความคงตัวของตารับเจลฟ้าทะลายโจร เป็ นการทดสอบความคงตัวทางกายภาพและเคมีของผลิตภัณฑ์เจลฟ้ าทะลายโจรโดย การเก็บเจลฟ้ าทะลายโจรไว้ที่อุณหภูมิต่าง ๆ ในระยะเวลาหนึ่ งทดสอบคุ ณสมบัติต่าง ๆ ทางกายภาพ เช่น ความหนืด ความเป็ นกรดด่าง การปลดปล่อยสารสกัด ฤทธิ์ ในการฆ่าเชื้อในหลอดทดลอง และความ เข้มข้นของสารสกัดสาคัญ 9. โครงการทดสอบความเป็ นพิษของตารับเจลฟ้าทะลายโจร เมื่อนาสารสกัดฟ้ าทะลายโจรผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ในการพัฒนาตารับ เมื่อได้ตารับเป็ นที่ เรี ยบร้อยแล้ว จาเป็ นต้องนามาทดสอบความเป็ นพิษในสัตว์ทดลองอีกครั้ง เพื่อความปลอดภัยก่อนที่จะ นามาทาการทดสอบในผูป้ ่ วย 10. โครงการการวิจัยทางคลินิกเพือ่ ทดสอบประสิ ทธิภาพของตารับเจลฟ้าทะลายโจรใน ผู้ป่วยอาสาสมัคร เมื่อได้ตารับเจลฟ้ าทะลายโจรที่มีคุณสมบัติตามต้องการแล้ว ถึ งขั้นตอนการวิจยั ทาง คลินิก โดยทดสอบในผูป้ ่ วยอาสาสมัคร เปรี ยบเทียบการใช้ยาเจลฟ้ าทะลายโจรเสริ มการรักษากับการใช้ วิธีการรักษาแบบเดิม 11. โครงการพัฒนาตารับเจลฟ้าทะลายโจรให้ มีคุณสมบัติดียงิ่ ขึน้ จากข้ อบกพร่ องใน การทดลองทางคลินิกเบือ้ งต้ น เป็ นการปรับปรุ งพัฒนาข้อบกพร่ องของตารับจากการนาไปทดลองใช้ทางคลินิกเพื่อให้ มีคุณสมบัติดียงิ่ ขึ้น 12. โครงการวิจัยทางคลินิกเพือ่ ทดสอบเปรียบเทียบประสิ ทธิภาพตารับเจลฟ้าทะลาย โจร Elysol (Metronidazole gel) เป็ นการนาตารับเจลฟ้ าทะลายโจรทดลองใช้กบั ผูป้ ่ วยทาการเปรี ยบเทียบกับการใช้ยา Metronodazole gel จากต่างประเทศ 13. โครงการพัฒนาตารับเจลฟ้าทะลายโจรให้ มีคุณสมบัติดียงิ่ ขึน้ เทียบเท่ าผลิตภัณฑ์ จากต่ างประเทศ จากการทดลองโครงการที่ 12 พบว่าผลทางการรักษาดี เทียบเท่ากับใช้ Elysol แต่ คุ ณสมบัติทางกายภาพยังด้อยกว่าเล็กน้อยจึงได้มีการพัฒนาปรั บปรุ งตารั บเพิ่มเติมให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ เทียบเท่ามาตรฐานผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ

214


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

14. โครงการวิจัยทางคลินิกเพือ่ ทดสอบเปรียบเทียบประสิ ทธิภาพตารับเจลฟ้าทะลาย โจรกับยา Minocycline Ointment เมื่ อ ได้รั บ การพัฒ นาต ารั บ ให้ มี คุ ณ สมบัติ ดี ยิ่ ง ขึ้ น แล้ว จึ ง น ามาทดลองทางคลิ นิ ก เปรี ยบเทียบกับยาขี้ผ้ งึ Minocycline 15. โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เจลฟ้าทะลายโจรในระดับกึง่ อุตสาหกรรมเพือ่ ใช้ ในการ วิจัยทางคลินิกระยะที่ 3 เป็ นการพัฒนาวิธีการผลิ ตในระดับกึ่ งอุตสาหกรรมเพื่อการผลิ ตเจลฟ้ าทะลายโจรใน ปริ มาณมากขึ้นกว่าในห้องปฏิบตั ิการ ตามหลักเกณฑ์ของการผลิตยาเพื่อการวิจยั ทางคลินิกระยะที่ 3 16. โครงการศึกษาผลของยาเจลฟ้าทะลายโจรในการร่ วมรักษาโรคปริทนั ต์ อกั เสบ เป็ นการวิจยั ทางคลินิกระยะที่ 3 ของการใช้ยาเจลฟ้ าทะลายโจรร่ วมรักษาโรคปริ ทนั ต์ อักเสบในระบบเครื อข่ายทัว่ ประเทศ (Multicemter) เพื่อรวบรวมผลในการรักษาในผูป้ ่ วยจานวนมาก ตามเกณฑ์ของการขึ้นทะเบียนยา ในการดาเนินการขึ้นทะเบียนยากับ อย. 17. โครงการศึกษาผลทางเภสั ชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetics) ของ เจลฟ้ าทะลาย โจรในนา้ เหลือง เลือดและนา้ ลาย แม้วา่ ยาเจลฟ้ าทะลายโจรจัดว่าเป็ นยาภายนอก แต่ในการใช้รักษาต้องใส่ ลงในร่ องลึ ก ปริ ทนั ต์ซ่ ึ งอาจมีอาจมีการดูดซึ มเข้าสู่ กระแสโลหิ ตได้ จึงจาเป็ นต้องศึกษาผลทางเภสัชจลนศาสตร์ การรวบรวมข้ อมูลและการวิเคราะห์ ผล เนื่ อ งจากเป็ นการวิ จ ัย ค้ น คว้า พัฒ นายาใหม่ แ บบครบวงจรในรู ปแบบของชุ ด โครงการวิจยั ประกอบด้วยโครงการที่ มีลกั ษณะการวิจยั ที่แตกต่างกันแต่ละวัตถุ ประสงค์ของการวิจยั และเป็ นการ วิจยั ต่อเนื่ องมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2535 จึงมีการเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ผลแตกต่าง กันตามลักษณะของการวิจยั นั้น ๆ เช่ น การพัฒนาวิธีการสกัด โดยการใช้ตวั ทาละลายที่ต่าง ๆ กัน สกัด ส่ วนของพืชที่ต่าง ๆ กัน ด้วยกรรมวิธีการสกัดที่ต่าง ๆ กัน การวิเคราะห์สาระสาคัญใช้วิธีการ TLC การ ใช้ตวั ทาละลายในระบบต่าง ๆ กันในอัตราส่ วนต่าง ๆ กัน และเมื่อใช้ HPLC ย่อมต้องทดสอบระบบของ ตัวทาละลายที่สามารถแยก peak สาระสาคัญต่าง ๆ ออกจากันอย่างชัดเจน การวิเคราะห์ผลใช้หลักการ ของการสกัดสารและการวิเคราะห์สาระสาคัญตามหลักสากล ส่ วนการทดสอบความเป็ นพิ ษ นั้น ด าเนิ นการในสั ตว์ท ดลองซึ่ ง ต้องมี ข้ นั ตอนการ ทดสอบ การแบ่งกลุ่มสัตว์ทดลอง และการแปรผลตามหลักสากลเช่นกัน 215


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ส าหรั บ การพัฒ นาตารั บ นั้น มี ข้ นั ตอนในการดาเนิ น งานมากมายหลายส่ ว นหลาย ขั้น ตอนกว่ า จะเสร็ จ สมบู ร ณ์ ไ ด้ผ ลิ ต ภัณ ฑ์ ที่ มี คุ ณ ภาพและมาตรฐานทัด เที ย มกับ ผลิ ต ภัณ ฑ์ จ าก ต่างประเทศ เป็ นโครงการค่อนข้างใหญ่ซ่ ึ งมีหลักเกณฑ์ในการรวบรวมข้อมูลและการประเมินผลตามแต่ ละส่ วนย่อยของโครงการตามหลักสากลเช่นเดียวกัน ดังจะเห็ นได้ว่า แต่ละตัวอย่างของโครงการย่อยมีพ้ืนฐานของการทดลองแตกต่างกัน โดยสิ้ นเชิ ง ใช้วิธีการและหลักการต่าง ๆ กัน ซึ่ งไม่สามารถชี้ แจงรายละเอียดได้ท้ งั หมด กอปรทั้งเป็ น การวิจยั ค้นคว้าและพัฒนายาใหม่ อยู่ระหว่างขั้นตอนการดาเนิ นการจดสิ ทธิ บตั รจึงไม่สามารถชี้ แจง รายละเอียดได้ท้ งั หมด เป็ นเพียงแต่หลักเกณฑ์คร่ าว ๆ สรุ ปและวิจารณ์ ผล 1. เป็ นผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพร (แผนปั จจุบนั ) ตารับแรกของโลกและของประเทศไทยที่ สามารถใช้เสริ มการรักษาโรคปริ ทนั ต์อกั เสบได้ 2. เป็ นความสามารถที่โดดเด่นของนักวิจยั ไทย ที่สามารถนาสารสกัดจากสมุนไพรมา วิจยั พัฒนาให้อยู่ในรู ปแบบของยาแผนปั จจุ บนั ได้ คื อ อยู่ในรู ปแบบของยาออกฤทธิ์ นาน (Sustained release dosage form) ในลักษณะเจลผลึกของเหลว (Liquid crystal gel) 3. เมื่ อ นามาวิจยั ทางคลิ นิก เปรี ย บเที ย บกับ ยา Elysol® (Metronidazole gel) มี ผลการรักษาซึ่ งเมื่อนามาวิเคราะห์ทางจุลชี ววิทยาพบว่า สัดส่ วนของจุลินทรี ยท์ ี่ให้โคโลนี สีดา (ซึ่ งเป็ น เชื้อชนิดหนึ่งที่สาคัญที่เป็ นสาเหตุของโรคปริ ทนั ต์อกั เสบ) มีการลดลงอย่างมีนยั สาคัญ ภายในกลุ่มของ การใช้ยาฟ้ าทะลายโจรเจล แต่ไม่พบการลดอย่างมีนยั สาคัญภายในกลุ่มการใช้ยา Metronidazole gel 4. จุ ดเด่ นอีกประการหนึ่ ง คื อ เมื่ อนามาเปรี ยบเทียบผลการวิจนั ทางคลิ นิกกับการใช้ Menocycline Ointment การศึกษาทางจุลชี ววิทยาพบว่า การใช้ยาฟ้ าทะลายโจรสามารถลดเชื้ อรู ปแท่ง อย่างมีนยั สาคัญ ซึ่ งความแตกต่างนี้ไม่พบในกลุ่มอื่น ยิง่ ไปกว่านั้นสามารถเพิ่มเชื้ อรู ปกลม (เป็ น Normal Flora ในช่องปาก มีหน้าที่ช่วยป้ องกันสุ ขภาพช่องปาก และทาลายเชื้ อที่เป็ นสาเหตุของโรคช่องปากต่าง ๆ ) และลดเชื้อเคลื่อนที่รูปแท่งในสัดส่ วนที่สูงกว่ากลุ่มยาขี้ผ้ งึ Minocycline 5. จากการวิจยั อย่างตกเนื่อง พบว่าผลจากการ X-Ray กระดูกเบ้าฟั นเป็ นระยะๆ ในช่วง ของการรักษา 6 เดือน พบว่าเจลฟ้ าทะลายโจรสามารถกระตุน้ ให้มีการเจริ ญของเนื้ อเยื่อกระดูกเบ้าฟันได้ เมื่อเปรี ยบเทียบกับกลุ่มควบคุ มที่ไม่ได้ใช้เสริ มการรักษาด้วยเจลฟ้ าทะลายโจร ซึ่ งนับว่าเป็ นคุณสมบัติ เด่นเป็ นอย่างมาก เนื่ องจากตามที่ได้กล่าวแล้วว่า การเป็ นโรคปริ ทนั ต์อกั เสบนั้นจะมีเชื้ อโรคที่สามารถ ทาลายสิ่ งต่างๆ บริ เวณรอบๆ ฟั นคือ เอ็นยึดฟัน และ กระดูกเบ้าฟั น ทาให้ฟันหลุดออกจากกระดูกเบ้า 216


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ฟันได้ จึงนับว่าเป็ นข้อดีอย่างมากที่จากการวิจยั พบว่า เจลฟ้ าทะลายโจรมีคุณสมบัติที่สามารถกระตุน้ ให้ เกิ ดการเจริ ญของเนื้ อเยื่อกระดูกเบ้าฟั นกลับคืนมา แม้จะไม่สามารถเจริ ญกลับคืนเหมือนเดิ มได้แต่ก็ยงั ดีกว่าที่ไม่มีการใช้ยาเจลเสริ มการรักษา 6. คุณสมบัติเด่นอีกประการหนึ่ งของเจลฟ้ าทะลายโจรคือ จากผลการวิจยั ล่าสุ ดพบว่า เจลฟ้ าทะลายโจรสามารถยับยั้งการเกิด Lip polysaccharide (LPS) ซึ่ ง LPS นี้ มีส่วนสาคัญในการทาลาย กระดูกเบ้าฟั น และเอ็นยึดฟั น ที่ผลิตโดยเชื้ อแบคทีเรี ยที่ทาให้เกิดโรคปริ ทนั ต์อกั เสบได้ เป็ นการยืนยัน การออกฤทธิ์ ของเจลฟ้ าทะลายโจรต่อเชื้อแบคทีเรี ยที่เป็ นสาเหตุของโรคได้ 7. จุดเด่นอีกประการหนึ่ งของสิ่ งประดิษฐ์คือเป็ นการนาสมุนไพรไทยมาเพิ่มคุณค่าใน การประยุกต์ใ ช้ โดยการนาสารสกัดหยาบที่ ได้ม าวิจยั พัฒนาเป็ นยารั ก ษาโรคชนิ ดยาสมุ นไพรแผน ปั จจุบนั ที่สามารถนามาใช้ในการเสริ มการสร้างโรคปริ ทนั ต์อกั เสบทดแทนผลิตภัณฑ์ยาแผนปั จจุบนั จากต่ า งประเทศ ซึ่ ง มี ราคาค่ อนข้า แพง จากการส ารวจข้อมู ล พบว่า ยาที่ มี ข ายอยู่ตามต้องตลาด คื อ Minocycline Ointment® Elysol® (Metronisazole gel) และ Atridox ® (Dixycycline Gel) ราคาหลอดละ ประมาณ 1,400 บาท, 1,600 บาท และ 3,000 บาท ตามลาดับ ซึ่ งคาดว่าเจลฟ้ าทะลายโจรจะมีราคาถูกกว่า อยูม่ าก 8. เจลฟ้ าทะลายโจรเป็ นสิ่ งประดิษฐ์ที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถพึ่งตนเองทางด้านยา ที่ ใ ช้เ สริ ม การรั ก ษาโรคปริ ท ัน ต์อ ัก เสบได้ จากผลการวิจ ั ย สามารถสรุ ป ได้ว่า สามารถใช้ท ดแทน ผลิตภัณฑ์ยาแผนปั จจุบนั ที่นาเข้าจากต่างประเทศได้ร้อยเปอร์ เซ็นต์เต็ม นอกจากประเทศไทยจะสามารถ พึ่ ง ตนเองทางด้า นยาได้แ ล้ว ยัง สามารถช่ ว ยพัฒ นาเศรษฐกิ จ ของประเทศไทยได้อี ก ด้ว ย ตรงตาม พระราชดาริ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ภูมิพลอดุลยเดชฯ ในเรื่ อง “เศรษฐกิจแบบพอเพียงและการ พึ่งพาตนเอง” 9. ผลจากการใช้เจลฟ้ าทะลายโจรเสริ มการรักษาโรคปริ ทนั ต์อกั เสบสรุ ปผลคร่ าว ๆ เพื่อให้เห็ นว่า เจลฟ้ าทะลายโจรนั้นคุ ม้ ค่า ต่อการนามาใช้ในรั ก ษาผูป้ ่ วย มี ค วามสะดวกและรวดเร็ ว เนื่องจากเป็ นผลิตภัณฑ์ที่บรรจุอยูใ่ นหลอดฉีดยาขนาด 1 ลบ.ซม.(ซี ซี) พร้อมด้วยเข็มตัดปลายทู่โค้งงอที่ ทันตแพทย์จะสามารถสอดใส่ ยาเจลลงในร่ องลึ กปริ ทนั ต์ของผูป้ ่ วยได้รวดเร็ วง่ายต่อการใช้ ซึ่ งพบว่า สามารถลงสู่ ส่วนล่างของร่ องลึกปริ ทนั ต์ได้ดี และเปลี่ยนลักษณะจากเจลธรรมดาเป็ นลักษณะโครงสร้าง ผลึกของเหลวแข็งตัวคล้ายดิ นน้ ามันอยูใ่ นร่ องลึ กปริ ทนั ต์ได้โดยไม่หลุ ดออกเมื่อผูป้ ่ วยแปรงฟั น ทาให้ สามารถปลดปล่อยตัวยาอยู่ได้นาน ทันตแพทย์สามารถนัดผูป้ ่ วยมารักษาได้อาทิตย์ละครั้ง จึงเป็ นการ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาประหยัดทั้งเวลาที่ผปู ้ ่ วยจะต้องมาพบทันตแพทย์เพียงอาทิตย์ละครั้ง

217


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

10. จากการใช้เจลฟ้ าทะลายโจรในการรักษา พบว่าหลังจากการใช้ยาในร่ องปริ ทนั ต์ อาการอักเสบของเหงื อกจะเริ่ มหายภายในวันที่ 2 หลังจากใส่ ยาในรายที่เป็ นน้อยของโรคจะหายได้ ภายใน 1 – 2 อาทิตย์ ในรายที่เป็ นปานกลางสามารถทาให้แผลร่ องลึกปริ ทนั ต์ต้ืนขึ้นอย่างเด่นชัด ไม่รุก รามกลายเป็ นแผลที่ตอ้ งทาศัลยกรรม และหายจากโรคได้ภายใน 3 – 4 อาทิตย์ สาหรับในรายที่เป็ น รุ นแรง ซึ่ งแต่เดิ มจาเป็ นต้องทาศัลยกรรมปริ ทนั ต์ เสี ยค่าใช้จ่ายสู งและต้องมีศลั ยกรรมผูเ้ ชี่ ยวชาญ ซึ่ งมี อยูจ่ านวนจากัด จากการใช้ยาเจลฟ้ าทะลายโจรทาให้แผลร่ องลึกปริ ทนั ต์ดีข้ ึนมาก และหายในที่สุดโดย ไม่ตอ้ งทาศัลยกรรม 11. เนื่ องจากการเป็ นโรคปริ ทนั ต์อกั เสบ มีอาการเหงื อกร่ น เหงื อกบวมอักเสบเป็ น หนอง กระดูกเบ้าฟั นถูกทาลาย เกิดอาหารฟั นโยกคลอน และในที่สุดฟั นหลุ ดโดยไม่มีอาการฟั นผุ จาก การใช้ยาเจลฟ้ าทะลายโจร ทาให้เหงือกกระชับขึ้นหายอักเสบ จึงทาให้สามารถรักษาฟันของผูป้ ่ วยเอาไว้ ได้ เสริ มกับข้อมูลในข้อ 8 ที่พบว่าเจลฟ้ าทะลายโจรช่วยกระตุน้ ให้มีการเจริ ญของเนื้ อเยื่อกระดูเบ้าฟั น ได้ จึงทาให้ผปู ้ ่ วยไม่มีการสู ญเสี ยฟั นเมื่อได้รับการรักษาด้วยเจลฟ้ าทะลายโจร และเสี ยค่าใช้จ่ายน้อย กว่าเดิมมาก 12. จากการรวบรวมข้อมูลการใช้ยาเจลฟ้ าทะลายโจรในผูป้ ่ วยทั้งหมดร้อยกว่าราย ซึ่ ง ทางทันตกรรมไม่นบั จานวนผูป้ ่ วยเป็ นราย ๆ แต่นบั จานวนตามแผลร่ องลึ กปริ ทนั ต์ที่ตอ้ งการรักษาทุก แผลประมาณการว่าในผูป้ ่ วยแต่ละคนจะมีแผลร่ องลึกปริ ทนั ต์ประมาณ 10 – 15 แผลต่อคน ดังนั้นพอ สรุ ปได้วา่ จากการใช้ยารักษาแผลร่ องลึกปริ ทนั ต์ประมาณ 2,000 กว่าร่ องลึก ผลหายจากอาการปริ ทนั ต์ อักเสบทุกราย ประโยชน์ ทคี่ าดว่าจะได้ รับจากผลงานวิจัย เมื่อยังไม่ ได้ ใช้ ผลงานประดิษฐ์ จากข้อมูลต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วแต่ตน้ ซึ่ งประชากรส่ วนใหญ่ทุกเพศ ทุกวัยทัว่ โลกเป็ น โรคนี้ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลการสารวจล่าสุ ดพบว่าประชากรที่ อายุสูงขึ้ นจะเป็ นโรคนี้ ถึงกว่า 80% ผลเสี ยที่ตามมาของการที่ประชากรส่ วนใหญ่เป็ นโรคปริ ทนั ต์อกั เสบ ดังนี้ ผลเสี ยโดยตรง 1. เมื่อเป็ นโรคนี้ เป็ นโรคที่ตอ้ งใช้ระยะเวลาในการรักษาเป็ นเวลานาน เสี ยทั้งเวลาและ เสี ยเงินทองในการรักษาเป็ นจาเป็ นจานวนมาก 2. การเป็ นโรคปริ ทนั ต์อกั เสบยังเป็ นแหล่งกาเนิ ดของการติดเชื้ อ (source of infection) จึงมีรายงานว่าโรคปริ ทนั ต์อกั เสบอาจเกี่ยวข้องสัมพันธ์กบั โรคทางระบบหลายชนิด 218


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

3. ในรายที่เป็ นมากต้องใช้วิธีศลั ยกรรมปริ ทนั ต์ ซึ่ งมีความยุง่ ยากเสี ยค่าใช้จ่ายสู ง และ ต้องการทันตแพทย์ผเู ้ ชี่ยวชาญทางด้านนี้ซ่ ึ งมีอยูไ่ ม่มากนักในประเทศไทย 4. ยาที่มีใช้ในปั จจุบนั เป็ นผลิตภัณฑ์ยาแผนปั จจุบนั ที่ตอ้ งนาเข้าจากต่างประเทศ ซึ่ งมี ราคาแพงมาก ประชากรส่ ว นใหญ่ ไ ม่ ส ามารถรั บ การรั ก ษาได้ นอกจานี้ เนื่ อ งจากยาเหล่ า นี้ เป็ นยา ปฏิชีวนะและการรักษาต้องใช้เวลานาน อาจทาให้เกิดอาการข้างเคียงหรื อการดื้อยาได้ ซึ่ งเป็ นข้อเสี ยของ ยาปฏิชีวนะ ผลเสี ยโดยอ้อม 1. ผูท้ ี่ เป็ นโรคนี้ หากไม่ได้รับการรั กษาที่ ทนั ต่อโรค ย่อมต้องสู ญเสี ยฟั น ในการบด เคี้ยวอาหาร และระหว่างที่เป็ นโรคอยู่ระหว่างการรักษา คุณภาพของการบดเคี้ยวอาหารเสื่ อมลง ทาให้ ร่ า งกายไม่ ไ ด้รับอาหารที่ ถู ก ต้องเพี ย งพอ เกิ ดร่ า งกายอ่ อนแออาจเป็ นสาเหตุ ข องการเกิ ดโรคต่ า ง ๆ ตามมาได้ และมีผลเสี ยต่อสุ ขภาพจิตได้ 2.ในการรักษาหากจาเป็ นต้องใช้ยาจะมีแต่ยาจากต่างประเทศต้องนาเข้า ซึ่ งราคาแพง มาก ทาให้ประเทศต้องเสี ยดุลการค้ากับต่างประเทศอยูม่ าก 3. ประเทศไทยไม่สามารถพึ่งตนเองได้ทาด้านยา หลังจากทีไ่ ด้ ใช้ ผลงานประดิษฐ์ 1. ด้ านเศรษฐกิจ เนื่องจากได้มีผลพิสูจน์จากการวิจยั ทางคลินิกถึงประสิ ทธิ ภาพของยาเจลฟ้ าทะลายโจร ว่า มีประสิ ทธิ ภาพในการรักษาเท่าเทียมกับผลิ ตภัณฑ์จากต่างประเทศ นอกจากนี้ ยงั มีผลดี กว่าในด้าน ของการช่วยเพิ่มเชื้ อปกติในช่องปาก (Normal flora) ที่เปรี ยบเหมือนทหารช่วยปกป้ องเชื้ อโรคร้ายที่จะ มาทาให้เกิดโรคในช่องปากได้ ซึ่ งไม่ปรากฏผลเช่นนี้กบั ผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ทันตแพทย์มีค วามมัน่ ใจเต็มใจและดี ใ จที่ จะได้มี ย าสมุ นไพรไทยใช้ท ดแทนยาจาก ต่างประเทศ ทาให้สามารถทดแทนการใช้ยาจากต่างประเทศได้ การนาผลิตภัณฑ์ยาเข้าจากต่างประเทศ ย่อมลดลง ทาให้ประเทศชาติ ขาดดุ ลการค้ากับต่างประเทศน้อยลง เป็ นการช่ วยพัฒนาเศรษฐกิ จของ ประเทศ ประเทศไทยสามารถพึ่งตนเองได้ ตรงตามพระราชดาริ พระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่หัวภูมิพลอ ดุลยเดชฯ ในเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง และการพึง่ พาตนเอง นอกจากเศรษฐกิจพอเพียงในการผลิตจาหน่าย ใช้รักษาภายในประเทศแล้ว ยังสามารถ พัฒนาศักยภาพในการผลิ ตจาหน่ ายในต่างประเทศได้ ทาให้สมุนไพรไทยเป็ นที่รู้จกั กว้างขวางทัว่ โลก และช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศชาติได้อย่างมาก 219


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

2. ด้ านสั งคม ตามที่จากการสารวจข้อมูลปี ล่าสุ ด ปี 2537 พบว่าประชากรส่ วนใหญ่อายุต้ งั แต่ 40 ปี ขึ้นไป มากกว่า 60% เป็ นโรคเหงือกอักเสบ และเมื่ออายุ 60 ปี ขึ้นไป มากกว่า 80 % เป็ นโรคปริ ทนั ต์ อักเสบ และจากการรั กษาโรคปริ ทนั ต์อกั เสบนั้นแต่ เดิ มในรายที่ เป็ นน้อยใช้วิธีรักษาโดยการขูดหิ น น้ าลาย และเกลารากฟั น รายที่เป็ นปานกลาง นอกจากการขูดหิ นน้ าลายและเกลารากฟั น ควรใช้ยาเสริ ม การรักษาโดยการฉี ดเข้าร่ องลึกปริ ทนั ต์ดว้ ย ซึ่ งตามปกติเป็ นยาที่ตอ้ งนาเข้าจากต่างประเทศมีราคาแพง ผูป้ ่ วยไม่สามารถเสี ยค่าใช้จ่ายได้ หรื อในรายที่เป็ นมากรักษาขั้นสุ ดท้ายคือการทาศัลยกรรมปริ ทนั ต์ ซึ่ ง จาเป็ นต้องเสี ยค่าใช้จ่ายในราคาที่สูงมากขึ้นอีก การที่มีการผลิตยาสมุนไพรแผนปั จจุบนั เข้ามาแทนที่ มีประสิ ทธิ ภาพทัดเทียมยาจาก ต่างประเทศ แต่มีราคาถูกกว่าอย่างมาก ทาให้ทนั ตแพทย์มีทางเลือกที่จะใช้ยานี้ แม้แต่ในรายที่เป็ นน้อย เพื่อรักษาและป้ องกันโรคไม่ให้เป็ นมาก ทาสาหรับในรายที่เป็ นปานกลางจะช่วยรักษาและป้ องกันไม่ได้ เป็ นมากขึ้นจนถึงขั้นผ่าตัด หรื อในรายที่จาเป็ นจะต้องผ่าตัด ก็จะช่วยรักษาให้ทุเลาเป็ นน้อยลง และหาย ได้ในที่ สุด โดยไม่ตอ้ งใช้วิธีศลั ยกรรมปริ ทนั ต์และเนื่ องจากราคาไม่แพงคนไข้ก็สามารถมีสิทธิ์ ที่ จะ ได้รับการรักษาได้ 3. ด้ านความมั่นคงของประเทศ เนื่องจากเป็ นการประดิษฐ์คิดค้นที่นาทรัพยากรธรรมชาติของไทยเราเอง คือ สมุนไพร ไทย มาพัฒนาเป็ นยาสมุนไพรแผนปั จจุบนั ได้สาเร็ จ ซึ่ งได้พิสูจน์แล้วว่ามีคุณภาพและประสิ ทธิ ภาพ ทัดเทียมกับผลิตภัณฑ์ยาที่ตอ้ งนาเข้าจากต่างประเทศ และมีขอ้ ดีอีกหลายประการสามารถใช้ในการรักษา โรคทดแทนผลิ ตภัณฑ์จากต่างประเทศได้ มี ราคาถู กกว่า มาก เป็ นการนาร่ องที่ จะท าให้ป ระเทศชาติ สามารถพึ่งตนเองได้ทางด้านยา เพิ่มความมัน่ คงให้แก่ประเทศทางด้านสาธารณสุ ข หากในอนาคต มีการ วิจยั ค้นคว้าจากสมุนไพรแผนปั จจุบนั เช่ นนี้ มากขึ้นในประเทศไทย เนื่ องจากมีการค้นคว้านาสมุนไพร ไทยมาวิจยั ตามหลักวิทยาศาสตร์ มีขอ้ มูลทางด้านการวิเคราะห์ วิจยั ยืนยันเป็ นสิ่ งที่เชื่ อถือได้พิสูจน์ได้ทา ให้ผูใ้ ช้ยาต่าง ๆ ในการรักษา คือ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร ผูเ้ กี่ ยวข้องในงานสาธารณสุ ข รวมทั้ง ผูร้ ั บบริ การ คื อผูป้ ่ วยมี ความมัน่ ใจถึ งมาตรฐาน คุ ณภาพ และประสิ ทธิ ภาพ มี ความมัน่ ใจในการที่ จะ นามาใช้ในการรักษาคนไข้ จะทาให้ประชาชนเกิดความมัน่ ใจ และศรัทธา หันมานิ ยมใช้ยาจากสมุนไพร กันมากขึ้น ไม่ตอ้ งพึ่งผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ประเทศไทยสามารถพึ่งตนเองได้ ทาให้เกิดความมัน่ คง ในประเทศมากขึ้น 4. ด้ านการพัฒนาประเทศ เนื่องจากเป็ นการประดิษฐ์คิดค้นโดยการใช้ทรัพยากรในประเทศคือ สมุนไพรไทย เมื่อ ถึงขั้นพัฒนาเป็ นผลิตภัณฑ์ข้ นั อุตสาหกรรม มีการจัดจาหน่ายในประเทศ และต่างประเทศทาให้สามารถ 220


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

พัฒนาเจลฟ้ าทะลายโจร เป็ นพืช เศรษฐกิ จเพิ่ม ขึ้ นได้อีกมาจากเดิ ม ท าให้ป ระชาชนมี งานทาเพิ่ มขึ้ น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกร นับว่าเป็ นการพัฒนาทรั พยากรในประเทศให้มีการนามาประยุกต์ใช้เพิ่ม คุณค่า (Value added) ให้กบั วัตถุดิบก่อนมีจาหน่ายทาให้ประเทศชาติมีรายได้เพิ่มขึ้น ประชากรมีงานทา มากขึ้น เป็ นการช่วยพัฒนาความเจริ ญก้าวหน้าของประเทศชาติในทุก ๆ ด้าน สรุ ป คือ เมื่อมีการผลิตยาเจลทะลายโจรจะหน่ ายในห้ องตลาดย่ อมเป็ นทางเลือกที่ดี ให้ แก่ คนไข้ และทันตแพทย์ ได้ ใช้ ในราคาที่ย่อมเยา และมีประสิ ทธิภาพ คนไข้ เมื่อเริ่ มเป็ นโรคปริ ทันต์ อักเสบ สามารถพบทันตแพทย์ ได้ โดยเสี ยค่ าใช้ จ่ายน้ อยลง สุ ขภาพฟั นย่ อมดีขึน้ ด้ วย ช่ วยพัฒนาคุณภาพ ชีวติ ของประชาชนเป็ นการช่ วยพัฒนาเศรษฐกิจ สั งคม และ ความมั่นคงของประเทศชาติ

221


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เรื่องที่ 4 สาขาเกษตรศาสตร์ และชีววิทยา บทคัดย่อ รายงานการวิจัย เรื่อง การใช้ เครื่องสั บและเศษซากอ้อย เพือ่ แก้ปัญหาการเผาใบและเศษซาก อ้อย * ( The Trash Incorporation Machine for Solving Buring Problem in Sugarcane) โดย นายอรรถสิ ทธิ์ บุญธรรม และคณะ ** ความสาคัญและทีม่ าของการวิจัย อ้อยเป็ นพืชที่ ให้มูลค่าในแต่ละปี มากกว่า 5 หมื่น ล้านบาท ในจานวนนี้ ได้จากการ ส่ งออกน้ าตาลทรายและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากอ้อยมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท (ประเทศไทยส่ งน้ าตาลไปขาย ในตลาดโลกมากเป็ นอันดับที่ 3 หรื อ 4) แต่ผลผลิตเฉลี่ยของไทยที่ผา่ นมาจนถึงปั จจุบนั อยูร่ ะหว่าง 7-9 ตัน/ไร่ ในขณะที่ประเทศคู่แข่งมีผลผลิ ตเฉลี่ ยมากกว่า 10ตัน/ไร่ สาเหตุสาคัญที่ทาให้ผลผลิ ตอ้อยโดย เฉลี่ยของไทยต่ากว่าประเทศคู่แข่ง คือ การปลูกอ้อยของไทยโดยส่ วนใหญ่อยูใ่ นเขตอาศัยน้ าฝน ปริ มาณ อ้อยที่ ผ ลิ ตได้แต่ละปี ไม่แน่ นอนขึ้ นอยู่ก ับปริ ม าณฝน และที่ สาคัญดิ นในไร่ ออ้ ยที่ ปลู ก ซ้ ากันมานาน เกษตรกรขาดการบ ารุ ง ดิ น ไม่ มี ก ารใส่ อิ น ทรี ย วัต ถุ ล งดิ น การเพิ่ ม ผลผลิ ต อ้อ ยอาศัย เพี ย งปุ๋ ยเคมี นอกจากนี้ ในแต่ละปี พื้นที่ปลูกอ้อยกว่า 3ล้านไร่ มีการเผาใบและเศษซากอ้อย ในพื้นที่ 1 ไร่ มีใบและ เศษซาก อ้อยค้างในไร่ ระหว่าง 0.63-1.51 ตัน/ไร่ และในใบและเศษซากอ้อยมีไนโตรเจนระหว่าง 0.350.66% ดังนั้น ในแต่ละปี ประเทศไทยจะมีการสู ญเสี ยใบและเศษซากอ้อย(อินทรี ยวัตถุ ) โดยการเผา 1.9 – 4.5 ล้านตัน คิดเป็ นปุ๋ ยไนโตรเจน 6,650 – 29,700 ตันไนโตรเจน/ปี ทาให้เกิดปั ญหาทางด้านกายภาพของ ดิน คือ ดินแน่นทึบ ไม่ร่วนซุ ย ไม่อุม้ น้ า เมื่อเกิดฝนทิ้งช่วงอ้อยแสดงอาการขาดน้ าเร็ วกว่าอ้อยที่ปลูกใน ดินที่ร่วนซุ ย การเผาใบและเศษซากอ้อยยังทาให้ปุ๋ยไนโตรเจนที่อยูใ่ นใบและเศษซากอ้อยสู ญเสี ยไปด้วย โดยทัว่ ไปเกษตรกรมีการเผาใบอ้อยและเศษซากอ้อยอยูด่ ว้ ยกัน 3 ลักษณะ คือ 1) การเผาใบและเศษซากอ้อยก่อนการเตรี ยมดิน มีสาเหตุมากจากเกษตรกรต้องการความ สะดวกในการเตรี ยมดินปลูกอ้อย เพราะว่าใบและเศษซากอ้อยทาให้ลอ้ รถแทรกเตอร์ ลื่นไถดินไม่ได้ ปั ญ หาที่ ต ามมาท าให้ ดิ น เสื่ อ มโทรมส่ ง ผลต่ อ การเจริ ญ เติ บ โตของอ้อ ย อี ก ทั้ง เป็ นการท าลาย สิ่ งแวดล้อม จึงทาการศึกษาผลกระทบจากการเผาและเศษซากอ้อย ทั้งก่อนการเตรี ยมดินและหลัง การ * งานวิจัยนี้ ผู้วจิ ัยได้ รับรางวัลผลงานวิจัย ประจาปี 2545 รางวัลชมเชย สาขาเกษตรศาสตร์ และชีววิทยา จากสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ** ศูนย์วิจัยพืชไร่ สุพรรณบุรี สถาบันวิจัยพืชไร่ กรมวิชาการเกษตร 72160 โทรศัพท์ 0-3555-1433, 0-3555-1543 โทรสาร 0-3555-1433

222


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เก็บเกี่ยวอ้อยซึ่ งเป็ นการทดลองที่ 1 ปั ญหานี้ แก้ไขได้โดยการใช้เครื่ องสับใบและกลบเศษซากอ้อยก่อน การเตรี ยมดิน 2) การเผาใบอ้อยก่อนการเก็บเกี่ยวอ้อย (Preharvest burning) มีสาเหตุมาจากการขาด แคลนแรงงานในการเก็บเกี่ยวอ้อย ประกอบกับแรงงานตัดอ้อยต้องการได้ค่าแรงตัดอ้อยมากกว่าถ้าเผา ใบ เพราะว่าจะทาให้ตดั อ้อยได้เร็ วขึ้น ปั ญหาที่ตามมาคือทาให้เกิดการสู ญเสี ยน้ าหนักและคุณภาพความ หวานของอ้อย ประสิ ทธิ ภาพในการสกัดน้ าตาลของโรงงานน้ าตาลลดลง และเป็ นการทาลายสิ่ งแวดล้อม แก้ไขโดยการวิจยั และพัฒนาเครื่ องตัดอ้อยสดซึ่ งในปั จจุบนั ต้องนาเข้าจากต่างประเทศ และมีราคาแพง 3) การเผาใบและเศษซากอ้อยหลังการเก็บเกี่ยวอ้อย (Post-harvest burning) มีสาเหตุมา จากเกษตรกรที่ ตดั อ้อยสดเข้า โรงงาน หลัง การเก็บเกี่ ยวต้องการก าจัดใบและเศษซากอ้อยที่ อาจเป็ น เชื้อเพลิงไหม้ออ้ ยตอที่งอกแล้วปั ญหาที่ตามมาทาให้ออ้ ยตอตาย ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลง ส่ งผล ทาให้เกิดมลพิษ ดินที่มีการเผาใบและเศษซากอ้อย มีการเข้าทาลายของหนอนกอในอ้อยตอมากกว่าอ้อย ตอที่มีใบคลุม และอ้อยตอที่ถูกไฟไหม้จะแคระแกร็ นแก้ไขโดยการวิจยั และพัฒนาเครื่ องสับใบและเศษ ซากอ้อยที่อยูร่ ะหว่างแถวอ้อยตอ จึงได้มีการทดสอบประสิ ทธิภาพการใช้เครื่ องสับใบและเศษซากอ้อยที่ อยู่ระหว่างแถวอ้อยตอ 2 ชนิ ดคือไถผาลจักร 12 จาน (Discs of rationing bumper) และจอบหมุน (Rotavator) ถอดใบมีดแถวกลางซึ่งเป็ นการทดลองที่ 2 แหล่ งเงินทุนสนับสนุนในการทาวิจัย ใช้งบประมาณงานวิจยั พืชไร่ กรมวิชาการเกษตรกระทรวงเกษตรกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ แหล่งเงินจากรัฐบาลไทย วัตถุประสงค์ ของการทาวิจัย 1. ศึกษาผลกระทบจากการเผาใบและเศษซากอ้อยทั้งเผาก่อนการเตรี ยมดินปลูกอ้อยและ หลัง การเก็ บ เกี่ ย วอ้อ ยเพื่ อ แสดงให้ เ ห็ น ผลเสี ย ของการเผาใบและเศษซากอ้อ ยที่ เกษตรกรปฏิบตั ิ 2. เพื่อหาวิธีการจัดการใบและเศษซากอ้อย ทดแทนวิธีการเผาใบและเศษซากอ้อย 3. ประดิษฐ์และพัฒนาเครื่ องสับใบและเศษซากอ้อย เพื่อเพิ่มประสิ ทธิ ภาพเครื่ องสับใบ และเศษซากอ้อยให้สามารถทางานได้ท้ งั ในสภาพไร่ ออ้ ยที่มีใบและเศษซากอ้อยมาก

223


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ระยะเวลาการทาวิจัย ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ.2538 ถึง เดือนธันวาคม พ.ศ. 2542 (4ปี 8เดือน) สรุ ปผลการวิจัย ผลการทดลองที่ 1 เปรี ยบเทียบการเผาและไม่เผาใบและเศษซากอ้อยก่อนการเตรี ยมดิน ปลูกอ้อย และเผาหลังการเก็บเกี่ยวอ้อยที่มีผลผลิตและการไว้ตอของอ้อย สรุ ปได้ดงั นี้ 1. ดินที่ไม่มีการเผาใบและเศษซากอ้อย แต่ใช้จอบหมุนสับใบและเศษซากอ้อยคลุก เคล้าลงดิน มีอินทรี ยว์ ตั ถุมากกว่าไร่ ออ้ ยที่มีการเผาใบและเศษซากอ้อย 8-9% 2. อ้อยตอที่มีการเผาใบและเศษซากอ้อยมี่วชั พืชขึ้นมากกว่าอ้อยที่มีใบคลุมดิน39-41 % 3. อ้อยที่มีการเผาใบและเศษซากอ้อยมีตอตายเสี ยหายมากกว่าอ้อยตอที่ไม่มีการเผาใบ และเศษซากอ้อยประมาณ 6-12 % 4. อ้อยตอที่ไม่มีการเผาใบและเศษซากอ้อย มีการเจริ ญเติบโตดีกว่าอ้อยตอที่มีการเผา ใบและเศษซากอ้อย คือ มีความยาวลามากกว่าอ้อยตอที่มีการเผาใบและเศษซากอ้อย 8- 12 % 5. ผลผลิตน้ าหนักลาของอ้อยตอ 1 ที่ไม่มีการเผาใบและเศษซากอ้อยสู งกว่าอ้อยตอ 1 ที่ มีการเผาใบและเศษซากอ้อยอย่างมีนยั สาคัญทางสถิ ติ อ้อยตอที่ 1 ที่ไม่มีการเผาใบและเศษซากอ้อยมี ผลผลิตน้ าหนักลาเฉลี่ย 18.6 ตัน/ไร่ ในขณะที่ออ้ ยตอ 1 ที่มีการเผาใบและเศษซากอ้อยมีผลผลิตน้ าหนัก เฉลี่ย 15.6 ตัน/ไร่ 6. คุณภาพความหวาน (CCS) ของอ้อยที่ มีการเผาและไม่เผาใบและเศษซากอ้อยไม่ แตกต่างกัน 7. ผลการทดลองสอดคล้องกับสมมติฐานที่คณะผูว้ ิจยั ตั้งไว้ คือ การเผาใบและเศษซาก อ้อยมีผลเสี ยหลายประการ จึงจาเป็ นต้องหาวิธีการที่จะไม่เผาใบและเศษซากอ้อยด้วยการใช้เครื่ องสับใบ และเศษซากอ้อย ทั้งก่อนการเตรี ยมดินและหลังการเก็บเกี่ยวอ้อย การทดลองครั้งที่ 2 ผลการทดลองการจัดการใบและเศษซากอ้อยโดยการใช้เครื่ องสับ ใบและซากอ้อยระหว่างแถวในอ้อยตอ สรุ ปได้วา่

224


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

1. อ้อยตอ 1 ที่ใช้เครื่ องสับใบและเศษซากอ้อย (ใช้ผาลจักรร่ วมกับจอบหมุน) มีการเข้า ทาลายของหนอนกออ้อยน้อยกว่าอ้อยตอ 1 ที่มีการเผาใบและเศษซากอ้อยอยูร่ ะหว่าง 81-90 % และอ้อย ตอ 2 อยูร่ ะหว่าง 82-83 % 2. อ้อยตอ 1 ที่ใช้เครื่ องสับใบและเศษซากอ้อย (ผาลจักรร่ วมกับจอบหมุน) มีวชั พืชขึ้น เบียดบังน้อยกว่าอ้อยตอ 1 ที่มีการเผาใบและเศษซากอ้อยอยูร่ ะหว่าง 50-56 % และอ้อยตอ 2 อยูร่ ะหว่าง 77-87 % 3. อ้อยตอ 1 ที่ใช้เครื่ องสับใบและเศษซากอ้อยมีการเจริ ญเติบโตดีกว่าอ้อย 1 ที่มีการเผา ใบและเศษซากอ้อย คือ มีความสู งมากกว่าอ้อยตอที่มีการเผาใบและเศษซากอ้อยอยู่ระหว่าง 12-16 % และอ้อยตอ 2 อยูร่ ะหว่าง 23-41% 4. อ้อยตอ 1 ที่ใช้เครื่ องสับใบและเศษซากอ้อยมีผลผลิตน้ าหนักลามากกว่าอ้อยตอ 1 ที่ มีการเผาใบและเศษซากอ้อย อย่างมี นัยสาคัญทางสถิ ติ โดยเฉพาะอ้อยตอ 1 ที่ใช้ไถผาลจักร 12 ผาล ร่ วมกับจอบหมุน มีผลผลิตน้ าหนักลาเฉลี่ย 18.6 ตัน/ไร่ และอ้อยตอ 1 ที่ใช้ไถผาลจักร 12 ผาลอย่างเดียว มีผลผลิ ตน้ าหนักลาเฉลี่ ย 16.5 ตัน/ไร่ ส่ วนอ้อยตอ 1 ที่มีการเผาใบและเศษซากอ้อยมี ผลผลิ ตน้ าหนัก เฉลี่ย 12.3 ตัน/ไร่ ผลการทดลองของอ้อยตอ 2 สอดคล้องเช่นเดียวกับอ้อยตอ 1 คือ อ้อยตอ 2 ที่ใช้ไถผาล จักร 12 ผาลร่ วมกับจอบหมุน มีผลผลิ ตเฉลี่ ย 17.3 ตัน/ไร่ และอ้อยตอ 2 ที่ใช้ไถผาลจักร 12 ผาลอย่าง เดียว มีผลผลิตเฉลี่ ย 16.1 ตัน/ไร่ ส่ วนอ้อยตอ 2 ที่มีการเผาใบและเศษซากอ้อยมีผลผลิตเฉลี่ยเพียง 12.1 ตัน/ไร่ 5. การใช้เครื่ องสับใบและเศษซากอ้อยทดแทนวิธีการเผา ช่วยลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจน 15-30 กก.N/ไร่ โดยเฉพาะอ้อยตอ 1 ที่ใช้ผาลจักร 12 ผาลร่ วมกับการใช้จอบหมุนและใช้ปุ๋ยไนโตรเจน 30 กก.N/ไร่ ให้ผลผลิตเฉลี่ ย 20 ตัน/ไร่ มากกว่าอ้อยตอ 1 ที่เผาใบและเศษซากอ้อยและใช้ปุ๋ย 45 กก.N/ ไร่ ซึ่ งมีผลผลิต 16.4 ตัน/ไร่ ผลการทดลองในอ้อยตอ 2 สอดคล้องเช่นเดียวกับอ้อยตอ 1 คืออ้อยตอ 2 ที่ ใช้ผาลจักร 12 ผาลร่ วมกับจอบหมุนและใช้ปุ๋ยไนโตรเจน 30 กก.N/ไร่ ให้ผลผลิ ตเฉลี่ ย 17.6 ตัน/ไร่ ในขณะที่ออ้ ยตอ 2 ที่มีการเผาใบและเศษซากอ้อยที่ใช้ปุ๋ยไนโตรเจน 45 กก.N/ไร่ ให้ผลผลิตเพียง 13.9 ตัน/ไร่ 6. คุณภาพความหวานของอ้อยตอ 1 (CCS) ที่ใช้เครื่ องสับใบและเศษซากอ้อยที่มีการ เผาใบและเศษซากอ้อยไม่แตกต่างทางสถิติ 7.เครื่ องสับใบและเศษซากอ้อยในอ้อยตอ 1 ที่ใช้ได้ผลดี คือ การใช้ไถผาลจักร 12 ผาล สับใบและเศษซากอ้อยให้มีชิ้นเล็กลง และใช้จอบหมุนที่เว้นใบมีดกลางสับใบและกลบเศษซากอ้อยลง ดิน หลักจากนั้นจะไม่เหลือใบและเศษซากอ้อยปริ มาณที่มาพอที่จะไหม้ตอได้ แต่การใช้ไถผาลจักร 12 225


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ผาล หลังจากสับใบและเศษซากอ้อย 2 ครั้งแล้วยังเหลือใบและเศษซากอ้อยเป็ นปริ มาณที่มากพอที่จะ ไหม้ออ้ ยตอ แต่การใช้จอบหมุนอย่างเดียวไม่สามารถสับใบและกลบเศษซากอ้อยที่มีปริ มาณมากได้ เพราะว่าใบและเศษซากอ้อยจะพันม้วนแกนใบมีดของจอบหมุน ประโยชน์ ทไี่ ด้ รับจากการวิจัย 1. เกษตรกรได้วิธีการจัดการใบและเศษซากอ้อย เพื่อทดแทนเผาใบและเศษซากอ้อย เมื่อเกษตรกรใช้เครื่ องสับใบและเศษซากอ้อย จะช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ ของดิ น ทาให้คุณสมบัติ ทางกายภาพของดินดีข้ ึน ดินร่ วนซุ ย อุม้ น้ าอ้อยที่ปลูกมีการเจริ ญเติบโตและให้ผลผลิตดี ทาให้ออ้ ยมีการ ไว้ตอได้นาน เกษตรกรเสี ยค่าใช้จ่ายในการใส่ ปุ๋ยเคมีและค่ากาจัดวัชพืชในอ้อยลดลง ทาให้ตน้ ทุนการ ผลิตอ้อยลดน้อยลง ส่ งผลให้รายได้สุทธิ ของเกษตรกรเพิ่มขึ้น ที่สาคัญทาให้การปลูกอ้อยมีความยัง่ ยืน 2. โรงงานน้ าตาลได้ออ้ ยที่สมบูรณ์เข้าหี บ ผลผลิตอ้อยในแต่ละปี มีเสถียรภาพ มีปริ มาณ อ้อยผลิตน้ าตาลอย่างเพียงพอ ไม่ตอ้ งเสี ยเงินในการแย่งอ้อยเข้าโรงงาน ลดต้นทุนในการผลิตน้ าตาล 3. ช่ วยรักษาสิ่ งแวดล้อมในเขตที่ มีการปลู กอ้อย ไม่มีเศษขี้เถ้าจากการเผาใบและเศษ ซากอ้อยปลิ วไปตามอากาศและตกใส่ บา้ นเรื อน อีกทั้งทาให้ปัญหาการระบาดของหนอนกออ้อยลดลง ทาให้เกษตรกรไม่ตอ้ งเสี ยเงินในการพ่นสารฆ่าแมลงในไร่ ออ้ ยลดการ ใช้สารกาจัดวัชพืชในอ้อยตอ 4. การค้าน้ าตาลระหว่างประเทศ เมื่อมีผลผลิ ตอ้อยทุกปี มีเพียงพอป้ อนโรงงานน้ าตาล สามารถผลิตน้ าตาลในปริ มาณทีสม่าเสมอ ผูค้ า้ น้ าตาลก็คา้ ขายได้ง่ายขึ้น เพราะว่าการค้าน้ าตาลส่ วนหนึ่ ง มีการขายล่วงหน้าเป็ นปี และที่สาคัญน้ าตาลที่ผลิตได้ของไทยไม่มีการทาลายสิ่ งแวดล้อม (ISO 14000) จะได้ไม่ถูกกีดกันทางการค้าโดยอ้างปั ญหาเรื่ องสิ่ งแวดล้อม 5. ช่ วยพัฒนาเศรษฐกิ จของประเทศ ทารายได้ให้กบั ประเทศเพิ่มขึ้ นทั้งจากการขาย น้ าตาลและผลิตภัณฑ์ที่มีน้ าตาลเป็ นส่ วนผสม อีกทั้งยังช่วยลดการนาเข้าปุ๋ ยเคมีจากต่างประเทศ เพราะว่า การไม่เผาใบและเศษซากอ้อยทาให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ช่วยทาให้การใช้ปุ๋ยไนโตรเจนลดลงได้ 6. จากผลงานวิจยั นี้ ทาให้คณะผูว้ จิ ยั ได้ประดิษฐ์คิดค้นและพัฒนาเครื่ องสับใบและเศษ ซากพืช ที่สามารถนาไปปรับใช้ในนาข้าว ไร่ ขา้ วโพด และพืชไร่ อื่นๆ อันเป็ นการช่วยรักษาความอุดม สมบูรณ์ของดิน โดยการไม่เผาใบและเศษซากพืช ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์ บอนไดออกไซด์จากการเผา เศษซากพืช

226


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ศักยภาพในการพัฒนาไปสู่ ภาคอุตสาหกรรม ถ้า เกษตรกรลดหรื อ เลิ ก เผาใบและเศษซากอ้อ ย ดิ น ในไร่ อ้อ ยมี ค วามอุ ดมสมบู ร ณ์ ปริ มาณอ้อยที่ผลิตได้ในแต่ละปี เพียงพอที่จะป้ อนให้กบั โรงงานน้ าตาล 46 โรงงาน นอกจากนี้ คณะผูว้ ิจยั ได้ ป ระดิ ษ ฐ์ เครื่ องสั บ ใบและกลบเศษซากอ้อ ย ซึ่ งในขณะนี้ บริ ษัท ก.แสงยนต์ ลู ก แก ได้น า เครื่ องต้นแบบไปผลิ ตจาหน่ายให้กบั เกษตรกรชาวไร่ ออ้ ย และคณะผูว้ ิจยั กาลังขอจดสิ ทธิ บตั รจากกรม ทรั พ ย์สิ นทางปั ญญา เพื่ อมอบสิ ท ธิ บ ตั รนี้ ใ ห้ก ับ คนไทยทุ ก คน เป็ นการป้ องกันไม่ ใ ห้ผูห้ นึ่ ง ผูใ้ ดจด สิ ทธิ บตั รเป็ นของตนเองโดยผูเ้ ดียว จะทาให้ราคาเครื่ องสับใบ และเศษซากอ้อยมีราคาไม่แพง เพราะว่ามี ผูผ้ ลิตจาหน่ายหลายราย

227


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เรื่องที่ 5 สาขาวิศวกรรมศาสตร์ และอุตสาหกรรมวิจัย บทคัดย่ อ รายงานการวิจัย เรื่ อง ระบบบาบัดนา้ เสี ยไร้ อากาศประสิ ทธิภาพสู งแบบตรึงเซลล์ สาหรับ โรงงานอุตสาหกรรมเกษตร * (Evaluation of Groundwater Resources Potential and Impact of Groundwater Exploitation, Thaphra Area, Amphoe Muang, Chanwat Khon Kaen) โดย ผศ.ดร.ภาวินี ชัยประเสริ ฐ และคณะ ** ความสาคัญและทีม่ าของการวิจัย แนวทางการพัฒนาประเทศไทยในปั จจุ บนั ได้ปรั บเปลี่ ยนจากภาคเกษตรกรรมเข้าสู่ ภาคอุตสาหกรรมทางการเกษตร ซึ่ งได้แก่ อุตสาหกรรมการแปรรู ปอาหารผักและผลไม้ อุตสาหกรรม การผลิตเยื่อและกระดาษ อุตสาหกรรมผลิ ตน้ ามันปาล์ม อุตสาหกรรมผลิ ตแอลกฮอล์จากกากน้ าตาล อุตสาหกรรมการแปรรู ปผลิตผลจากข้าวและมันสาปะหลังเป็ นต้น การขยายตัวของอุตสาหกรรมเกษตร ส่ ง ผลกระทบต่ อทางด้า นสิ่ ง แวดล้อ มและนับ วัน ทวี ค วามรุ น แรงมากขึ้ น น้ า เสี ย ที่ ออกจากโรงงาน อุตสาหกรรมเหล่านี้ มีปริ มาณ และความสกปรกในรู ปบีโอดี ที่เป็ นสารอินทรี ยใ์ นปริ มาณสู งเพราะถ้ามี การปล่อยน้ าเสี ยนี้ลงสู่ แหล่งน้ าธรรมชาติโดยตรงโดยไม่ได้ทาการบาบัดก่อน จะก่อให้เกิดปั ญหาน้ าเน่า เสี ยทาให้ระบบนิ เวศน์ในแหล่งน้ านั้นเปลี่ ยนไปและเป็ นอันตรายต่อสิ่ งมีชีวิตอื่นๆ อีกทั้งยังเป็ นแหล่ง เพาะพันธุ์พาหะของโรคที่เป็ นอันตรายต่อมนุษย์ แนวทางหนึ่ งที่นิยมใช้ในการบาบัดน้ าเสี ยจากโรงงานอุตสาหกรรมเกษตรที่มีปริ มาณ สารอิ นทรี ยส์ ู ง และเป็ นวิธี ที่มีความคุ ม้ ค่าในตัวเอง นั่นคื อระบบบาบัดทางชี วภาพแบบไม่ ใช้อากาศ เนื่ อ งจากระบบนี้ มี ค วามสามารถในการบ าบัด น้ า เสี ย ที่ มี ค วามเข้ม ข้น ของสารอิ น ทรี ย ์สู ง ได้ดี และ สารอิ นทรี ยใ์ นน้ าเสี ยประมาณร้ อยละ 80-90 สามารถถู กย่อยสลายไปเป็ นก๊าซมี เธน ที่ นามาใช้เป็ น พลังงานทดแทนได้ โดยทัว่ ไประบบบาบัดน้ าเสี ยของโรงงานเป็ นระบบบาบัดแบบบ่อเปิ ดซึ่ งเป็ นบ่อดิน ขุดขนาดใหญ่ติดต่อกันหลายๆ บ่อ นอกจากใช้พ้ืนที่มากแล้วระบบบ่อเปิ ดมักประสบปั ญหาเรื่ องกลิ่ น เหม็นก่อให้เกิดมลภาวะทางกลิ่นกับประชาชนที่อาศัยอยูบ่ ริ เวณใกล้เคียง เนื่ องจากระบบบาบัดแบบบ่อ เปิ ดมีประสิ ทธิ ภาพในการบาบัดสารอินทรี ยต์ ่า นอกจากนั้นก๊าซมีเธนที่เกิดขึ้นไม่สามารถกักเก็บได้และ ปล่อยสู่ บรรยากาศ ซึ่ งจะเป็ นตัวการทาให้เกิดปั ญหาโลกร้อนได้ * งานวิจัยนี้ ผู้วจิ ัยได้ รับรางวัลผลงานวิจัย ประจาปี 2545 รางวัลชมเชย สาขาวิศวกรรมศาสตร์ และอุตสาหกรรมวิจัย จากสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ** สายวิชาเทคโนโลยีชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้ าธนบุรี ทุ่งครุ 10140 โทรศัพท์ 0-2470-9750 โทรสาร 0-2452-3455 E-mail : pawinee.cha@kmutt.ac.th

228


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

จากปั ญหาที่เกิดขึ้นเหล่านี้ กลุ่มวิจยั และพัฒนา(R&D Cluster) ของสถาบันพัฒนาและ ฝึ กอบรมโรงงานต้นแบบคณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี และหน่วยปฏิบตั ิการวิจยั และพัฒนา วิศวกรรมชี วเคมีและโรงงานต้นแบบ ศูนย์พนั ธุ วิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ และโรงงานต้นแบบ ศูนย์พนั ธุ วศิ วกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี วิทยา เขตบางขุนเทียน จึงได้มีการพัฒนาระบบบาบัดน้ าเสี ยจากแบบดั้งเดิมที่เป็ นระบบเปิ ดที่มีประสิ ทธิ ภาพต่า มาเป็ นระบบเปิ ดประสิ ทธิ ภาพสู ง โดยการหมักน้ าเสี ยภายในถังปฏิกรณ์เพื่อบาบัดน้ าเสี ย ลดปั ญหาเรื่ อง กลิ่น รวมทั้งยังได้ก๊าซชีวภาพในกรณี ที่น้ าเสี ยมีความสกปรกสู งและสามารถเก็บก๊าซชีวภาพมาใช้งานได้ ซึ่ งนาไปใช้เป็ นพลังงานไว้ใช้ภายในโรงงานได้ ทาให้การนาเทคโนโลยีบาบัดน้ าเสี ยนี้ มาใช้กบั โรงงานมี ความเป็ นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์ มากขึ้น ดังนั้นทางหน่ วยปฏิ บตั ิการฯ จึ งได้ศึกษาวิจยั และพัฒนารู ปแบบของระบบน้ าเสี ยไร้ อากาศแบบประสิ ทธิ ภาพสู ง ให้เหมาะกับน้ าเสี ยจากโรงงานอุตสาหกรรมเกษตรที่มีค่าซี โอดี และสาร แขวนลอยสู ง นัน่ คือ ระบบบาบัดแบบตรึ งฟิ ล์มจุลินทรี ยช์ นิ ดไม่ใช้อากาศ เนื่ องจากระบบรู ปแบบนี้ มี ข้อดี คือ มีความสามารถในการรักษาเซลล์จุลินทรี ยไ์ ว้บนวัสดุ ตวั กลางที่เป็ นตัวหลักในการย่อยสลาย สารอินทรี ยแ์ ละผลิ ตก๊าซชี วภาพได้ภายในถังปฎิ กรณ์ ซึ่ งจุลินทรี ยถ์ ูกชะออกจากระบบได้ยาก ทาให้ ระบบมีประสิ ทธิ ภาพในการทางานสู ง ทาให้ลดพื้นที่ที่ใช้ในการบาบัด ไม่มีกลิ่น และได้ก๊าซชี วภาพเก็บ ไว้ใช้เป็ นพลังงานทดแทนในโรงงาน ซึ่ งไม่เหมือนกับระบบที่ไม่มีวสั ดุตวั กลาง เมื่อป้ อนน้ าเสี ยที่มีสาร แขวนลอยสู งจะมีผลต่อการเกิดเม็ดตะกอนจุลินทรี ย ์ ทาให้จุลินทรี ยส์ ู ญเสี ยกิจกรรม และป้ อนน้ าเสี ยที่มี ความเร็ วสู งจุลินทรี ยจ์ ะชะออกจากระบบ ทาให้ประสิ ทธิ ภาพการบาบัดน้ าเสี ยลดลง การศึกษาวิจยั นี้ เป็ น การศึกษาวิจยั และพัฒนาระบบบาบัดน้ าเสี ยไม่ใช้อากาศแบบตรึ งเซลล์ ตั้งแต่ในระดับห้องปฎิบตั ิการ (Laboratory scale) ระดับโรงงานต้นแบบ (Pilot scale) และการถ่ ายทอดเทคโนโลยีจนถึ งระดับ อุตสาหกรรม (Full scale หรื อ Industrial scale) ซึ่ งเทคโนโลยีที่พฒั นาเป็ นเทคโนโลยีที่พฒั นาขึ้นใน ประเทศดัง นั้น การก่ อสร้ า งระบบใช้ว สั ดุ ภ ายในประเทศ ออกแบบและดาเนิ น การโดยผูเ้ ชี่ ย วชาญ ภายในประเทศเช่นเดียวกันซึ่ งเป็ นการลดการสู ญเสี ยเงินตราออกนอกประเทศ แหล่ งเงินทุนสนับสนุนในการทาวิจัย 1. ศูนย์พนั ธุ วิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่ งชาติได้ให้ทุนสนับสนุ นโครงการใช้ ประโยชน์และเพื่อกาจัดน้ าเสี ยจากโรงงานแป้ งมันสาประหลัง 2. สานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ ได้ให้ทุนสนับสนุนการวิจยั ในเรื่ อง การ พัฒนากระบวนการบาบัดน้ าทิ้งทางชีวภาพ แบบมีตวั กรองสาหรับโรงงานแปรรู ปผักและผลไม้ขนาด ย่อม 229


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

3. ศูนย์พนั ธุ วศิ วกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ได้ให้ทุนสนับสนุนโครงการวิจยั เรื่ อง การเร่ งกระบวนการเกิดฟิ ล์มชี วในช่วง Star-up ของถังปฎิกรณ์บาบัดน้ าเสี ยแบบ Anaerobic FixedFilm 4. สานักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่ งชาติได้ให้ทุนสนับสนุ นด้านพลังงาน ในโครงการวิจยั เรื่ องโครงการผลิตก๊าซชีวภาพจากระบบบาบัดน้ าเสี ยแบบตรึ งฟิ ล์มจุลินทรี ยไ์ ม่ใช้อากาศ ระดับอุตสาหกรรม วัตถุประสงค์ ของการทาวิจัย 1. ศึ ก ษาความเป็ นไปได้ใ นการใช้ร ะบบบ าบัด น้ า เสี ย ไม่ ใ ช้อ ากาศจากโรงงาน อุตสาหกรรมเกษตร และเพื่อเป็ นทางเลื อกในการเลื อกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเพิ่มขึ้นอีกวิธีหนึ่ งใน การลดมลพิษและ/หรื อการผลิตพลังงานในรู ปของก๊าซชีวภาพ 2. ศึกษาประสิ ทธิ ภาพและการทางานของระบบบาบัดน้ าเสี ย ไม่ใช้อากาศจากโรงงาน อุตสาหกรรมเกษตรในระดับห้องปฏิบตั ิการ จนถึงระดับโรงงานต้นแบบ 3. ศึกษาข้อมูลพื้นฐานทางวิศวกรรมศาสตร์ ต้นทุนรู ปแบบเพื่อประโยชน์ในการนาไป พัฒนาระบบที่ใหญ่ข้ ึนเพื่อรองรับน้ าเสี ยทางโรงงานอุตสาหกรรม 4. เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีที่พฒั นาขึ้นไปสู่ ระดับอุตสาหกรรม ระยะเวลาการทาวิจัย การศึกษานี้เป็ นงานวิจยั ที่ทามาอย่างต่อเนื่ อง โดยระยะเวลาแต่ละช่วงที่ใช้ในการศึกษา มีต้ งั แต่ระดับห้องปฎิบตั ิการ, ระดับโรงงานต้นแบบ และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ ระดับภาคอุตสาหกรรม ซึ่ งเริ่ มดาเนินการตั้งแต่ปี พศ. 2530 จนถึงปั จจุบนั เป็ นระยะเวลากว่า 10 ปี สรุ ปผลการวิจัย การวิจยั และพัฒนาระบบบาบัดน้ าเสี ยไร้อากาศประสิ ทธิ ภาพสู งแบบตรึ งเซลล์สาหรับ โรงงานอุตสาหกรรมเกษตร ได้แก่โรงงานอุตสาหกรรมผลิตแป้ งมันสาปะหลังโรงงานอุตสาหกรรมแป้ ง ข้าว โรงงานอุตสาหกรรมแปรรู ปผักและผลไม้ เป็ นต้น ซึ่ งการศึกษานี้ได้ทาวิจยั มาอย่างต่อเนื่ องตั้งแต่ใน ระดับห้องปฎิบตั ิการ ระดับโรงงานต้นแบบ จนถ่ายทอดสู่ ระดับโรงงานอุตสาหกรรม ผลการศึกษาพบว่า ระบบบาบัดน้ าเสี ยแบบนี้ ซึ่ งเป็ นระบบปิ ด (close-type anaerobic reactor) มีขอ้ ดีกว่าระบบบ่อเปิ ดแบบ ดั้งเดิมที่โรงงานใช้กนั อยู่ ดังตารางที่ 23 230


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 23 การเปรียบเทียบการบาบัดนา้ เสี ยด้ วยระบบบาบัดบ่ อเปิ ดและระบบไร้ อากาศทีพ่ ฒ ั นาขึน้ ปั จจัย 1. ค่าใช้จ่ายในการลงทุน (investment cost) 2. พื้นที่

3. การดาเนินระบบ

4. ประสิ ทธิภาพการบาบัด

5. ผลพลอยได้: ก๊าซชีวภาพ

6. ผลกระทบต่อสิ่ งแวดล้อม

7. การใช้สารเคมี

ระบบบาบัดแบบบ่อเปิ ด (ระบบบาบัดแบบเดิม) - ต้นทุนสู ง (หากราคาที่ ดินสู ง ) และ ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างระบบต่ า (บ่อ ดินขุด) - ส่วนใหญ่มีจานวนบ่อ 8-10 ทาให้ตอ้ ง ใช้ พ้ื น ที่ ห ลายสิ บไร่ (100 ไร่ ) ตัวอย่างเช่นโรงงานแป้ งมัน -กา ร ด า เ นิ น ก า ร ไ ม่ ซั บ ซ้ อ น แ ล ะ บารุ งรักษาน้อย - การไหลของน้ าเสี ยมักเกิดการผสม กั น ไ ม่ ดี เกิ ดการไ หล ลั ด วงจ ร มี ผลกระทบต่อประสิ ทธิภาพ (ต่า) - ประสิ ท ธิ ภ าพในการบ าบั ด ต่ า รั บ ภาระการเติ ม สารอิ น ทรี ย ์ ไ ด้น้อ ย ประมาณ 0.25 กก. ซี โอดี / ลบ.ม. และ ระยะเวลาในการกัก เก็ บ น้ าเสี ย นาน ประมาณ 30-60 วัน -ไม่สามารถกักเก็บก๊าซชีวภาพได้

ระบบบาบัดแบบไร้อากาศ (ที่ได้พฒั นาขึ้น) - ค่ า ใช้จ่ า ยในการลงทุ น ก่ อ สร้ า ง ระบบ ขึ้ น อยู่กับ ปริ ม าณและความ สกปรกของน้ าเสี ย เนื่องจากระบบมีประสิ ทธิภาพในการ บาบัดสู งทาให้ตอ้ งการพื้นที่ น้อยลง โ ด ย ส า ม า ร ถ ล ด พื้ น ที่ ใ ห้ เ ห ลื อ ประมาณ 1 ใน 3 - ต้องการผูเ้ ชี่ ยวชาญเฉพาะในการ เริ่ มต้น เดิ น ระบบ (start-up) แต่ หลังจากนั้นแล้วการดาเนิ นระบบไม่ ซับซ้อนและไม่ต ้องการผูเ้ ชี่ ยวชาญ เฉพาะในการควบคุม - มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพในการบ าบั ด สู ง รับภาระการเติมสารอิ นทรี ยไ์ ด้น้อย ประมาณ 6-8 กก.ซี โอดี /ลบ.ม./วัน และระยะเวลาในการกักเก็บ น้ า เสี ย นานประมาณ 3-4 วัน - มี ป ริ ม า ณ ก๊ า ซ ชี วภ า พ เ กิ ด ขึ้ น ประมาณ 0.4-0.5 ลบ.ม./กก ซี โอดี ที่ กาจัด และสามารถเก็ บ ผลผลิ ต ก๊ า ซ ชี ว ภาพนาไปใช้เป็ นแหล่ งพลังงาน ทดแทนได้ - เนื่ อ งจากเป็ นระบบปิ ด จึ ง ไม่ มี ผลกระทบเรื่ องกลิ่น - ไม่เกิดการปนเปื้ อนของน้ าเสี ยลงสู่ ชั้นน้ าใต้ดิน

- มี ก ลิ่ น เหม็ น ของก๊ า ซไฮโดรเจน ซั ล ไฟด์ แ ละกรดอิ น ทรี ย์ ก่ อ ความ รบกวนต่อชาวบ้านข้างเคียง - เกิดการปนเปื้ อนของน้ าเสี ยลงสู่ช้ นั ใต้ ดินทาให้เกิดผลกระทบต่อชั้นน้ าใต้ดิน - มีการใช้ปูนขาวเพื่อปรับ ph และลด - มีการใช้สารเคมีในการปรับสภาพ กลิ่นโดยประมาณว่าในช่วงที่มีการผลิต ของน้ าเสี ยน้อยทาให้ค่าใช้จ่ายในการ อย่ า งต่ อ เนื่ อ งอาจมี ก ารใช้ ปู น ขาว ดาเนินการต่า มากกว่า 1 ตัน ทาให้ค่าใช้จ่ายในการ ดาเนินการสูง

231


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ทั้งนี้ ระบบนี้ เหมาะกับน้ าเสี ยจากโรงงานอุ ตสาหกรรมเกษตร ที่ มีค่าซี โอดี และสาร แขวนลอยสู ง ระบบบาบัดน้ าเสี ยแบบตรึ งเซลล์มีขอ้ ดีเมื่อเปรี ยบเทียบกับรู ปแบบอื่นๆ คือ 1. มีความสามารถในการรักษาจุลินทรี ยใ์ ห้อยูใ่ นระบบได้เป็ นระยะเวลานาน 2. มีประสิ ทธิ ภาพสู งในการบาบัดน้ าเสี ย และผลิตก๊าซชีวภาพ 3. สามารถใช้บาบัดน้ าเสี ยที่มีสารแขวนลอยสู งได้ และมีสภาพเป็ นกรดได้โดยไม่ตอ้ ง มีการปรับสภาพน้ าเสี ยโดยการกาจัดสารแขวนลอยและปรับ pH ก่อนเข้าระบบ 4. ค่าใช้จ่ายของสารเคมีที่ใช้ในการดาเนินการและควบคุมระบบต่า 5. การดู แ ลไม่ ซับ ซ้ อ น หลัง start up แล้ว ไม่ ต้อ งการผูเ้ ชี่ ย วชาญเฉพาะในการ ควบคุมดูแลระบบ 6. ระบบสามารถฟื้ นตัว (recover) ได้ในเวลารวดเร็ ว เมื่อระบบเกิดการล้มเหลว เนื่องจากภาระการเติมสารอินทรี ยท์ ี่สูงเกินกว่าที่ระบบจะรับได้ (Shock loading) 7. นอกจากนี้ ระบบยังสามารถปรับตัวได้ดีและยืดหยุน่ สามารถใช้กบั น้ าเสี ยสาหรับ อุตสาหกรรมเกษตร ที่มีการดาเนินการผลิตเป็ นฤดูกาลตามวัตถุดิบที่มี ระบบยังสามารถทางานได้ดีและ มีประสิ ทธิ ภาพที่ดีอยู่ เทคโนโลยีน้ ี เป็ นเทคโนโลยีที่พฒั นาขึ้นเองในประเทศ ดังนั้น การก่ อสร้ างระบบใช้ วัสดุภายในประเทศ ออกแบบและดาเนิ นการโดยผูเ้ ชี่ ยวชาญภายในประเทศเช่ นเดียวกัน ซึ่ งเป็ นการลด การสู ญเสี ยเงินตราออกนอกประเทศ เทคโนโลยีการบาบัดน้ าเสี ยแบบตรึ งเซลล์น้ ี สามารถช่ วยอนุ รักษ์ สิ่ งแวดล้อมและพลังงานให้แก่ประเทศ ดังตัวอย่างของโครงการผลิตก๊าซชี วภาพจากระบบบาบัดน้ าเสี ย ของโรงงานอุตสาหกรรมแป้ งข้าว ที่ ได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีน้ ี พบว่าในการบาบัดน้ าเสี ยของโรง แป้ งข้าวที่มีกาลังผลิ ตแป้ ง 350 ตัน/วัน เกิดน้ าเสี ย 1,000 ลบ.ม./วัน ได้ก๊าซชี วภาพ 2,400–3,000 ลบ.ม./ วัน ซึ่ งเทียบเท่าพลังงานทดแทนในรู ปกระแสไฟฟ้ า 3,000–3,500 กิ โลวัตต์/ชม. นอกจากนี้ ยงั ช่ วยลด ปั ญหาเรื่ องกลิ่น ใช้พ้ืนที่ในการบาบัดน้อย ลดมลพิษของน้ าเสี ยโดยกาจัดความสกปรกในรู ปซี โอดี ได้ 4,560 กก./วัน และลดการใช้ส ารเคมี ใ นการปรั บ สภาพ น้ า เสี ย โดยประหยัดเงิ นไปได้เดื อนละกว่า 300,000 บาท เมื่อเทียบกับบ่อบาบัดน้ าเสี ยแบบเปิ ดที่โรงงานมีอยูเ่ ดิม ประโยชน์ ทไี่ ด้ รับจากการวิจัย 1. ทางเศรษฐศาสตร์ : ได้แนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยีระบบบาบัดน้ าเสี ยที่มี ประสิ ทธิภาพสู ง สามารถบาบัดน้ าเสี ยได้ดี และยังให้ผลผลิตก๊าซชีวภาพในกรณี ที่น้ าเสี ยมี BOD/ COD และปริ มาณสู ง ซึ่ งสามารถนาไปใช้เป็ นพลังงานทดแทนน้ ามันเตา หรื อไฟฟ้ าภายในโรงงาน อุตสาหกรรมเกษตรได้ ทาให้ลดค่าใช้จ่ายในการผลิตได้ ทาให้มีผลตอบแทนคืนทุนและมีความคุม้ ทุน 232


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ในการสร้างระบบบาบัดนี้ 2. ทางสังคม: เพิ่มประสิ ทธิ ภาพในการบาบัดน้ าเสี ย สามารถช่วยลดปริ มาณของเสี ยที่ จะปล่อยสู่ สิ่งแวดล้อมเพื่อบรรเทาปั ญหามลพิษที่จะเกิ ดขึ้ นต่อแหล่งน้ าธรรมชาติ สุ ขภาพอนามัยของ มนุษย์ และผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ หรื อสิ่ งมีชีวติ ที่อาศัยอยูใ่ นแหล่งน้ านั้น 3. การพัฒนาเทคโนโลยี: ได้เทคโนโลยีที่พฒั นาขึ้นในประเทศ ซึ่ งสามารถเผยแพร่ และถ่ายทอดเทคโนโลยีท่ ี่ได้สู่ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่สนใจ ศักยภาพในการพัฒนาไปสู่ ภาคอุตสาหกรรม ได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่โรงงานอุตสาหกรรมแปรรู ปผักและผลไม้ของบริ ษทั ดอย คาผลิ ตภัณฑ์ จากัด 3 แห่ งและโรงงานผลิตแป้ งข้าว 1 แห่ ง นอกจากนี้ มีแผนในอนาคตที่จะถ่ายทอด เทคโนโลยีน้ ีสู่โรงงานอุตสาหกรรมแป้ งมันสาปะหลังอีก 5 แห่ง

233


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เรื่องที่ 6 สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและนิเทศศาสตร์ บทคัดย่อ รายงานการวิจัย เรื่อง การพัฒนาหลักสู ตรเพือ่ เสริมสร้ างกระบวนการตัดสิ นใจทางจริยธรรม ในวิชาชีพหนังสื อพิมพ์สาหรับศึกษาวารสารศาสตร์ * (A Curricula Development to Enhance the Ethical Decision – Making Process in Journalistic Profession for Journalism Students) โดย ดร.บุบผา เมฆศรี ทองคํา และคณะ ** ความสาคัญและทีม่ าของการทาวิทยานิพนธ์ สังคมปั จจุบนั เป็ นสังคมข่าวสารและเป็ นสังคมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น หนังสื อพิมพ์ จึงมีบทบาทในฐานะเป็ นข้อมูลข่าวสารที่สาคัญของประชาชนโดยอาศัยผูส้ ื่ อข่าวทาหน้าที่คดั เลือก ข่าวสารต่าง ๆ เพื่อนาเสนอต่อสาธารณชน ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้วา่ คุณภาพของหนังสื อพิมพ์ข้ ึนอยูก่ บั คุณภาพของสื่ อข่าวซึ่ งนอกจากจะต้องมีความรู ้ ความสามารถด้านวิชาชีพแล้ว จะต้องมีจริ ยธรรมควบคู่ ด้วยเสมอในการทางานเพราะหากผูส้ ื่ อข่าวขาดจริ ยธรรมย่อมก่อให้เกิดความเสี ยหายกับบุคคลหลายฝ่ าย ไม่วา่ จะเป็ นบุคคลที่ตกเป็ นข่าวบุคคลที่เกี่ยวข้อง ผูส้ ื่ อข่าวรวมถึงองค์กรหนังสื อพิมพ์เอง อย่างไรก็ตามจากปรากฏการณ์จริ งที่เกิดขึ้นประกอบกับงานวิจยั ต่าง ๆ ชี้ให้เห็นว่า จริ ยธรรมวิชาชีพหนังสื อพิมพ์ยงั เป็ นประเด็นปั ญหาสาคัญที่ส่งผลต่อการทาหน้าที่ของผูส้ ื่ อข่าว โดยการ ทางานของผูส้ ื่ อข่าวที่ตอ้ งเผชิญกับสถานการณ์ปัญหาความขัดแย้งทางจริ ยธรรมอยูเ่ สมอ ผูส้ ื่ อข่าวจึงต้อง อาศัยกระบวนการตัดสิ นใจทางจริ ยธรรมเพื่อช่วยให้ผสู ้ ื่ อข่าวสามารถจัดการกับสถานการณ์ปัญหาความ ขัดแย้งทางจริ ยธรรมอันนาไปสู่ การปฏิบตั ิหน้าที่ของสื่ อข่าว โดยวางอยูบ่ นพื้นฐานของหลักจริ ยธรรม วิชาชีพหนังสื อพิมพ์ ดังนั้นกระบวนการตัดสิ นใจทางจริ ยธรรมในวิชาชีพหนังสื อพิมพ์จึงเป็ นสิ่ งจาเป็ นอย่าง ยิ่งสาหรับนักศึกษาวารสารศาสตร์ ที่จะออกไปประกอบอาชี พผูส้ ื่ อข่าวในอนาคตควรได้รับการฝึ กฝน เพื่อให้สามรถเผชิญและจัดการกับสถานการณ์ปัญหาความขัดแย้งทางจริ ยธรรมในวิชาชีพหนังสื อพิมพ์ * งานวิจัยนี้ ผู้วจิ ัยได้ รับรางวัลวิทยานิพนธ์ ประจาปี 2546 รางวัลดีเยีย่ ม สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและนิเทศศาสตร์ จากสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ** ** คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 119 ถนนพระราม 4 แขวงคลองเตย เขตพระโขนง กรุงเทพฯ 10110 โทรศัพท์ 0 2350 3500 ต่ อ 650,659 โทรสาร 0 2240 1819 สถานที่ติดต่ อ 104/212 ถนนเจริ ญเวียง แขวงสี ลม เขตบางรั ก กรุงเทพฯ 10500 โทรศัพท์ 0 29122 9969 , 0 2630 9969 กด 1 E-mail : bubpha.m@bu.ac.th

234


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

แต่จากหลักสู ตรการจัดการเรี ยนการสอนของสถาบันอุดมศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐ และเอกชนที่เปิ ดสอนสาขาวิชาวารสารศาสตร์ พบว่า ไม่มีการกาหนดเป้ าหมายในเรื่ องกระบวนการตัด สิ นใจทางจริ ยธรรมในวิชาชี พหนังสื อพิมพ์รวมทั้งการเรี ยนการสอนเน้นการบรรยายเนื้ อหาหลักวิชาการ เขียนข่าวเพียงอย่างเดียวโดยขาดบูรณาการในเรื่ องกระบวนการตัดสิ นใจทางจริ ยธรรมในวิชาชีพหนังสื อ พิมพ์ ลงในเนื้อหารายวิชาที่เกี่ยวข้องกับการเขียนข่าว ทาให้นกั ศึกษาวารสารศาสตร์ ไม่ได้รับการฝึ กฝน ในเรื่ องกระบวนการตัดสิ นใจทางจริ ยธรรมในวิชาชีพหนังสื อพิมพ์ ด้วยเหตุน้ ี เมื่อนักศึกษาก้าวสู่ อาชีพ ผูส้ ื่ อข่าวซึ่ งจะต้องเผชิ ญกับสถานการณ์ ปั ญหาความขัดแย้งทางจริ ยธรรมอยูต่ ลอดเวลาจึงไม่สามารถจะ เผชิญและจัดการกับสถานการณ์ปัญหา ความขัดแย้งทางจริ ยธรรมได้ จึงนามาสู่ ปัญหาคุณภาพในการ ปฏิบตั ิหน้าที่ในฐานะผูส้ ื่ อข่าว เพราะฉะนั้นการที่จะทาให้นกั ศึกษาวารสารศาสตร์มีการะบวนการตัดสิ นใจทาง จริ ยธรรมในวิชาชีพหนังสื อพิมพ์จึงควรมีการปรับปรุ งหลักสู ตรการเรี ยนการสอนให้มีความชัดเจนขึ้น โดยฝึ กฝนให้นกั ศึกษาวารสารศาสตร์ รู้จกั กระบวนการคิดวิเคราะห์โดยเฉพาะในเรื่ องกระบวนการ ตัดสิ นใจทางจริ ยธรรมในวิชาชีพหนังสื อพิมพ์โดยใช้ปัญหาและรู ้จกั การตัดสิ นใจเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น หรื อที่เรี ยกว่า “การเรี ยนการสอนแบบใช้ปัญหาเป็ นหลัก” (Problem – based Learning) จากความส าคัญ ของกระบวนการตัด สิ น ใจทางจริ ย ธรรมในวิ ช าชี พ หนัง สื อ พิ ม พ์ ตลอดจนปั ญหาข้อบกพร่ องในหลักสู ตรสาขาวิชาวารสารศาสตร์ และกระบวนการจัดการเรี ยนการสอน จึงนามาสู่ การศึกษาวิจยั เรื่ อง “การพัฒนาหลักสู ตรเพื่อเสริ มสร้างกระบวนการตัดสิ นใจทางจริ ยธรรมใน วิชาชีพหนังสื อพิมพ์สาหรับนักศึกษาวารสารศาสตร์ ” โดยกาหนดเป้ าหมายของการวิจยั ครั้งนี้ เพื่อศึกษา ว่า จริ ยธรรมที่จาเป็ นในวิชาชี พหนังสื อพิ มพ์ที่ตอ้ งการเสริ มสร้างกระบวนการตัดสิ นใจทางจริ ยธรรม ดังกล่าวควรมีการดาเนินการพัฒนาอย่างไร วัตถุประสงค์ ของการทาวิทยานิพนธ์ เพื่ อ พัฒ นาหลัก สู ต รเพื่ อเสริ มสร้ า งกระบวนการตัด สิ น ใจทางจริ ย ธรรมในวิช าชี พ หนังสื อพิมพ์สาหรับนักศึกษาวารสารศาสตร์ โดยมีวตั ถุประสงค์ยอ่ ยในการวิจยั ดังนี้ 1. เพื่อศึกษา ค้นคว้า และกาหนดกรอบกรอบความคิดของจริ ยธรรมที่จาเป็ นในวิชา หนังสื อพิมพ์ที่ตอ้ งการเสริ มสร้างในการะบวนการเรี ยนการสอนสาหรับศึกษาวารสารศาสตร์ ในระดับ ปริ ญญาตรี 2. มุ่งพัฒนาหลักสู ตรและกระบวนการเรี ยนการสอนที่ เหมาะสมต่อการเสริ มสร้ าง กระบวนการตัดสิ นใจทางจริ ยธรรมในวิชาชี พหนังสื อพิมพ์โดยเนื้ อหาสาระหลักสู ตรเป็ นผลมาจาก 235


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

กระบวนการวิจยั ในขั้นตอนที่ 1 ส่ วนกระบวนการพัฒนาการเรี ย นการสอนใช้รูปแบบการพัฒนา หลักสู ตรแบบบูรณาการที่เน้นเนื้อหารายวิชาเป็ นหลักโดยใช้วธิ ี การเรี ยนการสอนแบบใช้ปัญหาเป็ นหลัก ระยะเวลาในการทาวิทยานิพนธ์ ตัง่ แต่วนั ที่ 3 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 ถึงวันที่ 20 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2544 (1 ปี ) สรุ ปผลวิทยานิพนธ์ 1. ผลการศึกษาและวิเคราะห์ ข้อมูล พบว่าจริ ยธรรมที่จะเป็ นอันดับแรกในวิชาชีพ หนังสื อพิมพ์ คือ ความถูกต้องแม่นยา อันดับแรกที่ 2 คือ ความซื่อสัตย์ และอันดับที่ 3 คือ สิ ทธิ ส่วน บุคคล โดยจริ ยธรรมที่จาเป็ นทั้ง 3 อันดับ ประกอบด้วยด้านความรู้ เจตคติและพฤติกรรมซึ่งทุก องค์ประกอบในด้านต่าง ๆ ของจริ ยธรรมพบว่าเป็ นจริ ยธรรมที่มีความจาเป็ นในระดับมากถึงมากที่สุด สาหรับนักศึกษาวารสารศาสตร์ 2. ผลการพัฒนาโครงร่ างหลักสู ตร พบว่าหลักสู ตรที่กาหนดเป็ นโครงร่ าง ประกอบด้วยสภาพปั ญหาและความจาเป็ น เป้ าหมาย หลักการ จุดมุ่งหมาย หน่วยการเรี ยนการสอน เนื้อหา กิจกรรมการเรี ยนการสอน สื่ อการเรี ยนการสอนและการวัดและประเมินผลพร้อมทั้งเอกสาร ประกอบหลักสู ตร ได้แก่ คู่มือผูส้ อนซึ่ งประกอบด้วยแผนการสอนและเอกสารประกอบการเรี ยนการ สอนในวิชาการสื่ อสาร 1 3. ผลการตรวจสอบคุณภาพของโครงร่ างหลักสู ตร พบว่าโครงร่ างหลักสู ตรมีความ เหมาะสมในระดับมากและมีความสอดคล้องกันในทุกองค์ประกอบของโครงร่ างหลักสู ตรและนาข้อมูล จากการประเมินโครงร่ างหลักสู ตรมาปรับปรุ งเพื่อให้โครงร่ างหลักสู ตรมีความเหมาะสมยิง่ ขึ้น 4. ผลการทดลองใช้ หลั ก สู ต ร พบว่า ค่ า เฉลี่ ย คะแนนกระบวนการตัด สิ น ใจทาง จริ ยธรรมในวิชาชี พหนังสื อพิมพ์หลังการทดลองใช้หลักสู ตรของกลุ่มทดลองมากกว่าค่าเฉลี่ ยคะแนน ก่ อนการทดลองใช้ห ลัก สู ตรในกลุ่ ม เดี ย วกันอย่า งมี นัย ส าคัญ ทางสถิ ติ ที่ ระดับ .05 ค่ า เฉลี่ ย คะแนน กระบวนการตัดสิ นใจทางจริ ยธรรมในวิชาชีพหนังสื อพิมพ์หลังการทดลองใช้หลักสู ตรของกลุ่มทดลอง มากกว่าค่าเฉลี่ยคะแนนหลังการทดลองใช้หลักสู ตรของกลุ่มควบคุมอย่างนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ความเหมาะสมของการใช้หลักสู ตรอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ ยคะแนนด้สนความรู ้ เกี่ ยวกับกระบวนการ ตัดสิ นใจทางจริ ยธรรมในวิชาชี พหนังสื อพิมพ์ระหว่างกระบวนการเรี ยนกับผลสัมฤทธิ์ สู งกว่าเกณฑ์ 80/80 ค่าเฉลี่ยคะแนนด้านเจตคติต่อกระบวนการตัดสิ นใจทางจริ ยธรรมในวิชาชี พหนังสื อพิมพ์ สู งกว่า 236


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เกณฑ์ 3.50 และค่าเฉลี่ ยคะแนนด้านความสามารถในกระบวนการตัดสิ นใจทางจริ ยธรรมในวิชาชี พ หนังสื อพิมพ์สูงกว่าเกณฑ์ 80 5. ผลการประเมิ นผลและปรั บ ปรุ งแก้ ไ ขหลั ก สู ต ร พบว่า หลัก สู ตรที่ พ ฒ ั นาขึ้ น มี ประสิ ทธิ ภาพตามเกณฑ์ในการประเมินประสิ ทธิ ภาพหลักสู ตร ผูว้ ิจยั รอบรวมข้อมูลที่ได้ดาเนิ นการ ปรับปรุ งหลักสู ตรในด้านการใช้ภาษาเพื่อให้ได้หลักสู ต รฉบับสมบูรณ์ที่สามารถนาไปใช้ในการจัดการ เรี ยนการสอนเพื่อเสริ มสร้างกระบวนการตัดสิ นใจทางจริ ยธรรมในวิชาชีพหนังสื อพิมพ์สาหรับนักศึกษา วารสารศาสตร์ ต่อไป ประโยชน์ ทไี่ ด้ รับจากการวิจัย 1. ทาให้นกั ศึกษาวารสารศาสตร์ มีความรู้ เจตคติ และความสามารถของกระบวนการ ตัดสิ นใจทางจริ ยธรรมในวิชาชีพหนังสื อพิมพ์ซ่ ึงจะเป็ นการจัดเตรี ยมนักศึกษาเพื่อไปเป็ นสื่ อมวลชนที่ดี ต่อไป 2. สามารถขยายผลการศึกษาวิจยั และพัฒนาหลักสู ตรในครั้งนี้ไปสู่ รายวิชาอื่นๆ 3. สถาบันการศึกษาสามารถนาผลการวิจยั ไปใช้ในการพัฒนาหลักสู ตรเพื่อเสริ มสร้าง กระบวนการตัดสิ นใจทางจริ ยธรรมสาหรับนักศึกษาระดับปริ ญญาตรี ในสาขาวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ การปฏิบตั ิหน้าที่ของสื่ อมวลชน ศักยภาพในการพัฒนาไปสู่ ภาคอุตสาหกรรม สามารถนาผลการวิจยั ไปใช้เป็ นแนวทางในการประยุกต์ใช้สาหรับการวางกรอบการ ปฏิบตั ิงานด้านสื่ อสารมวลชนของผูป้ ระกอบวิชาชีพหนังสื อพิมพ์ตลอดจนให้ช่วยให้เกิดการตื่นตัวใน แวดวงของผูป้ ระกอบวิชาชีพหนังสื อพิมพ์ในด้านของการรายงานข่าวที่วางอยูบ่ นพื้นฐานของจริ ยธรรม ในการประกอบวิชาชีพหนังสื อพิมพ์อนั นามาสู่ การพัฒนาองค์กรวิชาชีพหนังสื อพิมพ์โดยรวม

237


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เรื่องที่ 7 สาขาปรัชญา บทคัดย่อ รายงานการวิจัย เรื่อง การศึกษาแบบแผนทางศิลปกรรมของวิหารพืน้ เมืองล้านนา ในระหว่าง พุทธศตวรรษที่ 20-24 * (The Study of Lanna viharn during the 20 th -24 th Century B.E.) โดย วรลัญจก์ บุญยสุรัตน์ ** ความสาคัญและทีม่ าของการวิจัย ล้านนาเป็ นดินแดนที่มีประวัติความเป็ นมายาวนานนับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 19 ความ เจริ ญรุ่ งเรื องทั้งด้านเศรษฐกิจการเมืองและศาสนาทาให้ดินแดนแห่งนี้ปรากฏผลงานสร้างสรรค์ทาง ศิลปกรรมและวัฒนธรรมอย่างมากมาย ซึ่ งล้วนแต่มีความงดงามและมีเอกลักษณ์แตกต่างไปจากภาคอื่น ในบรรดาโบราณสถานที่มีจานวนมากนั้น วิหาร นับเป็ นผลงานทางพุทธสถาปั ตยกรรมที่ทรงคุณค่า แสดงออกซึ่ งแบบแผนทางศิลปกรรมที่มีความโดดเด่นมากที่สุด หากแต่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 22 บุเรง นองแห่งราชวงศ์ตองอูได้ขยายอานาจจนสามารถมีชยั เหนื อล้านนา ทาให้ลา้ นนามีฐานะเป็ นมณฑลหนึ่ง ของพม่า หลังจากนั้นผูน้ าชาวล้านนาได้หนั มาสวามิภกั ดิ์ต่อสยามและร่ วมกันขับไล่พม่าออกไปจาก ล้านนาได้สาเร็ จ ก่อให้เกิดการฟื้ นฟูบา้ นเมืองขึ้นใหม่ในพุทธศตวรรษที่ 24 โดยที่ลา้ นนายอมเป็ นเมือง ประเทศราชของราชอาณาจักรสยาม เหตุการณ์ดงั กล่าวก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในล้านนา ซึ่ งมีผลกระทบถึงแบบแผนทางศิลปกรรมและสถาปั ตยกรรมของล้านนาค่อนข้างมากแม้วา่ จะมีการฟื้ นฟู งานศิลปกรรมขึ้นใหม่ แต่ก็ไม่อาจระบุอย่างแน่ชดั ได้วา่ ลักษณะแบบแผนของวิหารพื้นเมืองล้านนาที่ สร้างก่อนพุทธศตวรรษที่ 24 นั้นเป็ นอย่างไร เนื่องจากไม่ได้มีการศึกษาเรื่ องนี้ อย่างจริ งจังมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิง่ เมื่อมีการพัฒนาบ้านเมืองให้เจริ ญก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไปสู่ ความทันสมัยเช่นปั จจุบนั เป็ นเหตุให้วหิ ารโบราณทัว่ ทั้งดินแดนล้านนาถูกรื้ อถอนออกไปเพื่อสร้างวิหารในรู ปแบบใหม่ กอรปกับ ประชาชนยังขาดการตระหนักในคุณค่าและขาดการศึกษาค้นคว้าความรู ้ที่เกี่ยวข้องกับวิหารล้านนา สิ่ ง เหล่านี้ทาให้องค์ความรู ้เรื่ องวิหารล้านนาเหลือน้อยลงไปทุกขณะ แต่กระนั้นก็ดีผวู ้ ิจยั ยังเชื่อว่ายังคงมี วิหารล้านนาที่สร้างในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 -24 หลงเหลืออยูจ่ านวนหนึ่งไม่มากนัก หากแต่ยงั ไม่มี การสารวจและศึกษาอย่างจริ งจัง ด้วยเหตุน้ ีจึงเห็นถึงความจาเป็ นอย่างยิง่ ที่ตอ้ งทาการสารวจ ศึกษาวิจยั และบันทึกรายละเอียดเพื่อให้ได้องค์ความรู ้เกี่ยวกับวิหารล้านนาที่มีอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20- 24 เพื่อเป็ นประโยชน์ต่อการศึกษาและอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่านี้ สืบไป * งานวิจัยนี้ ผู้วจิ ัยได้ รับรางวัลวิทยานิพนธ์ ประจาปี 2546 รางวัลยอดเยีย่ ม สาขาปรัชญา จากสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ** ภาควิชาศิลป์ ไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชี ยงใหม่

238


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

วัตถุประสงค์ ของการวิจัย 1. เพื่อเป็ นการศึกษาถึงประวัติความเป็ นมาและพัฒนาการของวิหารพื้นเมืองล้านนา ตลอดจนความคิดความเชื่ อที่เกี่ยวข้อง 2. เพื่อศึกษาถึงลักษณะและแบบแผนทางศิลปกรรมของวิหารพื้นเมืองที่มีอายุในช่วง พุทธศตวรรษที่ 20 – 24 3. เพื่อเป็ นการบันทึกและรวบรวมหลักฐานรายละเอียดของวิหารพื้นเมืองล้านนาที่มี อายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-24 ที่เหลืออยูไ่ ว้เพื่อเป็ นประโยชน์ในการศึกษาและเป็ นแนวทางของการ อนุรักษ์ต่อไป สรุ ปผลการวิจัย การศึกษาแบบแผนทางศิลปกรรมของวิหารพื้นเมืองล้านนาในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-24 ในครั้งนี้ ได้พบว่าตัวอย่างของวิหารที่มีการสร้างในช่วงดังกล่าวปรากฏหลงเหลืออยูใ่ นล้านนา เพียงจานวน 10 แห่ง ในจังหวัดลาปางและเชียงใหม่ ได้แก่ วิหารหลวง, วิหารพระพุทธ, วิหารน้ าแต้ม วัดพระธาตุลาปางหลวง, วิหารวัดไหล่หิน อาเภอเกาะคา, วิหารจามเทวี วัดปงยางคก อาเภอห้างฉัตร, วิหารหลวง วัดเวียง อาเภอเถิน, วิหารโคมคา วัดพระธาตุเสด็จ กับ วิหารวัดคะตึกเชียงมัน่ อาเภอเมือง จังหวัดลาปาง วิหารหลวง วัดปราสาท, วิหารหลวง วัดป่ าแดงมหาวิหาร อาเภอเมือง จังหวัด เชียงใหม่ ผลของการวิจยั สรุ ปได้ดงั นี้ 1. รู ปแบบของวิหาร วิหารพื้นเมืองล้านนานิยมสร้าง 2 รู ปแบบ คือวิหารโถง หรื อ วิหารไม่มีป๋างเอก (วิหารที่มีฝาผนัง) และวิหารแบบปิ ด หรื อ วิหารที่มีป๋างเอก (วิหารที่มีฝาผนัง) จาก หลักฐานพบความนิยมของการสร้างวิหารโถงในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 – 23 และพัฒนาต่อมาในรู ป วิหารแบบกึ่งโถงในช่วงกลางของพุทธศตวรรษที่ 24 ขณะเดียวกันก็เริ่ มนิยมสร้างวิหารแบบปิ ดตาม แบบอย่างวิหารภาคกลาง อีกทั้งยังมีวหิ ารที่สร้างมณฑปปราสาทเชื่อมต่อท้ายวิหาร เรี ยกว่า “วิหารทรง ปราสาท” ซึ่ งพัฒนาการเป็ นวิหารแบบปิ ดในช่วงพุทธศตวรรษที่ 25 แม้รูปแบบจะเปลี่ยนไปแต่วหิ าร ล้านนาก็ยงั คงรักษาแบบแผนของผังพื้นที่อยูใ่ นรู ปสี่ เหลี่ยมผืนผ้ามีการลดส่ วนห้องวิหารในลักษณะ “ยก เก็จ” ลดหลัน่ ออกทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งสัมพันธ์กบั จังหวะการลดชั้นของหลังคาวิหาร แผนผังวิหารจึงคล้าย “สาเภาปราสาท” อันเปรี ยบเสมือนพระธรรมคาสอนอันจะเป็ นเครื่ องนาสัตว์ออก 239


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

จากภพ นอกจากนั้นความโดเด่นของรู ปแบบวิหารล้านนาสามารถเห็นได้จากหลายประการ เช่น โครงสร้างรับน้ าหนักที่เรี ยกว่า “ขื่อม้าต่างไหม” นอกจากนั้นยังมีความคิดเรื่ องการวางแนวเสาภายใน ที่ แก้ไขเรื่ องมุมทางสายตาที่รวมไปถึงการสร้างฝาย้อย คือผนังเพียงครึ่ งเดียวซึ่ งใช้เป็ นพื้นที่รองรับงาน พุทธศิลป์ และเปิ ดมุมมองทางสายตาซึ่ งช่างได้ออกแบบอย่างแยบยลทั้งลักษณะวิหาร แผนผัง มุมมอง ต่าง ๆ ให้ผสานกับวิถีชีวติ วัฒนธรรมของชาวล้านนา 2. องค์ประกอบของวิหาร จะเห็นได้วา่ วิหารล้านนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-24 นั้น มีองค์ประกอบ 2 ส่ วน คือ องค์ประกอบทางโครงสร้างสถาปั ตยกรรม ได้แก่ เสา คาน ผนัง ฯลฯ ที่มี หน้าที่ทางโครงสร้างในขณะเดียวกันก็ทาหน้าที่รองรับการประดับตกแต่ง ไม่วา่ งานแกะสลัก งานลงรัก ปิ ดทอง หรื อจิตรกรรมฝาผนัง ส่ วนที่ 2 คือองค์ประกอบทางศิลปกรรมเช่น ช่อฟ้ า ล้านลม หน้าแหนบ แผลแล นาคทัณฑ์ ที่ต่างมีลกั ษณะแบบแผนอันเป็ นเอกลักษณ์เฉพาะของล้านนาและมีพฒั นาการไป พร้อมกับรู ปแบบวิหาร องค์ประกอบทางศิลปกรรมนี้ ทาหน้าที่เสริ มโครงสร้างสถาปั ตยกรรมและเติม ความหมายสัญลักษณ์ให้วหิ ารสมบูรณ์ยงิ่ ขึ้นในการสร้างวิหารล้านนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-24 องค์ประกอบทั้ง 2 นี้ได้รับการออกแบบให้ผสานกลมกลืน ทั้งนี้เพื่อเสริ มความหมายของวิหารให้แสดง ถึงการเป็ นพื้นที่ศกั ดิ์สิทธิ์ แห่ งพุทธองค์ เป็ นทิพย์สถานและสร้างความเป็ นสิ ริมลคลแก่บุคคลที่ได้เข้ามา สักการะบูชา ซึ่งแบบแผนทางสถาปัตยกรรม ศิลปกรรมของวิหารที่สร้างในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-24 นี้มีผลต่อเนื่องมาสู่ วิหารที่สร้างในช่วงพุทธศตวรรษที่ 25 ก่อนที่แบบแผนของวิหารล้านนาจะ เปลี่ยนแปลงไปมากดังเช่นปั จจุบนั ประโยชน์ ทไี่ ด้ รับจากการวิจัย 1. ทาให้องค์ความรู ้เรื่ องลักษณะและแบบแผนทางศิลปกรรมของวิหารพื้นเมืองล้านนา ที่มีอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 – 24 2. ทาให้ได้ความรู ้เพิ่มเติมถึงประวัติความเป็ นมาและพัฒนาการของวิหารพื้นเมือง ล้านนา ตลอดจนความคิดความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการสร้างประประดับตกแต่งวิหารล้านนา 3. เป็ นการบันทึกรายละเอียดของวิหารพื้นเมืองล้านนา ที่มีอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-24 4. ก่อให้เกิดแนวทางสาหรับการสร้างสรรค์งานสถาปั ตยกรรม และการสร้างสรรค์ ศิลปกรรมร่ วมสมัย โดยเฉพาะการสร้างงานทางศาสนาที่สามารถนาความรู ้ในเรื่ องวิหารไปเป็ นพื้นฐาน ในการออกแบบได้อย่างสอดคล้องกัลป์ วัฒนธรรมพื้นถิ่น

240


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

5. ทาให้ได้แนวทางที่เหมาะสมสาหรับการอนุรักษ์งานศิลปะและสถาปัตยกรรมของ ล้านนาที่มีคุณค่าสื บต่อไป

241


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เรื่องที่ 8 สาขานิติศาสตร์ บทคัดย่อ รายงานการวิจัย เรื่ อง ทิศทางการพัฒนาระบบงานยุติธรรมกับการป้องกันแก้ ไขปัญหาอาชญา กรรม * (Directions for the Development of the Administretion of Criminal Justice System for Crime Prevention and Solution) โดย รศ.ดร.กมลทิพย์ คติการ และคณะ ** ความสาคัญและทีม่ าของการวิจัย ตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็ นต้นมา ประเทศไทยได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และสังคมอย่างรวดเร็ ว ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่ อสารโทรคมนาคม การพัฒนายุคโลกาภิวฒั น์ ส่ งผลกระทบต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของไทยเป็ นอย่างมาก การเปลี่ยนแปลง เหล่านี้ทาให้เกิดปั ญหาสังคม และปั ญหาอาชญากรรมที่มีแนวโน้มรุ นแรงมากขึ้น โดยเฉพาะปั ญหาอาชญากรรมนั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงรู ปแบบของอาชญากรรม กล่าวคือ นอกจากมีปัญหาอาชญากรรมพื้นฐาน ได้แก่อาชญากรรมเกี่ยวกับการประทุษร้ายต่อทรัพย์ ร่ างกายและเพศแล้ว มีปัญหาการแพร่ ระบาดของยาเสพติดที่มีการกระจายเป็ นวงกว้างในสังคมไทยอย่าง น่าหวัน่ วิตก มีปัญหาอาชญากรรมที่มีลกั ษณะเป็ นกระบวนการที่เรี ยกว่า “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” (Transnational Organized Crime) ซึ่ งมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมหลายประเภท ได้แก่ การค้ายาเสพ ติด การค้ามนุษย์ การค้าอาวุธ ฯลฯ นอกจากนี้ยงั มีปัญหาอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ปั ญหาอาชญากรรม ที่ใช้เทคโนโลยีการสื่ อสารในการประกอบอาชญากรรมข้ามประเทศ เป็ นต้น สภาพปั ญหาดังกล่าวนี้ส่งผลต่อการทางานของกระบวนการยุติธรรม ซึ่ งประกอบด้วย งาน ตารวจ อัยการ ศาลคุมประพฤติ ราชทัณฑ์ และทนายความ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แนวโน้มคดีที่มี จานวนมากขึ้นในแต่ละปี ก่อให้เกิดปั ญหาสะสมในกระบวนการยุติธรรม ซึ่ งมีผลกระทบต่อ ประสิ ทธิภาพและประสิ ทธิผลของการทางานในกระบวนการยุติธรรม และมีผลย้อนกลับมาที่ประชาชน ต่อความรู ้สึกเชื่อมัน่ ศรัทธา ต่อกลไกของรัฐในการอานวยความยุติธรรม และความรู ้สึกมัน่ คงปลอดภัย ในชีวติ และทรัพย์สินของประชาชนรวมถึงความเชื่ อมัน่ ของนักธุ รกิจต่างชาติ ที่จะมาลงทุนในประเทศ ไทย * งานวิจัยนี้ ผู้วจิ ัยได้ รับรางวัลงานวิจัย ประจาปี 2545 รางวัลชมเชย สาขานิติศาสตร์ จากสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ** คณะสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิ ดล อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม 73170

242


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

กระทรวยยุติธรรม และสานักงานศาลยุติธรรมตระหนักและเล็งเห็นความสาคัญของ ปั ญหาดังกล่าว จึงได้มอบหมายให้มีการศึกษาวิจยั นี้ วัตถุประสงค์ ของการวิจัย การศึกษาวิจยั นี้มีวตั ถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์และแนวโน้มการเกิดอาชญากรรม เฉพาะส่ วนที่เกี่ยวกับปริ มาณ ลักษณะคดี ลักษณะผูก้ ระทาผิด และลักษณะผูเ้ สี ยหายที่จะเข้าสู่ กระบวนการยุติธรรมในอนาคต เพื่อค้นหาข้อบกพร่ องของระบบงานยุติธรรมต่อการป้ องกัน ปราบปราม ควบคุม และแก้ไขปั ญหาอาชญากรรม และเพื่อค้นหาทิศทางและมาตรการใหม่ๆ ที่ควรจะ นามาใช้ในระบบงานยุติธรรมทางอาญาในอนาคต สรุ ปผลการวิจัย จากการวิจยั ที่ใช้ทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่ของทัลคอทท์ พาร์สัน และการวิเคราะห์ เชิงระบบของเดวิด อีสตัน เป็ นกรอบทฤษฎีหลักของการศึกษาและวิเคราะห์ขอ้ มูล การเก็บรวบรวม ข้อมูลได้ทาทั้งในเชิงปริ มาณและในเชิงคุณภาพ ผลการวิจยั สรุ ปได้วา่ แนวโน้มคดีอาญาในประเภทที่ ศึกษาได้แก่ คดียาเสพติด คดีความผิดเกี่ยวกับ ชีวิต-ร่ างกาย คดีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ และคดีความผิด เกี่ยวกับเพศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ ทั้งนี้คดีที่เกิดขึ้นในอนาคตช่วง 3-5 ปี ข้างหน้าที่ มีปริ มาณมากเป็ นอันดับแรก ได้แก่ คดียาเสพติด อันดับสองได้แก่ คดีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ และอันดับ สาม ได้แก่ คดีความผิดเกี่ยวกับชีวติ และร่ างกาย จากการศึกษาพบว่า ลักษณะของบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ ยงที่จะตกเป็ นผูต้ อ้ งหาหรื อ ผูก้ ระทาผิดมากที่สุด คือ กลุ่มวัยรุ่ นเพศชายอยูใ่ นวัยเรี ยน กลุ่มอาชีพรับจ้าง โดยเฉพาะกลุ่มรับจ้าง แรงงาน กลุ่มผูว้ า่ งงาน หรื อประกอบอาชีพไม่เป็ นกิจลักษณะ ไม่ได้รับการศึกษามากนัก สภาพแวดล้อม สภาพครอบครัวมีฐานะยากจนหาเช้ากินค่า จนถึงฐานะปานกลาง อาศัยอยูใ่ นเมืองมากกว่าชนบท ส่ วนบุคคลที่มีแนวโน้มจะตกเป็ นเหยือ่ อาชญากรรมในอนาคต ได้แก่ บุคคลทุกเพศ ทุก วัย ทั้งนี้ข้ ึนอยูก่ บั ประเภทความผิด โอกาส เวลา และสถานที่ แต่กลุ่มที่เสี่ ยงกว่ากลุ่มอื่น คือ เด็ก สตรี คนชรา เพราะเป็ นผูท้ ี่อ่อนแอ นอกจากนี้มีแนวโน้มที่เหยือ่ และผูก้ ระทาผิดจะเป็ นคนใกล้ชิดคุน้ เคยกัน ช่วงเวลาที่มีส่วนผลักดันให้เกิดอาชญากรรมได้ง่าย คือ ช่วงเวลากลางคืน และในสถานที่เปลี่ยว สาเหตุ ของการตกเป็ นเหยือ่ คือการขาดความรู ้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้ องกันตนเองจากอาชญากรรม ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม การเมือง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักร ไทยฉบับ พ.ศ.2540 และกระแสการพัฒนาโลกยุคไร้พรมแดน ทาให้อาชญากรรมมีลกั ษณะทวีความ 243


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สลับซับซ้อน และมีรูปแบบแปลกใหม่ข้ ึน แต่อย่างไรก็ตามศาสนามีบทบาทในการควบคุมสังคมและมี ส่ วนที่ทาให้มีการกระทาผิดน้อยลง ผลจากการศึกษาวิจยั นี้บ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ระบบงานยุติธรรมทางอาญายังมี ข้อบกพร่ องมากมายหลายประการ ส่ งผลทาให้ระบบงานยุติธรรมมีประสิ ทธิ ภาพในการป้ องกันและ แก้ไขปั ญหาอาชญากรรมไม่ดีเท่าที่ควร ทาให้มีผตู ้ อ้ งขังล้นเรื อนจาและทัณฑสถาน ข้อบกพร่ องใน ประเด็นหลักๆ คือ ประเทศไทยยังไม่มีนโยบายทางอาญาระดับชาติที่ชดั เจนที่เป็ นนโยบายที่เกิดจาก หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมตกลงร่ วมกัน หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมยังมีลกั ษณะของการ ทางานต่างคนต่างทา ไม่มีความเป็ นเอกภาพในการผดุงความยุติธรรมในชาติ การประสานงานร่ วมมือกัน ยังมีนอ้ ยมาก การทางานมักจะมุ่งประโยชน์ของหน่วยงานตนเป็ นหลัก และยังมีขอ้ บกพร่ องด้าน โครงสร้างอันเป็ นผลสื บเนื่ องมาจากลักษณะที่แต่ละหน่วยงานมุ่งรักษาขอบเขตอานาจและมุ่งประโยชน์ ขององค์กรตน หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมยังขาดการมองระบบงานยุติธรรมทางอาญาแบบองค์ รวมที่มีการบริ หารงานโดยมุ่งสู่ ผลลัพธ์สุกท้ายร่ วมกัน โครงสร้างปั จจุบนั ของกระบวนการยุติธรรมยัง ขาดหน่วยงานที่สาคัญอีกหลายหน่วยงาน เช่น หน่วยงานกาหนดนโยบายทางอาญาระดับชาติ กากับดูแล และประสานงานเพื่อให้เป็ นไปตามนโยบายที่กาหนดไว้ ยังขาดศูนย์ขอ้ มูลกลางที่หน่วยงานใน กระบวนการยุติธรรมทุกหน่วยสามารถใช้ขอ้ มูลร่ วมกันได้ ซึ่ งจะทาให้การวางแผนพัฒนางานยุติธรรม สามารถทาได้บนพื้นฐานของข้อมูลที่แม่นยา ถูกต้อง และเชื่อถือได้ ขาดสถาบันวิจยั เพื่อการพัฒนา กระบวนการยุติธรรม และขาดบ้านกึ่งวิถีที่จะสงเคราะห์ผพู ้ น้ โทษ เป็ นอาทิ นอกจากนี้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมยังประสบกับปั ญหาการขาดแคลน ทรัพยากรในการบริ หาร ได้แก่ การขาดแคลนบุคลากร ขาดแคลนเครื่ องมือเครื่ องใช้ที่ทนั สมัยที่จะทาให้ การปฏิบตั ิงานมีประสิ ทธิ ภาพ ขาดแคลนงบประมาณที่จะใช้ในการปฏิบตั ิงาน ในบางหน่วยงานมีปัญหา ด้านอาคารสถานที่ เช่น ศาล งานควบคุมความประพฤติ และราชทัณฑ์ เป็ นต้น ปั ญหาสาคัญของ กระบวนการยุติธรรมคือ ขาดระบบการพัฒนาบุคลากร ขาดการฝึ กอบรมข้าราชการ พนักงานหรื อ เจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่ อง เพื่อให้มีความรู่ ที่ทนั สมัยเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพสังคมและอาชญากรรม ยุคโลกาภิวฒั น์ ยังมีปัญหาความล่าช้าในการดาเนินคดี มีปัญหาข้อบกพร่ องเกี่ยวกับตัวบทกฎหมายที่ไม่ ทันสมัย ไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหาอาชญากรรมและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป มีปัญหาการบังคับใช้ กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมยังขาดการยอมรับมาตรการใหม่ๆ ที่จะหันเหผูก้ ระทาผิดออกนอก ระบบงานยุติธรรมที่เป็ นทางการ ทิศทางในการพัฒนาระบบงานยุติธรรมในอนาคต ที่สาคัญคือ ทุกหน่วยงานใน กระบวนการยุติธรรมทางอาญาควรจะต้องยอมรับแนวคิดการมองปั ญหา และการแก้ไขปั ญหาของ กระบวนการยุติธรรมทางอาญาแบบองค์รวม เพื่อมุ่งสู่ ผลลัพธ์บ้ นั ปลายร่ วมกัน ไม่มุ่งพัฒนาหน่วยงาน 244


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ของตนแบบแยกส่ วน มีการกาหนดนโยบายทางอาญาของชาติร่วมกัน มีการพัฒนาโครงสร้างของ หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และรู ปแบบอาชญากรรมที่ เปลี่ยนแปลงไป มีการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่ อง ส่ งเสริ มและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีที่ทนั สมัย ในการปฏิบตั ิงานยุติธรรม ปรับปรุ ง แก้ไขกฎหมายให้ทนั สมัย ยอมรับมาตรการใหม่ๆ ที่จะหันเห ผูก้ ระทาผิดออกนอกระบบงานยุติธรรมที่เป็ นทางการ ซึ่ งจะช่วยลดปั ญหาผูต้ อ้ งขังล้นเรื่ อนจาหรื อทัณฑ สถาน ประโยชน์ ทไี่ ด้ รับจากการวิจัย ทาให้ได้ขอ้ มูลที่เป็ นประโยชน์ต่อการวางแผนพัฒนากระบวนการยุติธรรมของชาติ ศักยภาพในการพัฒนาไปสู่ ภาคอุตสาหกรรม ผลการวิจยั นี้จะเป็ นประโยชน์ต่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมโดยอ้อม กล่าวคือถ้า กระบวนการยุติธรรมเป็ นที่เชื่อมัน่ ศรัทธาของนักลงทุนชาวต่างประเทศ จะทาให้นกั ลงทุนชาว ต่างประเทศเข้ามาลงทุนประกอบการอุตสาหกรรมมากขึ้น ซึ่ งจะเป็ นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนั้นการที่กระบวนการยุติธรรมสามารถทาหน้าที่ได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพและมีประสิ ทธิผล จะ ทาให้สังคมมีความสงบเรี ยบร้อย ซึ่ งจะเป็ นพื้นฐานของการพัฒนาประเทศซึ่ งย่อมรวมถึงการพัฒนา อุตสาหกรรมด้วย

245


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เรื่องที่ 9 สาขารัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ สรุ ปย่ อ วิทยานิพนธ์ เรื่อง การสถาปนาอานาจของประชาชนในระดับรากหญ้า * (The Constitution of Power from the Grassroots) โดย ดร.พรใจ ลี่ทองอิน ** นัยสาคัญและวิธีวทิ ยาของการวิจัย การปรากฏตัวขึ้นของขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชนในระดับรากหญ้า เพื่อ ปกป้ องหรื อเรี ยกร้องสิ ทธิ ของตนเอง หรื อเพื่อเรี ยกร้องให้มีการแก้ไขปั ญหาความเดือดร้อนในเรื่ องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดาเนิ นชีวติ ของตนเอง หรื อเพื่อเรี ยกร้องให้มีการแก้ปัญหาราคาพืชผลตกต่าจน ผลผลิตที่ขายได้มีมูลค่าต่ากว่าต้นทุนในการผลิตนั้น อาจกล่าวได้วา่ เป็ นกระบวนการทาให้ตาแหน่ง แห่งที่ (position) ทางการเมืองของประชาชนในระดับรากหญ้า หรื อความสัมพันธ์เชิงอานาจในสังคม กลายเป็ นประเด็นปั ญหาขึ้นมา เพราะปฏิบตั ิการของขบวนการเคลื่อนไหวบังคับให้สังคมต้องเผชิญหน้า กับบรรดาความทุกข์ยากที่พวกเขากาลังเผชิญอยู่ พร้อมทั้งยังชี้ชวนให้เข้าใจอีกด้วยว่า ความทุกข์ยาก เหล่านั้นเป็ นผลมาจากนโยบายสาธารณะที่ไม่เป็ นธรรม และระบบกฎหมายที่นาเข้ามาจากประเทศ ตะวันตก โดยมิได้ใส่ ใจจารี ตปฏิบตั ิที่เป็ นบรรทัดฐานของสังคมไทยเอง หรื อกล่าวอีกนัยหนึ่ง ขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชนในระดับรากหญ้าเป็ นปฏิบตั ิการที่ยนื ยันว่า โครงสร้างทางการเมือง และเศรษฐกิจที่ดารงอยูอ่ ย่างสลับซับซ้อนในสังคมไทย นอกจากไม่อาจทาให้พวกเขาหลีกพ้นจากความ ยากจนไปได้แล้ว ยังเป็ นตัวการทาลายฐานทรัพยากรซึ่งเป็ นฐานการผลิตหรื อฐานชีวติ ของพวกเขาอีก ด้วย แต่การถูกซ่อนเร้นหรื อถูกกดทับไว้ภายใต้อานาจของวาทกรรมการพัฒนา โครงสร้างทางการเมือง และเศรษฐกิจที่ไม่เป็ นธรรมหลายระดับเหล่านี้จึงสามารถดารงอยูไ่ ด้ ยิง่ ไปกว่านั้นด้วยอานาจของวาทะ กรรมการพัฒนา สังคมจึงเชื่อด้วยซ้ า ไปว่า ความทุกข์ยากที่คนเหล่านี้เผชิ ญอยู่ ล้วนมีสาเหตุมาจาก ข้อบกพร่ องในเชิงคุณสมบัติของพวกเขาเอง ด้วยการชี้ชวนให้เห็นว่าคนเหล่านี้โง่เขลาเนื่องจากมี การศึกษาน้อย หรื อไม่ก็มกั เป็ นคนเกียจคร้านเพราะหากขยันขันแข็ง รู ้จกั ทามาหากินก็คงไม่ยากจน หรื อไม่ก็เป็ นพวกที่ชอบใช้จ่ายเกินตัว ไม่รู้จกั อดออม เมื่อสาเหตุของความทุกข์ยากมาจากคุณสมบัติ ส่ วนตัวที่บกพร่ อง การ “พัฒนา” ตนเองจึงกลายเป็ นวิถีทางที่ชอบธรรมในการขจัดความทุกข์ยาก ดังกล่าว โดยไม่จาเป็ นต้อง “จัดการ” กับโครงสร้างที่ไม่เป็ นธรรม * งานวิจัยนี้ ผู้วจิ ัยได้ รับรางวัลงานวิทยานิพนธ์ ประจาปี 2546 รางวัลดีเยีย่ ม สาขารัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ จากสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ** บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกริ ก

246


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ปั ญหาดังกล่าว จึงได้มอบหมายให้มีการศึกษาวิจยั นี้ ขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชนในระดับรากหญ้าไม่เพียงบังคับให้สังคมต้อง เผชิญหน้ากับสิ่ งที่เคยหลีกเลี่ยงได้สาเร็ จมาโดยตลอดในประวัติศาสตร์ตามอานาจของวาทะกรรมการ พัฒนาเท่านั้น หากแต่ยงั บังคับให้สังคมต้องเผชิ ญหน้ากับความตื่นตระหนกของการดาเนิ นการทาง การเมืองโดยอาศัยการชุมนุมประท้วงในท้องถนนและสถานที่ราชการเป็ นกลไกของการต่อรอง การที่ พลังของการดาเนินการทางการเมืองอยูท่ ี่การรักษาพลังในการกดดันผ่านการชุมนุมประท้วงในที่ สาธารณะให้ต่อเนื่องยาวนานเท่าที่จะกระทาได้ จึงเป็ นผลให้ประชาชนในระดับรากหญ้าไม่อาจ หลีกเลี่ยงการค้นหาและพัฒนายุทธวิธีใหม่ ๆ เพื่อที่จะรักษาพลังในการกดดันให้ต่อเนื่องยาวนาน การเมืองบนท้องถนนของประชาชนในระดับรากหญ้าจึงไม่เพียงมีตน้ ทุนสู งเท่านั้น (ประภาส ปิ่ นตบ แต่ง. 2541) หากแต่ยงั สุ่ มเสี่ ยงกับอันตรายนานัปการอีกด้วย เพราะไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิ ญหน้ากับ ฝ่ ายต่อต้านการเคลื่อนไหว ซึ่ งก็ไม่เคยลดละความพยายามในการพัฒนายุทธวิธีใหม่ ๆ เพื่อตอบโต้หรื อ สลายการเคลื่อนไหวอยูต่ ลอดเวลาด้วยเช่นกัน และหาก “การเจรจา” ไม่ได้ผล พวกเขาก็ไม่เห็นความ จาเป็ นที่จะต้องอดกลั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ความรุ นแรง เพราะภารกิจในการรักษาความสงบเรี ยบร้อย และบรรยากาศของการลงทุน เป็ นข้ออ้างที่ศกั ดิ์สิทธิ์ และชอบธรรมเสมอ ภายใต้บริ บทของการพัฒนา ประเทศด้วยกระบวนทัศน์ (paradigm) ของการพัฒนาไปสู่ ความทันสมัย การชุมนุมประท้วงและการ อาศัยท้องถนนในฐานะพื้นที่ (space) และสถานที่ (place) ของการเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าว นาไปสู่ คาถามที่สาคัญว่า อะไรเป็ นเงื่อนไขที่ทาให้ประชาชนในระดับรากหญ้าสร้างกลไกการต่อรอง ทางการเมืองของตนขึ้นมาเอง โดยไม่ใช้กลไกของการต่อรองที่ดารงอยูใ่ นการเมืองแบบประชาธิ ปไตย เสรี นิยม เป็ นเครื่ องมือทางการเมืองในอันที่จะแก้ปัญหาความทุกข์ยากที่ตนเองเผชิ ญอยู่ ทั้งนี้เพราะ หากยึดทัศนะของบรรดานักคิดที่ให้ความสาคัญกับหลักการประชาธิ ปไตย (principled democrats) แล้ว รัฐบาลที่เป็ นประชาธิ ปไตยจะต้องอุทิศตัวเพื่อปรับปรุ งเงื่อนไขการดารงชีวิตของประชาชนทั้งหมด ซึ่ ง แน่นอนว่าต้องรวมถึงประชาชนในระดับรากหญ้าด้วย และจะต้องสร้างกลไกบางประการที่ประชาชน ในสังคมสามารถใช้เพื่อควบคุมผูน้ าของตน รวมทั้งสามารถแสดงออกถึงความปรารถนาและความ ต้องการ เพราะสิ่ งเหล่านี้ยอ่ มแสดงว่า เป้ าหมายสู งสุ ดของประชาธิ ปไตยได้บรรลุแล้ว ( Baradat. 1988 : 48-49) การที่ประชาชนในระดับรากหญ้าสถาปนาการเมืองของตนเองขึ้นมา โดยไม่ใช้กลไก ทางการเมืองในระบอบประชาธิ ปไตยเสรี นิยมเป็ นเครื่ องมือทางการเมือง เพื่ อตอบสนองความต้องการ หรื อแก้ปัญหาความทุกข์ยากที่เผชิญอยูน่ ้ นั ไม่ได้เป็ นเพราะ “ขาดความรู้ ที่ ถูกต้ อง” เกี่ยวกับการเมืองใน ระบอบประชาธิ ปไตยเสรี นิยมดังที่มกั นิยมเข้าใจกัน หากแต่เป็ นเพราะไม่สามารถใช้หรื อเข้าไม่ถึงกลไก ทางการเมืองที่ดารงอยูม่ ากกว่า (นิธิ เอียวศรี วงศ์. 2543 ก : 47-53, ประภาส ปิ่ นตบแต่ง. 2541 ,นฤมล ทับจุมพลและคณะ. 2539 :68-90, Missingham. 1999 : 162-164) ซึ่ งมาจากหลายสาเหตุเช่น รัฐ / กลไก 247


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ของรั ฐเป็ นต้นเหตุ โดยตรงของความทุ ก ข์ย าก เพราะเป็ นคู่ ก รณี ข องความขัด แย้ง เสี ย เอง (ฉันทนา บรรพศิริโชติ. 2541 และ 2543 ชลิดาภรณ์ ส่ งสัมพันธ์. 2541 และชัยวัฒน์ สถาอานันท์. 2542) หรื อ ตัวแทนไม่ยอมสะท้อนความทุกข์ยากของตัวที่ถูกแทนหรื อประชาชนในระดับรากหญ้า (ชัยวัฒน์ สถา อานันท์. 2542 : 183-184) หรื อเป็ นเพราะกระบวนการควบคุมและตรวจสอบผูน้ า / รัฐบาลโดยผ่าน กลไกของการเลือกตั้งเป็ นเพียงมายาคติเท่านั้นเอง เนื่ องจากอานาจของประชาชนจะสิ้ นสุ ดลงทันทีที่มือ ของเขาได้หย่อนบัตรลงหี บเลื อกตั้งแล้ว หรื อเป็ นเพราะผลลัพธ์ จากการแก้ปัญหาความทุกข์ยากของ ประชาชนในระดับรากหญ้า มักจะกระทบผลประโยชน์และสิ ทธิ อานาจ (authority) ของชนชั้นนาใน สั ง คม แต่ ค วามไม่ ส ามารถที่ จ ะใช้ ห รื อเข้า ไม่ ถึ ง กลไกทางการเมื อ ง แบบที่ ด ารงอยู่ ใ นระบอบ ประชาธิ ปไตยเสรี นิยมของประชาชนในระดับรากหญ้า จนกระทัง่ ต้องสถาปนาการเมืองของตนเอง ขึ้นมานั้น คงเป็ นสิ่ งที่ไม่อาจเข้าใจได้เลยหากเราพิจารณาประชาธิ ปไตยเสรี นิยมในฐานะอุดมการณ์ที่มี ความสมบูรณ์และเป็ นสากล เพราะด้วยมุมมองดังกล่าว จะทาให้เราผูกติด “ประชาธิ ปไตย” ไว้กบั อัต ลักษณ์และความหมายของการเมืองในระบอบประชาธิ ปไตยเสรี นิยม จนใช้เป็ นมาตรฐานในการทา ความเข้าใจการเมืองแบบอื่น หรื อประชาธิ ปไตยในความหมายแบบอื่น การวนเวียนอยูใ่ นกับดักของ ประชาธิ ปไตยแบบเสรี นิยม ทาให้เราไม่มีที่วา่ งให้กบั การทาความเข้าใจการเมืองของประชาชนในระดับ รากหญ้าซึ่ งแตกต่างออกไป ยิง่ เมื่อการเมืองของประชาชนในระดับรากหญ้ามีนยั ของความพยายามที่จะ สร้ า งอ านาจอิ ส ระเพื่ อ ต่ อ ต้า นหรื อ ท้า ทายการจัด ระเบี ย บความสั ม พัน ธ์ เ ชิ ง อ านาจแบบที่ ด ารงอยู่ (Missingham. 1999) การปิ ดกั้นด้วยรู ปแบบที่หลากหลายเพื่อให้การเมืองของประชาชนในระดับราก หญ้า มีฐานะเพียง “ความเป็ นอื่ น” ของการเมืองในระบอบประชาธิ ปไตยเสรี นิยมจึงเป็ นสิ่ งที่หลีกเลี่ยง ไม่ได้ การศึกษานี้ จึงชี้ ชวนให้ออกนอกกรอบจากการมองประชาธิ ปไตยเสรี นิยมในฐานะอุดมการณ์ที่มี ความสมบูรณ์และเป็ นสากล เพราะอันที่จริ งแล้วประชาธิ ปไตยเสรี นิยมเป็ นเพียงวาทกรรมที่คนชั้นกลาง สถาปนาขึ้น เพื่อใช้ในกระบวนการช่วงชิ งอานาจจากคนชั้นสู งหรื อคนชั้นปกครองในยุคแสงสว่างแห่ ง ปั ญญาในสังคมตะวันตก ด้วยมุมมองดังกล่าวการศึกษานี้ จึงพยายามที่จะสื บค้นเพื่อเผยให้เห็ นว่า เสรี นิ ย มไม่ใ ช่ อุดมการณ์ ที่มี ค วามสมบู รณ์ และเป็ นสากลดังที่ อวดอ้า งแต่ อย่างใด โดยจะวิเคราะห์ ผ่า น กระบวนการสร้ างอัตลักษณ์หรื อภาคปฏิบตั ิการของวาทกรรม (discursive practices) ในการกาหนด นิยามความหมายของสิ ทธิ และเสรี ภาพของพลเมือ ง การกาหนดนิ ยามความเสมอภาคของพลเมือง การ ปกครองโดยกฎหมาย และการมีส่วนร่ วมทางการเมืองของพลเมือง เมื่อกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ และความหมายของการเมื องในระบอบประชาธิ ปไตยเสรี นิยมเป็ นกระบวนการกี ดกันและเบี ยดขับ ประชาชนในระดับรากหญ้าให้มีพ้ืนที่ทางการเมืองอยู่เพียงชายขอบของอานาจ ดังนั้น ปฏิ บตั ิการของ ขบวนการเคลื่ อนไหวของประชาชนในระดับ รากหญ้า ในการสถาปนาอานาจ จึ ง ต้องกระท าผ่า น กระบวนการทางวาทกรรมเพื่ อ สถาปนาอัต ลัก ษณ์ แ ละความหมายให้ ก ับ “การเมื อ งในระบอบ ประชาธิ ปไตยแบบใหม่ ” ที่เปิ ดหรื อสร้างพื้นที่ทางการเมืองให้ประชาชนในระดับรากหญ้ามีส่วนร่ วมใน 248


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

กระบวนการตัดสิ นใจที่จะมีผลกระทบต่อวิถีชีวติ ของพวกเขา รวมทั้งสามารถต่อรองผลประโยชน์กบั คน กลุ่มอื่นๆ ในสังคมได้อย่างเสมอภาคและยุติธรรม การศึกษานี้ใช้วธิ ี การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ดว้ ยการเชื่ อมโยงแนวคิดทฤษฎีจากสาขาวิชา ต่าง ๆ โดยเลือกปฏิบตั ิการของขบวนการเคลื่อนไหวของผูท้ ี่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนปากมูล เป็ นสนามของการศึกษา เพื่อวิเคราะห์กระบวนการสรรค์สร้างอานาจหรื อสร้างการเมืองของประชาชน ในระดับรากหญ้าจากมุมมองหรื อโลกของคนกลุ่มนี้ รวมทั้งนาข้อมูลจากเอกสารที่ช้ ีให้เห็นถึงการ เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เชิงอานาจทางการเมืองในสังคมไทยมาวิเคราะห์ร่วม เพื่อสื บค้นให้เห็นถึง กระบวนการสร้างอัตลักษณ์และความหมายของการเมืองในระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทย แม่ นา้ มูนในโลกของชาวบ้ านและแม่ นา้ “มูล” ในสายตาของรัฐ เขื่อนที่ถูกสร้างขวางกั้นลาน้ า จะมีความหมายพลิกผันในด้านบวกในฐานะสัญลักษณ์ ของการพัฒนา หรื อจะมีความหมายในด้านลบในฐานะสิ่ งที่ทาลายความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ า ทาลาย วิถีชีวติ และความเป็ นชุมชน ก็ยอ่ มขึ้นอยูก่ บั สถานะของแม่น้ าในโลกหรื อวิถีชีวติ ของคนเหล่านั้นว่ามี ความหมายแตกต่างกันเพียงใด เมื่อแม่น้ าในสายตาของรัฐมีสถานะเป็ นเพียงต้นทุนการผลิต การสร้าง เขื่อนในจุดยืนของรัฐ จึงเป็ นวิถีของการจัดการแม่น้ าเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างคุม้ ค่าที่สุด ส่ วนการใช้ ประโยชน์จากแม่น้ าในวิถีที่แตกต่างออกไปซึ่ งไม่ได้เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ จึงไม่ได้เป็ นวิถีของการใช้ ประโยชน์จากแม่น้ าที่ถูกนิยามว่ามีความคุม้ ค่าอีกต่อไป การกาหนดนิยามวิถีการใช้ประโยชน์จากแม่น้ า โดยพิจารณาจากมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ได้รับในเชิงอานาจ จึงเป็ นการปิ ดกั้นวิถีการใช้ประโยชน์จากแม่น้ า ในโลกหรื อวิถีชีวติ ของชาวบ้านที่สืบทอดมาจากบรรพษุรุษ เพราะในโลกของชาวบ้าน วิถีชีวติ ของ พวกเขาผูกพันกับแม่น้ ามูนในทุกมิติ ทั้งในฐานะที่แม่น้ าเป็ นฐานทรัพยากรที่หล่อเลี้ยงครอบครัวและ สร้างความเป็ นชุมชน นอกจากนั้นแม่น้ ายังเป็ นแหล่งสร้างความรู ้ คัดสรร ถ่ายทอดและผลิตซ้ าความรู ้ เพื่อให้ชาวบ้านสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีลกั ษณะเฉพาะเช่นนี้ได้ และสามารถดารงชีวิต อยูร่ อดร่ วมกันได้อย่างยัง่ ยืน โดยอาศัยความรู ้เหล่านี้ ในการสร้างและพัฒนากฎเกณฑ์หรื อแนวปฏิบตั ิ เพื่อจัดระเบียบความสัมพันธ์ทางสังคมของชุมชนคนหาปลาและกับชุมชนอื่นที่ตอ้ งพึ่งพาแม่น้ ามูน ร่ วมกันในการ “หาอยู่หากิน” ให้ดาเนิ นไปอย่างราบรื่ น ด้วยนัยนี้ แม่น้ ามูนในโลกของชาวบ้าน จึงมี คุณค่าเสมือนสายเลือด สายชีวติ และสายวัฒนธรรม การขยายอานาจรัฐเข้ามาจัดการแม่น้ ามูนโดยแปรให้เป็ นแหล่งผลิตไฟฟ้ าพลังน้ าจึง ไม่ได้เป็ นเพียงการทาลายฐานทรัพยากรที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวติ ของชาวบ้านเท่านั้น หากแต่ยงั เป็ นการทาลาย กระบวนการเรี ยนรู ้ของชุมชน ทาลายแหล่งสร้างความรู ้ของชุมชน และทาลายความเป็ นชุมชนอีกด้วย การขยายอานาจรัฐจึงดาเนินไปท่ามกลางการลุกขึ้นต่อสู ้คดั ค้านอย่างแข็งขันของคนหาปลาเหล่านี้ แม้ 249


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

จะเผชิญหน้ากับการเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านอย่างหนักหน่วง แต่ในที่สุดรัฐก็สามารถขยายอานาจเข้ามา จัดการแม่น้ ามูนได้อย่างชอบธรรม ยิง่ ไปกว่านั้น ยังทาให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวเพื่อเรี ยกร้องสิ ทธิ ใน การปกป้ องวิถีชีวติ ของคนหาปลาเหล่านี้เป็ นเรื่ องของการใช้กฎหมู่อยูเ่ หนื อกฎหมาย เป็ นการละเมิด กฎเกณฑ์และกติกาของสังคม ทั้งนี้เพราะรัฐไม่ได้ใช้กาลังบีบบังคับเพื่อกวาดต้อนคนหาปลาเหล่านี้ ออก จากถิ่นฐาน หากแต่กระทาโดยใช้กระบวนการที่แยบยล ด้วยการทาให้การอ้างสิ ทธิ และวิถีการใช้ ประโยชน์จากแม่น้ าภายในโลกของชาวบ้านกลายเป็ นสิ่ งที่ไม่มีความหมายหรื อไร้คุณค่า ผ่านการอ้าง สิ ทธิ อานาจในฐานะเป็ นตัวแทน การใช้อานาจเพื่อสร้างความรู ้และความจริ งเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนปาก มูล การทาให้พลังงานไฟฟ้ าจากการสร้างเขื่อนกลายเป็ น “ผลประโยชน์ ของชาติ ” และการทาให้ผล กระทบจากการสร้างเขื่อนกลายเป็ นสิ่ งที่ชดเชยได้ดว้ ยการจ่ายเงินทดแทน การอ้างสิ ทธิ และวิถีการใช้ ประโยชน์จากแม่น้ าในจุดยืนของรัฐเช่นนี้ จึงเป็ นการปิ ดกั้นสิ ทธิ ของชาวบ้านหรื อรุ กรานพื้นที่ที่ ชาวบ้านใช้ประโยชน์อยูโ่ ดยปริ ยาย ซึ่ งกล่าวอย่างถึงที่สุดก็คือการรุ กรานตัวตนของชาวบ้านนัน่ เอง ดังนั้น เมื่อชาวบ้านปฏิเสธที่จะแสวงหาทางออกแบบ “ตัวใครตัวมัน” และไม่สามารถที่จะเรี ยกร้องสิ ทธิ ที่ถูกเพิกถอนกลับคืนมาโดยอาศัยกฎเกณฑ์ที่ดารงอยูไ่ ด้ พวกเขาจึงสรรค์สร้างอานาจขึ้นมา เพื่อตอบ โต้การอ้างสิ ทธิ และการใช้ประโยชน์ของรัฐที่กาหนดนิยามขึ้นมาในเชิงอานาจ เพื่อให้คุณค่าและวิถีการ ใช้ประโยชน์จากแม่น้ าในโลกแบบที่ชาวบ้านเลือกได้เผยตัวโดยไม่ถูกเบียดขับให้เป็ นอื่นอีกต่อไป การเมืองของประชาชนในระดับรากหญ้า : ทางออกจากการปิ ดกั้นของการเมืองแบบประชาธิปไตยเสรี นิยม การเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านการสร้างเขื่อนปากมูล โดยอาศัยการชุมนุมประท้วงในพื้นที่ สาธารณะ เพื่อกดดันให้รัฐปฏิบตั ิตามข้อเรี ยกร้องนั้น ได้ถูกตอบโต้อย่างหนักหน่วงด้วยการเบียดขับ ให้ปฏิบตั ิการดังกล่าวกลายเป็ นการกระทาที่ไม่ชอบธรรม เพราะถูกจัดประเภทให้เป็ นปฏิบตั ิการที่อยู่ นอกกฎเกณฑ์ของระบบการเมืองแบบที่ดารงอยู่ การยึดโยงการกระทาการทางการเมืองที่ชอบธรรม ภายใต้กรอบของเส้นแบ่งความเป็ นอื่นในลักษณะเช่นนี้ จึงเป็ นการตอกย้ากฎเกณฑ์ที่ดารงอยูใ่ ห้ แข็งแกร่ งยิง่ ขึ้น โดยมองข้ามหรื อไม่ต้ งั คาถามต่อกฎเกณฑ์ แม้วา่ การปรากฏตัวขึ้นของขบวนการ เคลื่อนไหวของประชาชนในระดับรากหญ้าเป็ นการท้าทายหรื อตั้งคาถามต่อกฎเกณฑ์เหล่านั้นก็ตาม ดังนั้น การวิเคราะห์การเมืองของประชาชนในระดับรากหญ้าในที่น้ ี จึงเป็ นไปเพื่อตอบคาถามพื้นฐานที่ มักถูกมองข้ามไปโดยอคติที่ผกู ยึดอยูก่ บั กฎเกณฑ์ในระบบการเมืองว่า ประชาชนในระดับรากหญ้าได้ ใช้กลไกทางการเมืองที่ดารงอยูใ่ นกระบวนการต่อรองเพื่อปกป้ องสิ ทธิ ในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ และกาหนดชะตากรรมของตนเองแล้วหรื อยัง หากยังไม่ได้ใช้ มีเงื่อนไขอะไรที่เป็ นอุปสรรค หากใช้ แล้วส่ งผลอย่างไร ทาไมจึงต้องสรรสร้างอานาจทางการเมืองของตนขึ้นมา เพื่อที่จะตอบคาถามที่มีความสาคัญยิง่ นี้ ผูว้ จิ ยั จึงย้อนกลับไปตรวจสอบการเคลื่อนไหว 250


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เพื่อคัดค้านการสร้างเขื่อนปากมูลโดยละเอียด ชาวบ้านเริ่ มเรื่ องเล่าของการเคลื่อนไหวอันยาวนานว่า เกิดขึ้นเนื่องจากความหวาดกลัวของชาวบ้านกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งที่เกรงว่า ตนเองอาจจะต้องประสบ ชะตากรรมเช่นเดียวกับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนสิ รินธร เพราะก่อนที่จะมีการ สร้างเขื่อนสิ รินธร ชาวบ้านซึ่ งอาศัยอยูบ่ ริ เวณริ มลาโดมน้อยก็มีวถิ ีชีวติ ที่อุดมสมบูรณ์เช่นเดียวกับชีวติ ของชาวบ้านริ มแม่น้ ามูน แต่เมื่อมีการสร้างเขื่อนคนเหล่านี้กลับมีชีวติ ที่ทุกข์ยาก ต้องหาเห็ด หามะขาม มะม่วง หาบมาแลกข้าวที่บา้ นหัวเหว่ หรื อแม้เมื่อชาวบ้านริ มแม่น้ ามูนหาบปลาไปขาย ก็ไม่มีเงินหรื อ แม้แต่พืชผลใด ๆ ที่จะนามาแลกเปลี่ยน เนื่ องจากที่ดินทากินถูกน้ าท่วมหมด ส่ วนที่ดินที่ได้รับจัดสรร ทดแทนที่ดินที่ถูกน้ าท่วมในนิคมสร้างตนเองลาโดมน้อยก็มีสภาพที่ไม่เหมาะสมกับการทาการเกษตร จึงปลูกพืชผักอะไรก็แทบไม่ข้ ึน และในสายตาของชาวบ้านกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มนี้ สภาพบ้านเรื อนในพื้นที่ ที่ได้รับจัดสรรในนิคมฯยังอยูห่ ่างไกลกันอีกด้วย หรื อไม่มีสภาพของความเป็ นชุมชน “ที่แน่ นหนาฝา คั่ง” ชะตากรรมของชาวบ้านที่ถูกเขื่อนสิ รินธรมาเยือนจึงเปรี ยบเสมือน “หนังจอยักษ์ จอใหญ่ ” ที่ ชาวบ้านกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มนี้ดูซ้ าแล้วซ้ าเล่าจนไม่อาจที่จะลืมเลือนได้ ดังคาพูดที่วา่ “…คั่นบ่ มีเขื่อนโดม น้ อย (เขื่อนสิ รินธร) นี่สิตั๋ว (โกหก) ได้ อยู่ มีเขื่อนโดมน้ อยอยู่ใกล้ ๆ ตานี่ ตั๋วบ่ ได้ ดอก…” ชะตากรรม ของชาวบ้านที่ถูกเขื่อนสิ รินธรมาเยือนจึงทาให้แน่ใจว่า เรื่ องเล่าเกี่ยวกับผลดีจากการสร้างเขื่อนจากคา ชี้แจงของผูใ้ หญ่บา้ น เจ้าหน้าที่กฟผ.และผูว้ า่ ราชการจังหวัดที่จะเกิดขึ้นกับชีวติ และชุมชน เป็ นเพียง เรื่ องโกหกเท่านั้น ชาวบ้านกลุ่มนี้จึงตระเวนไปตามหมู่บา้ นต่าง ๆ ริ มสองฝั่งแม่น้ ามูนเพื่อชักชวนให้ ชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่คาดว่าที่ดินอาจจะถูกน้ าท่วมเข้าร่ วมเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านการสร้างเขื่อน การ “หา หมู่” ของคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มนี้ดาเนินไปด้วยการฉายภาพชะตากรรมของชาวบ้านที่ถูกเขื่อนสิ รินธรมา เยือนในฐานะ “หนังจอยักษ์ จอใหญ่ ” ซ้ าแล้วซ้ าเล่า ควบคู่ไปกับการอาศัยความรู้ของชาวบ้านในการ โต้แย้งเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของปริ มาณปลาในแม่น้ ามูนหลังการสร้างเขื่อน เพื่อชี้ ให้เห็นว่าเรื่ องเล่า เกี่ยวกับผลดีจากการสร้างเขื่อนเป็ นเพียงเรื่ องโกหกเท่านั้น การ “หาหมู่” ดาเนินไปพร้อม ๆ กับการเข้า ร่ วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นและองค์กรพัฒนาเอกชนในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่ งทาให้ ชาวบ้านได้มีประสบการณ์ในการเข้าร่ วมชุมนุมประท้วงในที่สาธารณะหลายครั้งหลายหน ชาวบ้านกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มนี้ ไม่ได้เลือกที่จะเริ่ มการเคลื่อนไหวคัดค้านการสร้างเขื่อน ปากมูลโดยอาศัยกลไกของระบบราชการในการร้องเรี ยน ด้วยการส่ งเรื่ องผ่านผูใ้ หญ่บา้ นและกานัน เพื่อให้ส่งเรื่ องต่อไปยังอาเภอและจังหวัดตามลาดับ เพราะในสายตาของชาวบ้านกลุ่มนี้แล้ว กานันและ ผูใ้ หญ่บา้ นในจังหวัดอุบลราชธานีในขณะนั้นล้วนสนับสนุนการสร้างเขื่อน และบางคนถึงกับเชื่อด้วย ซ้ าไปว่า กานันและผูใ้ หญ่บา้ นถูกจ้างให้พดู ถึงแต่เฉพาะผลดีของการสร้างเขื่อน เพราะในการชี้แจง 

เขื่อนสิ รินธร ถูกสร้ างโดยสํานักงานพลังงานไฟฟ้ าแห่ งชาติตามมติคณะรั ฐมนตรี เมื่อเดือนธันวาคม 2509 เพื่อกั้นลําโดมน้ อย บริ เวณ ใกล้ บ้านเหล่ าคําชมพู ตําบลคันไร่ อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี เริ่ มก่ อสร้ างเมื่อเดือนมิถนุ ายน 2510 และก่ อสร้ างแล้ ว เสร็ จประอบพิธีเปิ ดในเดือนพฤศจิกายน 2514 (สมัชชาคนจน. 2543 ค. : 30-31, การไฟฟ้ าฝ่ ายผลิตแห่ งประเทศไทย. 2532 : 21-24)

251


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

โครงการเขื่อนปากมูลทุกครั้ง กานันและผูใ้ หญ่บา้ นจะไม่กล่าวถึงผลเสี ยใด ๆ จากการสร้างเขื่อนเลย ยิง่ ไปกว่านั้นยังพยายามข่มขู่ไม่ให้ชาวบ้านคัดค้านการสร้างเขื่อนอีกด้วย โดยขู่วา่ ชาวบ้านที่คดั ค้านจะ ไม่ได้รับค่าชดเชยที่ดินที่ถูกน้ าท่วมและหากมีความเสี ยหายเกิดขึ้นอีก ก็จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจาก เจ้าหน้าที่เหมือนดังเช่นชาวบ้านที่ไม่ได้คดั ค้านการสร้างเขื่อน ส่ วนการร้องเรี ยนผ่านอาเภอนั้น ชาวบ้านก็ไม่ได้กระทาเช่นเดียวกัน เพราะถูกข่มขู่วา่ คนที่คดั ค้านจะถูกจับเพราะขัดขวางโครงการรัฐ ขัดขวางการพัฒนา และคนทั้งจังหวัดอุบลราชธานีต่างก็เห็นด้วยกับการสร้างเขื่อน อันที่จริ ง หากชาวบ้านเลือกที่จะร้องเรี ยนผ่านกานันและผูใ้ หญ่บา้ น เพื่อส่ งเรื่ องมายัง อาเภอ และส่ งต่อจากอาเภอมายังจังหวัดนั้น ข้อร้องเรี ยนก็คงไม่ถูกนามาพิจารณา ท่าทีที่ชดั เจนในการ สนับสนุนการสร้างเขื่อนปากมูลของผูว้ า่ ราชการจังหวัด รองผูว้ า่ ราชการจังหวัดและนายอาเภอใน ขณะนั้น เป็ นสิ่ งที่ยนื ยันได้เป็ นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากทัศนะที่คนเหล่านี้ให้สัมภาษณ์หนังสื อพิมพ์ท้ งั ในส่ วนกลางและในระดับท้องถิ่นเกี่ยวกับผลดีจากการสร้างเขื่อนปากมูลซึ่ งสอดคล้องกับประโยชน์ของ การสร้างเขื่อนปากมูลที่ระบุไว้ในเอกสารที่กฟผ. เผยแพร่ เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการฯ เมื่อกานันและผูใ้ หญ่บา้ นตลอดจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองได้กลายเป็ นกลไกที่สาคัญใน การสนับสนุนการสร้างเขื่อนปากมูล เช่ นเดี ยวกับสมาชิ กสภาผูแ้ ทนราษฎรในจังหวัดอุบลราชธานี ใน ขณะนั้น ซึ่ งบางคนถึงกลับแสดงบทบาทในฐานะเป็ นแกนนาของฝ่ ายสนับสนุ นด้วยซ้ าไป ความคิดที่ จะอาศัยกลไกที่เป็ นทางการในกระบวนการต่อรองเพื่อรักษามรดกชิ้นสุ ดท้ายที่พ่อแม่มอบให้ไว้ รวมทั้ง เพื่อปกป้ องสิ ทธิ ในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากแม่น้ ามูน จึงดูเป็ นสิ่ งที่เหลือเชื่ อเว้นเสี ยแต่ชาวบ้าน เหล่ านี้ จะมีหรื อพึ่งพาอานาจมหัศจรรย์เท่านั้น และชาวบ้านเองต่างก็ตระหนักในความจริ งข้อนี้ เป็ น อย่างดี การ “หาหมู่” เพื่อเคลื่อนไหวคัดค้านการสร้างเขื่อนปากมูล และการร่ วมชุ มนุ มประท้วงใน พื้นที่สาธารณะในเขตอาเภอโขงเจียมและพิบูลมังสาหารกับคนกลุ่มอื่น ๆ จึงเป็ นปฏิบตั ิการที่ชาวบ้าน เลือก วิถีที่ประชาชนในระดับรากหญ้าเหล่านี้ ใช้แสดงออกถึ งความปรารถนาและความต้องการของ ตนเอง ย่อมแสดงให้เห็ นว่า ทัศนะที่เชื่ อกันว่าการเมืองในระบอบประชาธิ ปไตยเสรี นิยมเป็ นเรื่ องที่ เกี่ ยวข้องกับปฏิ สัมพันธ์ระหว่างพลเมืองที่มีเสรี ภาพและมีความเท่าเทียมกันนั้น เป็ นเพียงเรื่ องขบขัน เท่านั้น เพราะในฐานะบุคคล / ครอบครัว ชาวบ้านเยี่ยงเขาย่อมไม่มีทางที่จะอาศัยกลไกที่มีอยู่เพื่อ ส่ งผ่านความปรารถนาและความต้องการของตนเองได้เว้นเสี ยแต่จะต้อง “หาหมู่” เสี ยก่อนเท่านั้น อันที่จริ ง แม้แต่การอาศัยกลไกที่เป็ นทางการผ่านปฏิบตั ิการรวมหมู่เพื่อปิ ดกั้นการอ้าง สิ ทธิ ของรัฐในการเข้ามาจัดการแม่น้ ามูนนั้น ก็เป็ นสิ่ งที่มิอาจกระทาได้เช่นเดียวกัน เพราะปั ญหาของ การเข้าไม่ถึงกลไกที่เป็ นทางการของประชาชนในระดับรากหญ้าเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาเรื่ องจานวนว่ามีมาก น้อยเพียงใด หรื อกล่าวอย่างถึงที่สุดก็คือว่า ไม่วา่ ชาวบ้านจะ “หาหมู่” เพิ่มมากขึ้นสักเพียงใด พวกเขา ก็ไม่มีทางที่จะใช้กลไกเหล่านี้ ในการปิ ดกั้นการอ้างสิ ทธิ ของรัฐที่กระทาด้วยการหักล้างหรื อเพิกถอน 252


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สิ ทธิ ของเขาได้ หากกลไกเหล่านี้ยงั คงเชื่อว่าการพัฒนามีเพียงแบบเดียว และเป็ นแบบที่รัฐกาลังหยิบยื่น ให้ชาวบ้านถึงประตูเรื อนเท่านั้น เพราะด้วยจุดยืนเกี่ยวกับการพัฒนาในความหมายดังกล่าว การบังคับ ให้รับการพัฒนา คงเป็ นวิธีการเดียวที่ตอ้ งเลือกเพื่อจัดการกับชาวบ้าน “ผู้ขัดขวางการพัฒนา” ด้วยนัยนี้ เมื่อชาวบ้านเลือกที่จะดารงวิถีชีวิตที่แตกต่างออกไปจากความหมายของการพัฒนาแบบที่รัฐกาลังหยิบ ยื่นให้ การสรรค์สร้ างอานาจผ่านการช่ วงชิ งหรื อให้ความหมายของสิ ทธิ ชุดใหม่ เพื่อปิ ดกั้นการขยาย อานาจรัฐในการจัดการแม่น้ ามูนตามความหมายของการพัฒนาแบบที่รัฐเป็ นผูก้ าหนดเพียงฝ่ ายเดียว จึง เป็ นปฏิบตั ิการที่คนเหล่านี้เลือกกระทา กระบวนการจัดความสั มพันธ์ กบั รัฐเพือ่ เปิ ดพืน้ ที่ทางการเมืองให้ ประชาชนในระดับรากหญ้า กระบวนการสรรสร้างอานาจของประชาชนในระดับรากหญ้า เกี่ยวข้องโดยตรงกับ กระบวนการนิยามความหมายว่าด้วยสิ ทธิ ชุดใหม่เพื่อตอบโต้ สั่นคลอน และล้มล้างความหมายของ สิ ทธิ ที่รัฐนิยามขึ้นมาในเชิงอานาจ เพราะการช่วงชิงการนิยามความหมายของสิ ทธิ น้ ี จะทาให้ ประชาชนในระดับรากหญ้ามีตวั ตนดังเช่นคนกลุ่มอื่นในสังคม อันจะนาไปสู่ การรื้ อถอนและจัดปรับ ความสัมพันธ์เชิงอานาจที่ไม่เท่าเทียมกับรัฐและคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม แต่กระบวนการนิยาม ความหมายของสิ ทธิ ชุดใหม่น้ ี ย่อมมิอาจกระทาได้ หากไม่ปฏิเสธความหมายของสิ ทธิ ที่รัฐสร้างขึ้นใน เชิงอานาจ ปฏิบตั ิการ “ทวงสิ ทธิ ของเจ้ าของ” กลับคืนมา เป็ นกระบวนการเรี ยกร้องหรื อสร้าง ความหมายให้กบั สิ ทธิ ชุดใหม่ เพื่อไม่ให้รัฐสามารถอ้างสิ ทธิ หรื อใช้อานาจในการจัดการแม่น้ ามูนได้แต่ เพียงฝ่ ายเดียวอีกต่อไป ด้วยการแสดงให้เห็นว่า การอ้างสิ ทธิ ของรัฐเป็ นการเพิกถอนหรื อหักล้างสิ ทธิที่ เคยมีอยูข่ องชาวบ้าน ยิง่ ไปกว่านั้น ยังไม่ได้สร้างหลักประกันเพื่อจัดการความเสี่ ยงอย่างเป็ นธรรม แต่ กลับผลักภาระให้ชาวบ้านเป็ นผูแ้ บกรับความเสี่ ยงหรื อผลกระทบทั้งหมดที่เกิดขึ้นโดยอาศัย ความสัมพันธ์เชิงอานาจที่เหนือกว่า จึงเป็ นการใช้อานาจรัฐอย่างไม่เป็ นธรรม เมื่อรัฐใช้อานาจอย่างไม่ เป็ นธรรม ประชาชนย่อมมีความชอบธรรมที่จะเพิกถอนการใช้อานาจดังกล่าวได้ ดังคากล่าวของแกน นาชาวบ้านคนหนึ่งที่วา่ “…ที่เขาเรี ยกว่ าขบถนี่ ถ้ าพูดตามความจริ ง ถ้ าจะสู้กับรั ฐที่ เป็ นอธรรม ก็ต้อง เป็ นขบถล่ ะครั บ…” การวิเคราะห์ปฏิบตั ิการ “ทวงสิ ทธิ ของเจ้ าของ” เผยให้เห็นว่า ชาวบ้านสร้างความชอบ ธรรมให้กบั การนิยามความหมายของสิ ทธิ ชุดใหม่โดยอาศัยแหล่งที่มาที่มีความหลากหลาย ทั้งอาศัย ความรู ้ที่สร้างจากแม่น้ ามูนเพื่อรองรับการอ้างสิ ทธิ ของตนว่าไม่ได้เป็ นการใช้สิทธิ โดยการทาลายความ อุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติและแม่น้ า นอกจากนั้นยังใช้ความรู ้ที่เป็ นวิทยาศาสตร์ เพื่อเผยให้เห็นว่า ความรู ้ที่รัฐนามาอ้างเพื่อรองรับการอ้างสิ ทธิ น้ นั แท้ที่จริ งแล้วเป็ นเพียงอานาจเท่านั้นเอง รวมทั้งยัง 253


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

นิยามความหมายของผลกระทบที่ได้รับในความหมายใหม่ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผลที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน เป็ นสิ่ งที่ไม่สามารถชดเชยได้ดว้ ยการจ่ายเงินทดแทนดังที่รัฐอ้าง เพราะการสร้างเขื่อนเป็ นการทาลาย ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติหรื อความเจริ ญในโลกของชาวบ้าน และการใช้จารี ตประเพณี ในการ สร้างความหมายใหม่ให้แม่น้ าเป็ นมรดกของบรรพบุรุษที่ชาวบ้านและคนรุ่ นต่อไปมีสิทธิ ที่จะเข้าถึง เพื่อทาให้เห็นว่ารัฐหมดความชอบธรรมที่จะอ้างสิ ทธิ โดยหักล้างสิ ทธิ ของเขาและลูกหลานต่อไป ความหมายของสิ ทธิ ที่ถูกสร้างขึ้นในภาคปฏิบตั ิการ “ทวงสิ ทธิ ของเจ้ าของ” กลับคืนมา นั้น ได้นาไปสู่ การจัดความสัมพันธ์เชิงอานาจระหว่างรัฐกับประชาชนในระดับรากหญ้าใหม่ เพราะ กระบวนการนิยามความหมายของสิ ทธิ ชุดใหม่น้ ี ได้เผยให้เห็นว่า บัดนี้ รัฐได้หมดความชอบธรรมโดย ปริ ยายที่จะอ้างสิ ทธิ เพื่อจัดการแม่น้ ามูนอีกต่อไปแล้ว เพราะมิได้ใช้สิทธิ ในแม่น้ าตามที่อา้ งอย่างคุม้ ค่า ยิง่ ไปกว่านั้นวิถีในการใช้สิทธิ ของรัฐยังทาลายความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติหรื อของแม่น้ าอีกด้วย ซึ่ งย่อมกีดกั้นสิ ทธิ ที่จะเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติของชาวบ้านไปโดยปริ ยาย จึงเป็ นการละเมิดสิ ทธิ ตาม ธรรมชาติที่จะใช้แรงงานของตนในการแสวงหาสิ่ งที่จาเป็ นในการหล่อเลี้ยงชีวติ และครอบครัวของ ชาวบ้าน ดังนั้น การเรี ยกร้องสิ ทธิ ในการร่ วมจัดการแม่น้ ามูน เพื่อให้มีการแบ่งปั นการใช้ประโยชน์ใน แม่น้ าบนวิถีแห่งความเสมอภาคและเป็ นธรรมจึงเป็ นปฏิบตั ิการที่ชอบธรรม การบังคับให้รัฐยุติการใช้อานาจเพียงฝ่ ายเดียวในการจัดการแม่น้ ามูน มีนยั ที่แสดงให้ เห็นว่า ชาวบ้านไม่ได้ยอมรับการจัดความสัมพันธ์เชิงอานาจในลักษณะที่เหนื อกว่าของรัฐอีกต่อไปแล้ว การไม่ยอมรับสถานะแห่งการเป็ นคนไร้อานาจในการเรี ยกร้องหรื อต่อรองกับรัฐ ปรากฏอย่างชัดเจนใน มุมมองที่ชาวแม่มูนมัน่ ยืนมีต่อตนเองว่า “…เราไม่ ได้ โง่ เหมือนรั ฐคิ ด เรามีปัญญา เรายืนอยู่บนขา ของตัวเอง ใช้ ภูมิปัญญาที่พ่อแม่ สั่งสอนเรามา …” การไม่ยอมรับสถานะของการเป็ นคนไร้อานาจหรื อ ต่าต้อย ถูกพูดถึงในฐานะที่ชาวบ้านเองเป็ น “ผู้สร้ างบ้ านแปลงเมือง” เมื่อชาวบ้านเป็ นผูส้ ร้างครอบครัว และชุมชนด้วยการพึ่งพาตนเองมาโดยตลอด ความสัมพันธ์กบั รัฐจึงไม่ได้เป็ นความสัมพันธ์ในลักษณะ พึ่งพาหรื อเคยอยูภ่ ายใต้การสงเคราะห์ของรัฐดังที่รัฐและสังคมคิด ดังคายืนยันของชาวบ้านว่าไม่เคย พึ่งพารัฐเลย “...พึ่งตนเองเด้ เฮาอยากหยังเฮาก็ไปหากิน เอ้ ออ้ ายน้ องเฮา แม่ ใหญ่ เอ๊ ยเฮาบ่ มีกม็ าขอกิน เฮาพึ่งชุมชนเดียวกัน อาศัยกัน เฮาบ่ ได้ พึ่งไผ เฮาบ่ ได้ พึ่งข้ าราชการ เฮาพึ่ งด้ วยตนเองเฮา…” ด้วย สถานะใหม่ภายในระบบความสัมพันธ์ที่ชาวแม่มูนมัน่ ยืนพยายามที่จะสถาปนาขึ้นนี้ รัฐจึงไม่มีสิทธิ ที่ จะอ้างสิ ทธิ โดยละเมิดหรื อหักล้างสิ ทธิ ของเขาได้อีกต่อไป แต่เมื่อรัฐละเมิดสิ ทธิ รัฐจึงต้องยอมรับ ความผิดพลาดและชดเชยความเสี ยหายที่เกิดขึ้นให้กบั ชาวบ้าน เพราะสิ่ งนี้คือความเป็ นธรรมในสายตา ของชาวบ้าน แต่เมื่อรัฐไม่ยอมรับผิดชอบชดเชยความเสี ยหายที่เกิดขึ้น ยังคง “ดือ้ รั้ น” และไม่ยอม เจรจากับชาวบ้านว่าจะรับผิดชอบความเสี ยหายที่เกิดขึ้นหรื อไม่ อย่างไร ชาวบ้านในฐานะผูถ้ ูกละเมิด สิ ทธิ จึงมีความชอบธรรมที่จะบังคับให้รัฐในฐานะผูล้ ะเมิดสิ ทธิ มาเจรจาตกลงกัน เพราะชาวบ้านก็ มองว่าตนเองก็ “รู้ ภาษามนุษย์ ” เหมือนคนรวย ๆ ในสายตาของชาวบ้าน การปี นทาเนียบเพื่อเข้าไปยึด 254


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ที่ทางาน การปิ ดถนน การอดอาหารเป็ นสารพัดวิธีที่นามาใช้เพียงเพื่อบังคับให้คนที่ “ดือ้ รั้ น” ยอม เจรจาเพื่อรับผิดชอบความเสี ยหายในการละเมิดสิ ทธิ อย่างเป็ นธรรมเท่านั้น สถานะที่อยูใ่ นระนาบเดียวกับรัฐและคนอื่น ๆ ในสังคมนี้ ปรากฏอย่างชัดเจนจากการ ที่ชาวบ้านไม่ยอมเป็ นฝ่ ายที่ถูกกระทาหรื อถูกบังคับให้ยอมรับชะตากรรมที่ตนเองไม่ได้มีส่วนในการ กาหนดอีกต่อไป ด้วยการลุกขึ้นมานิยามความหมายของการพัฒนาหรื อความเจริ ญใหม่วา่ สาหรับ ชาวบ้านแล้ว การพัฒนาหรื อความเจริ ญก็คือ ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และวิถีชีวติ ที่ผกู พันกับ ธรรมชาตินนั่ เอง ดังที่ชาวแม่มูนมัน่ ยืนนามาประกาศไว้หน้าปกม้วนวิดีโอเทปชุดเมื่อคนหาปลาเป็ น ขบถ ว่า “ เราเสี ยวัฒนธรรม เสี ยความอุดมสมบูรณ์ แล้ วยังมาหาว่ าเราเป็ นขบถ มาหาว่ าเราไม่ ชอบ ความดี ไม่ ชอบความเจริญ อยากถามว่ าความเจริ ญมันอยู่ตรงไหน สาหรั บชาวบ้ านแล้ ว ให้ คาตอบได้ ว่ า ความเจริ ญคือแม่ น้าของเขา ความเจริ ญคือสายธารชี วิตของเขา แม่ น้ามูนคือสายวัฒนธรรมของเขา แม่ น้ามูนคือสายเลือดของเขา นี่คือความเจริ ญของชาวบ้ าน…” เมื่อความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติคือความเจริ ญหรื อความหมายของการพัฒนาใน โลกของชาวบ้าน ชาวบ้านซึ่ งบัดนี้ได้จดั ความสัมพันธ์แบบเท่าเทียมกับรัฐแล้ว จึงไม่ยอมให้รัฐอ้างสิ ทธิ ในการจัดการทรัพยากรในนามของการพัฒนาแบบที่รัฐกาหนดแต่เพียงฝ่ ายเดียวอีกต่อไป หรื อกล่าวใน เชิงรู ปธรรม หากรัฐต้องการสร้างเขื่อน รัฐต้องถามชาวบ้านในฐานะ “เจ้ าของเฮื อน” ก่อนว่าเห็นด้วย หรื อไม่ ไม่ใช่เพียงปฏิบตั ิดงั เช่นที่ผา่ นมาว่า “เจ้ าหนีเด้ อ ข้ อยสิ เอาเขื่อนมาลง” เพราะการกระทา ดังกล่าวย่อมเป็ นการละเมิดสิ ทธิ ตามธรรมชาติ และยังเป็ นการข่มเหงชาวบ้าน รวมทั้งเป็ นการละเมิด “ฮี ตนองคองธรรม” ของชุมชนอีกด้วย แม้ชาวบ้านจะพยายามจัดความสัมพันธ์เชิงอานาจกับรัฐใหม่ แต่รัฐก็มิได้ยอมรับการจัด ความสัมพันธ์เชิงอานาจชุ ดใหม่น้ ี เพราะยังแสดงท่าที่จะใช้อานาจในลักษณะที่เหนื อกว่า พร้อม ๆ ไป กับการทาให้ชาวบ้านต้องสู ญเสี ยอานาจเพื่อบังคับให้ยอมรับกฎเกณฑ์ที่รัฐเป็ นผูก้ าหนด ดังนั้น ใน สายตาของชาวบ้าน การสู ้ต่อไปเรื่ อย ๆ เพื่อให้พน้ สภาพที่ชาวบ้านเรี ยกว่า “ลูกไก่ ในกํามือ” จึงเป็ น ปฏิบตั ิการที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะบัดนี้พวกเขาได้ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้ นแล้ว “…ความ อัดอั้นตันใจเฮ็ดบ่ ให้ เฮาย่าน (กลัว) แม่ เทราย่ านแล้ ว เกิดมาก็ตาย มันอยากฆ่ าก็ให้ มันฆ่ า แม่ ส้ ู ไปเรื่ อย ๆ คนเดียวแม่ กส็ ้ ู แต่ ว่าบ่ มีคนเดียวหรอกมีทวั่ ประเทศ สมัชชาคนจนมีทวั่ ประเทศ แม่ กบ็ ่ ย่าน คั่นแม่ คน เดียวก็ไปร่ วมหมู่กบั พวกทัง่ ประเทศ แม่ ตัดสิ นใจแล้ วจังได้ ลงเฮือน…” กระบวนการจัดความสัมพันธ์เชิงอานาจชุ ดใหม่ระหว่างรัฐกับประชาชนในระดับราก หญ้าผ่านการนิยามความหมายของสิ ทธิ น้ ี ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะปะทะ ตอบโต้ และต่อสู ้กบั อานาจรัฐ ที่มีโครงข่ายโยงใยอยูใ่ นสังคมผ่านความสัมพันธ์เชิงอานาจในหลายรู ปแบบได้ ดังนั้น กระบวนการ ดังกล่าวจึงดาเนิ นไปด้วยการสร้างพลังขับเคลื่อนทางการเมืองเพื่อช่วงชิงการนิยามความหมายของสิ ทธิ ที่ 255


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สร้างขึ้น การสร้างพลังขับเคลื่อนทางการเมืองจึงเป็ นปฏิบตั ิการอันเป็ นองค์ประการที่สาคัญของการ สร้างการเมืองของประชาชนในระดับรากหญ้า การวิเคราะห์ในส่ วนต่อไปนี้ จึงเป็ นความพยายามที่จะ เผยให้เห็นว่า ประชาชนในระดับรากหญ้าสร้างพลังขับเคลื่อนทางการเมืองของตนขึ้นมาได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยหวาดกลัวจนกระทัง่ ต้องนิยามการกระทาที่พวกเขามองว่าละเมิด “ฮี ตนองคองธรรม” ว่าเป็ นเรื่ องของเจ้านาย กลับลุกขึ้นมาสู ้และมองว่าตนเองก็มีสิทธิ ที่กาหนดชะตากรรมของตนเอง เช่นเดียวกับคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม การสร้ างพลังขับเคลือ่ นทางการเมืองของประชาชนในระดับรากหญ้า การวิเคราะห์กระบวนการสร้างพลังขับเคลื่อนทางการเมืองของประชาชนในระดับราก หญ้าชี้ให้เห็นว่า เรามิอาจคิดหรื อจินตนาการถึงขบวนการเคลื่อนไหวเรี ยกร้องในลักษณะที่เป็ นสากล โดยตัดขาดจากบริ บททางสังคมของกลุ่มคนซึ่ งลุกขึ้นมาสรรค์สร้างอานาจได้อีกต่อไป เพราะการสร้าง พลังขับเคลื่อนทางการเมืองเกิดและพัฒนาขึ้นในระบบของความรู ้และระบบความสัมพันธ์ที่ดารงอยูใ่ น ชุมชนของกลุ่มคนเหล่านี้ แต่เนื่ องจากกระบวนการสร้างพลังขับเคลื่อนทางการเมืองดาเนิ นไปเพื่อ สถาปนาความหมายของสิ ทธิ ชุดใหม่ที่จดั ปรับความสัมพันธ์เชิงอานาจระหว่างรัฐกับประชาชนในระดับ รากหญ้า ทาให้พ้ืนที่แห่งการต่อสู ้เพื่อจัดระเบียบความสัมพันธ์เชิงอานาจชุดใหม่ เป็ นพื้นที่ที่อยูใ่ น ขอบเขตของความสัมพันธ์เชิงอานาจและการครอบงา ความพยายามที่จะสถาปนาความสัมพันธ์เชิง อานาจชุ ดใหม่จึงดาเนินไปท่ามกลางแรงปะทะและตอบโต้อย่างหนักหน่วง ด้วยนัยนี้ การสร้างและ รักษาพลังขับเคลื่อนทางการเมืองจึงดาเนินไปท่ามกลางการปรับเปลี่ยนยุทธวิธีท้ งั เพื่อตั้งรับและรุ กอยู่ ตลอดเวลา การกาหนดเป้ าหมายของการดาเนินกิจกรรมในระดับที่สามารถบรรลุได้ เพื่อสะสมชัยชนะ จากการดาเนินกิจกรรมเป็ นช่วง ๆ อันนาไปสู่ การพัฒนาสานึกและตอกย้าถึงพลังแห่งการรวมตัวกัน และปฏิบตั ิการ “รั กษาสิ ทธิ เจ้ าของ” เป็ นยุทธวิธีที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการรักษาสมาชิกที่เข้าร่ วม เคลื่อนไหว ซึ่ งเป็ นการพัฒนาคุณภาพสมาชิกโดยกระบวนการเรี ยนรู ้ที่เกิดขึ้นจากการเข้าร่ วมเคลื่อนไหว ไปพร้อมเดียวกัน นอกจากนั้นปฏิบตั ิการสันติวธิ ี และการจัดความสัมพันธ์กบั พันธมิตร โดยเฉพาะกลุ่ม ชาวบ้านที่ประสบความเดือดร้อนในกรณี ปัญหาอื่น ๆ และองค์กรพัฒนาเอกชนและนักศึกษารวมทั้ง เครื อข่ายของกลุ่มคนเหล่านี้ในลักษณะของความสัมพันธ์ในเชิงพึ่งพาและผูกพัน ก็เป็ นยุทธวิธีที่ถูกสร้าง ขึ้นเพื่อสร้างพลังขับเคลื่อนทางการเมือง เมื่อขบวนการเคลื่อนไหวพัฒนาข้อเรี ยกร้องจากการทวงสิ ทธิ ค่าชดเชย มาเป็ นการเรี ยกร้องเพื่อทวงคืนวิถีชีวติ และสายน้ า และปฏิเสธการใช้อานาจที่ไม่เป็ นธรรมด้วย การประกาศตั้งหมู่บา้ นแม่มูนมัน่ ยืนในที่ดินที่กฟผ.อ้างสิ ทธิ ทาให้สิ่งที่คุกคามการเคลื่อนไหวอย่างหนัก หน่วงไม่ได้เป็ นเพียงการปะทะและขัดขวางจากรัฐดังเช่นการเคลื่อนไหวเพื่อเรี ยกร้องค่าชดเชยในช่วงที่ ผ่านมาเท่านั้น แต่รวมถึงโจทย์ที่สาคัญว่า ด้วยยุทธวิธีอย่างไรที่จะทาให้สมาชิกที่เข้าร่ วมการ เคลื่อนไหวอยูใ่ นขบวนได้ยาวนานในขณะที่สามารถ “หาอยู่หากิน” และสะสมเสบียงเพื่อเข้าร่ วม 256


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เคลื่อนไหวได้อย่างไม่มีกาหนด และสมาชิกสามารถเผชิ ญหน้ากับการใช้ความรุ นแรงโดยสันติวธิ ี ความ แตกต่างในเชิงคุณภาพของปฏิบตั ิการ “รั กษาสิ ทธิ เจ้ าของ” และสันติวธิ ี ย่อมแสดงให้เห็นถึงความ พยายาม ในการจัดการกับโจทย์และสิ่ งที่คุกคามการสร้างพลังขับเคลื่อนทางการเมือง เปิ ดโปงการการเมืองในระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม ระดับรากหญ้า

และสร้ างพืน้ ทีท่ างการเมืองของประชาชนใน

การศึกษาการสถาปนาอานาจของประชาชนในระดับรากหญ้าเผยให้เห็นว่า คนกลุ่มนี้ ไม่เคยมีตวั แทนในระบบรัฐสภา ไม่วา่ จะไปร่ วมประกอบพิธีกรรมในการเลือกตั้งหรื อไม่ก็ตาม เพราะ ในสายตาของตัวแทนหรื อคนที่เข้าสู่ อานาจผ่านการเลือกตั้ง วิถีชีวติ แบบที่ชาวบ้านเลือกเป็ นวิถีชีวติ ที่ ขัดขืน / ขัดขวางสิ่ งที่เรี ยกกันว่า “การพัฒนา” หรื อกล่าวอย่างถึงที่สุดก็คือ สิ ทธิ ที่จะกาหนดชะตากรรม ของคนเล็กคนน้อยเหล่านี้ ได้ถูกเพิกถอนอย่างแยบยลและชอบธรรมด้วยการอ้างสิ ทธิอานาจของความ เป็ นตัวแทน เมื่อคนบางกลุ่มไม่เคยมีตวั แทนในระบบรัฐสภา การอาศัยจินตนาการของความเป็ น ตัวแทนในการสร้างความชอบธรรมให้กบั กระบวนการนิ ติบญั ญัติ และการยึดกฎหมายในฐานะสิ่ ง เดียวกับ “ความถูกต้ อง” ย่อมเป็ นการกระทาความรุ นแรงต่อความยุติธรรม เพราะทาให้ความยุติธรรมมี ความหมายเพียงเท่าที่กาหนดไว้ในกฎหมาย การสถาปนาอานาจของประชาชนในระดับรากหญ้าเพื่อ เรี ยกร้องสิ ทธิ ที่สร้างขึ้นจากกฎเกณฑ์ที่ดารงอยูใ่ นชุมชน ซึ่ งอยูน่ อกจินตนาการของกฎหมายที่ถูกนาเข้า มาจากสังคมตะวันตกโดยตัดขาดจากจารี ตของท้องถิ่นที่ปฏิบตั ิสืบต่อกันมาในสังคมไทย จึงไม่เพียงเป็ น การตั้งคาถามกับความยุติธรรมของกฎหมายเท่านั้น แต่ยงั เป็ นการตั้งคาถามกับการผูกขาดการสร้าง กฎเกณฑ์ของสังคมโดยอาศัยกระบวนการนิ ติบญั ญัติ เพราะหากตัวแทนไม่สามารถสะท้อนความ หลากหลายของคนกลุ่มต่าง ๆ ได้ สังคมก็ควรมีแหล่งของการสร้างกฎเกณฑ์มากกว่ากระบวนการนิติ บัญญัติ การมองการเมืองของประชาชนในระดับรากหญ้าจากโลกของคนเหล่านี้ จะทาให้เรามี ความอดกลั้นที่จะหลีกเลี่ยงการใช้ความรุ นแรงในการจัดการกับปฏิบตั ิการของพวกเขา ยิง่ ไปกว่านั้นจะ ทาให้เราเห็นสิ่ งที่การเมืองของประชาชนในระดับรากหญ้าพยายามเปิ ดโปงให้เห็น ซึ่งจะเป็ นฐานให้เรา เห็นถึงความสาคัญในการขบคิดเพื่อแสวงหาทางเลือกในการพัฒนา และการสร้างระบอบประชาธิปไตย แบบที่เปิ ดพื้นที่ให้คนทุกกลุ่มในสังคม สามารถเข้ามากระทาการทางการเมืองในฐานะของมนุษย์ที่มี ศักดิ์ศรี อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน แทนที่จะเขี่ยคนบางกลุ่มให้อยูท่ ี่ริมขอบของอานาจและบังคับให้ ยอมรับชะตากรรมที่ตนเองไม่มีส่วนในการกาหนด ซึ่ งจะทาให้การเมืองของประชาชนในระดับราก หญ้าไม่ถูกจากัดให้มีพ้นื ที่อยูเ่ พียงบนท้องถนนอีกต่อไป 257


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เรื่องที่ 10 สาขาเศรษฐศาสตร์ บทคัดย่อ รายงานการวิจัย เรื่อง โครงการพัฒนาประสิ ทธิภาพการบริหารการเงินการคลังท้องถิ่น * (Development Project for Final Capablity and Finacial Management of Local Authoritie) โดย รศ.ดร.ดิเรก ปั ทมสิ ริวฒ ั น์ และคณะ ** ความสาคัญและทีม่ าของการวิจัย โครงการพัฒนาประสิ ทธิ ภาพการบริ หารการเงินคลังท้องถิ่น” ได้รับการสนับสนุนโดย คณะงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่ งชาติ (สศช) เป็ นความพยายามส่ วนหนึ่ งในการ แปลงแผนพัฒนาของประเทศ ที่ ตอ้ งการสนับสนุ นมาตรการการกระจายความเจริ ญไปสู่ ภูมิภาคและ ท้องถิ่ น ควบคู่กบั การพัฒนาขีดความสามารถการจัดการขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่ น โดย สศช. ได้ม อบหมายให้ ส ถาบัน วิ จ ัย และให้ ค าปรึ ก ษาแห่ ง มหาวิ ท ยาลัย ธรรมศาสตร์ ด าเนิ น การภายใต้ คณะกรรมการกากับโครงการ ที่มีตวั แทนส่ วนราชการต่าง ๆ และ สศช. เป็ นประธาน การวิจยั ครั้งนี้ ประกอบด้วยหลายส่ วน มีนกั วิชาการจากหลายสถาบันเข้าร่ วม หลักการและเหตุผล รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ พรบ. กาหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอานาจ พ.ศ. 2542 กาหนดกรอบการกระจายอานาจ และถ่ายโอนภารกิ จจากราชการส่ วนกลาง ให้องค์กรปกครอง ส่ ว นท้อ งเพื่ อ ให้ ก ารบริ ก ารภาครั ฐ โดยรวมมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ และสอดคล้อ งกับ ความต้อ งการของ ประชาชนในท้องถิ่นยิง่ ขึ้น เนื่องจากองค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่นส่ วนใหญ่ (อบต.) เป็ นหน่วยงานที่เกิด ใหม่ มี ข ้อ จ ากัด หลายประการทั้ง บุ ค คลากร ประสบการณ์ ความรู ้ ค วามเข้า ใจ และฐานข้อ มู ล โครงการวิจยั ครั้งนี้ตอ้ งการส่ งเสริ มขีดความสามารถการบริ หารการเงินการคลังขององค์กรปกครองส่ วน ท้องถิ่น สนับสนุ นให้ประชาชนและสื่ อมวลชนมีส่วนร่ วมในการบริ หารและตรวจสอบการทางานของ ฝ่ ายบริ หารท้องถิ่น งานที่ พฒั นาขึ้ นใหม่ในโครงการนี้ ประกอบด้วย ก) พัฒนาฐานข้อมูลขององค์กร ปกครองส่ วนท้องถิ่น เพื่อให้เป็ นศูนย์กลางสามารถจะสื บค้นได้ผา่ นระบบอินเตอร์ เน็ตเพื่ออานวยความ * งานวิจัยนี้ ผู้วจิ ัยได้ รับรางวัลงานวิจัย ประจาปี 2545 รางวัลชมเชย สาขาเศรษฐศาสตร์ จากสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ** คณะมนุษยศาสตร์ และสสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร อ.เมือง จ.พิษณุโลก 65000 โทรศัพท์ 0-5526-1000-4 ต่ อ 2035 หรื อ 2020 โทรสาร 0-5526-1035 โทรศัพท์ เคลื่อนที่ 0-1875-2429

258


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สะดวกให้กบั ประชาชน นิ สิตนักศึกษาและสื่ อมวลชน ข) พัฒนาเครื่ องชี้ วดั ประสิ ทธิ ภาพการบริ หาร การเงินการคลังในด้านต่าง ๆ อาทิเช่น การบริ หารรายได้ บริ หารรายจ่าย การให้บริ การสาธารณะ ฯลฯ ค) การจัดทาคู่มือการทางานสาหรับพนักงานท้องถิ่น ในหัวเรื่ องที่มีความสาคัญต่อการบริ หารจัดการ ได้แก่ ข้อเสนอระบบงบประมาณและการบัญชี แบบใหม่ (accrual basis) ง) คู่มือการพัฒนารายได้ของ ท้องถิ่น จ) การสร้างมาตรฐานของคุณภาพการบริ การของท้องถิ่น (standard of local public services) เพื่อเป็ นเครื่ องมือวัดเชิงคุณภาพของท้องถิ่นในงานด้านต่าง ๆ ฉ) การศึกษาวิจยั เฉพาะเรื่ องซึ่ งเป็ นความ ต้องการเฉพาะของหน่วยราชการ (ในบริ บทนี้ คือ การประเมินมูลค่าฐานภาษีทรัพย์สินภายใต้กฎหมาย ที่ดินและสิ่ งปลูกสร้าง ตามความต้องการของกระทรวงการคลัง) แหล่ งเงินทุนสนับสนุนในการทาวิจัย โครงการนี้ ได้รับการสนับสนุ นทางการเงิ นจากสานักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่ งชาติ โดยใช้งบประมาณกระตุน้ เศรษฐกิจ (งบมิยาซาวา) จานวนเงินทั้งสิ้ น 50 ล้านบาท วัตถุประสงค์ ของการทาวิจัย 1. เพื่อพัฒนาความรู ้เกี่ยวกับการบริ หารขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่นในด้านต่าง ๆ ได้แก่ คู่มือ การพัฒนารายได้ ข้อเสนอระบบงบประมาณและบัญชี ทอ้ งถิ่นแบบใหม่ที่สอดคล้องกับหลัก result-based budgeting 2. เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลของท้องถิ่ น ซึ่ งมีจานวนหลายพันหน่ วย ให้สะดวกต่อการ ค้นหา และใช้เทคโนโลยีทนั สมัย คือ อินเตอร์ เน็ต ที่ผใู้ ช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ตลอดเวลา รวมทั้งการ download ข้อมูลเพื่อนาไปวิเคราะห์ต่อ 3. พัฒ นาเครื่ อ งชี้ วัด การท างาน และสะท้อ นประสิ ท ธิ ภ าพเชิ ง เปรี ย บเที ย บข้า ม หน่วยงาน 4. ส่ งเสริ มให้ประชาชนในท้องถิ่ นมีขอ้ มูลสาหรั บติ ดตามและตรวจสอบการทางาน ขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น ระยะเวลาการทาวิจัย เดือนสิ งหาคม พ.ศ. 2542 ถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2544 (1 ปี 7 เดือน) 259


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สรุ ปผลการวิจัย การทางานแบ่งออกเป็ นสองทีม ส่ วนแรก เรี ยกว่า การพัฒนาฐานข้อมูลและเครื่ องชี้ วดั การทางานและประสิ ทธิ ภาพขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น ส่ วนที่สอง เรี ยกว่าการวิจยั เชิ งนโยบาย เพื่อสนับสนุ นมาตรการกระจายอานาจสู่ ทอ้ งถิ่น และการส่ งเสริ มประสิ ทธิ ภาพของหน่วยงานท้องถิ่ น เอกสารรายงานการวิจยั เมื่อเสร็ จสิ้ นโครงการประกอบด้วย 8 เล่ม ดังนี้ 1. ระบบข้อมูลการเงินการคลังท้องถิ่น 2. เครื่ องชี้วดั ประสิ ทธิ ภาพการทางานขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น 3. คู่มือการเข้าสู่ ระบบฐานข้อมูลองค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น 4. ระบบงบประมาณและระบบบัญชีขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น 5. คู่มือการพัฒนารายได้ขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น 6. ระบบเงินโอนและเงินอุดหนุนสู่ องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น 7. การพัฒนาคุณภาพบริ การสาธารณะขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น 8. การประเมินมูลค่าฐานภาษีทรัพย์สินขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่นไทย ภายใต้ กฎหมายที่ดินและสิ่ งปลูกสร้างใหม่ ส่ วนแรก เกี่ยวกับการพัฒนาฐานข้อมูลและศูนย์ขอ้ มูลของหน่วยงานท้องถิ่น และการ สร้างเครื่ องมือชี้ วดั การทางาน (performance indicators) การจัดทาคู่มือวิธีการนาข้อมูลเข้าสู่ ผา่ นระบบ อินเตอร์ เน็ ตซึ่ งจะช่ วยให้มีการประมวลผลรวดเร็ วทันเหตุการณ์ และประหยัด1 การออกแบบระบบ ข้อมูลครั้งนี้ มีลกั ษณะที่แตกต่างจากการจัดทาข้อมูลในอดีตกล่าวคือ ก) การเสนอวิธีการใหม่ในการเข้า ข้อมูลตรงจากหน่วยงานท้องถิ่นถึงศูนย์ขอ้ มูล ผ่านระบบอินเตอร์ เน็ต (VPN) เพื่อความรวดเร็ วและการ ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ข) ฐานข้อมูลที่จดั ทาครั้งนี้ ได้ปรับปรุ งรู ปแบบใหม่ มีขอ้ มูลหลายด้าน หลายมิติเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงานส่ วนกลาง (เอกสารหมายเลข 1 ) และถูกหลัก วิชาการ2 ได้แก่ ระเบียบบันทึกบัญชี ทะเบียนและรายงานการเงินของท้องถิ่น พ.ศ. 2543 ซึ่ งเป็ นระบบ บัญชีแบบ accrue และจัดทารหัสข้อมูลเพื่อให้สามารถแปลงข้อมูลที่มีอยู่ ให้สอดคล้องกับระบบข้อมูล GFS3 ตามความต้องการของกระทรวงการคลัง และเตรี ยมการสาหรับการรายงานในอนาคตเป็ นข้อมูล รายไตรมาส 4 ค) ข้อมู ลที่ ออกแบบจัดเก็ บใหม่ มี ป ระเภทข้อมูล เพิ่ม ขึ้ นจากเดิ มค่ อนข้า งมาก ตัวอย่างเช่น การสะท้อนการบริ การ (Service provision ) ของท้องถิ่น และต้นทุนต่อหน่วย ( unit cost) การวัดสภาพความเป็ นเมือง/ ชนบทของหน่ วยงาน และอื่น ๆ เพื่อให้มีขอ้ มูลพอเพียงสาหรับประเมิน ประสิ ทธิ ภาพการทางาน และการนาไปจัดทาเครื่ องชี้ วดั การทางาน เอกสารคู่มือ (เอกสารหมายเลข 3) ซึ่ งแจกจ่ายให้แก่องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่นบอกถึงวิธีการนาเข้าข้อมูล

260


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

การแสดงผลข้อมู ล ต่ อสาธารณะ จากโครงการวิจยั นี้ ท าให้เกิ ดศู นย์ข ้อมู ล การคลัง ท้องถิ่ น เพื่อทาหน้าที่ รายงานข้อมูลผ่านเว็บไซด์ ชื่ อ www. local-gov.org เพื่อให้เกิ ดความสะดวก สาหรับผูใ้ ช้และประชาชน ผูใ้ ช้สามารถจะเรี ยกดูขอ้ มูลรายหน่ วย หรื อ download ข้อมูลปริ มาณมาก (ข้อ มู ล ของหลายหน่ ว ยงานท้อ งถิ่ น เพื่ อ น าไปวิ เ คราะห์ เ ปรี ย บเที ย บ) ตามความต้อ งการทุ ก เมื่ อ โครงการวิจยั ครั้งนี้ ได้พฒั นาเครื่ องชี้ วดั ฯ และจัดทาเครื่ องชี้ วดั เปรี ยบเทียบข้ามหน่ วยงานเป็ นสเกล (4 ลาดับคือ ดีมาก ดี พอใช้ และควรจะปรับปรุ ง) เครื่ องชี้ วดั การทางาน (คาอธิ บายละเอียดในเอกสารหมายเลข 2) คานึงถึงหน้าที่ของ หน่วยงานท้องถิ่นแต่ละประเภท ได้แก่ องค์การบริ หารส่ วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริ หารส่ วน ตาบล เครื่ องชี้ วดั การทางานฯ จาแนกออกเป็ นสี่ กลุ่ม กล่าวคือ 1. การบริ การสาธารณะของหน่ วยงาน ท้องถิ่น 2. การจัดเก็บรายได้ 3. การรักษาวินยั ทางการคลัง และ 4. ตัวชี้ วดั ประสิ ทธิ ภาพและต้นทุน ต่อหน่วยการจัดลาดับคะแนนอาศัยหลักเปรี ยบเทียบกับ benchmark การเปรี ยบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่ม Zscore หรื อ percentile การเปรี ยบเทียบของท้องถิ่นนั้น ๆ กับค่าเฉลี่ยของกลุ่ม โครงการวิจยั ฯ มีขอ้ เสนอ ให้ใช้เครื่ องชี้ วดั นี้ เป็ นส่ วนหนึ่ งของการจัดสรรเงินอุดหนุ นทัว่ ไป (general grant) เพื่อสร้างแรงจูงใจ ให้องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่ น ทางานอย่างมีประสิ ทธิ ภาพตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และนโยบายของรัฐบาล ส่ วนทีส่ อง โครงการวิจยั ฯ จัดทาต้นแบบของระบบงบประมาณและบัญชี รูปแบบใหม่ (เอกสารหมายเลข 4) ซึ่ งสอดคล้องกับแนวคิ ดการจัดทางบประมาณที่ หวังผลลัพธ์ (result based budgeting) และการบันทึกบัญชีตามสภาพที่เกิดจริ ง accrual accounting แทนการบันทึกตามหลักเงินสด (cash based accounting) และจัดประชุมเชิงปฏิบตั ิการในหลายพื้นที่เพื่ออธิ บายแนวคิดและวิธีการให้แก่ หน่วยงานท้องถิ่น คู่มือการพัฒนารายได้ขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่ น (เอกสารหมายเลข 5) เป็ น เอกสารที่ใช้ประกอบการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบตั ิการ เพื่อสนับสนุนการทางานของเจ้าหน้าที่ของ

1

คู่มือได้แจกจ่ายให้องค์กรปกครองท้องถิ่นจานวน 10000 ฉบับ กองบัญชีประชาชาติ ต้องการข้อมูลท้องถิ่นเพื่อเป็ นส่ วนหนึ่ งการทา SNA (System of National Account) และกระทรวงการคลัง ต้องการ ประมวลผลข้อมูลภาครัฐตามระบบ GFS (Government Finance Statistics) 3 ระบบ Government Finance Statistics จัดทาโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เพื่อให้ขอ้ มูลรายจ่ายภาครัฐสามารถเปรี ยบเทียบข้าม ประเทศได้ กาหนดนิ ยามศัพท์ที่สอดคล้องกัน ระบบจาแนกที่สอดคล้องกัน 4 รายรับรายจ่ายขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่ น เป็ นส่ วนหนึ่ งของภาครัฐ กองบัญชี ประชาชาติปัจจุบนั ได้จดั ทาข้อมูลรายได้ประชาชาติ เป็ นรายไตรมาส แต่รายงานข้อมูลของหน่ วยงานท้องถิ่ นในสภาพปั จจุบนั ยังทาเป็ นรายปี การมีขอ้ มูลรายไตรมาสจะช่ วยให้ติดตามการใช้ จ่าย (disbursement) ของภาครัฐซึ่ งมีความสาคัญสาหรับการบริ หารเศรษฐกิจมหภาค 2

261


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ท้องถิ่ นให้มี ประสิ ท ธิ ภาพ การเพิ่ มรายได้ของท้องถิ่ นนับ ว่ามี ค วามส าคัญต่ อท้องถิ่ นพร้ อมกับชี้ ถึ ง ศักยภาพการเพิ่ มรายได้ จากแหล่ งต่ าง ๆ โดยเฉพาะอย่า งยิ่งจากภาษี ที่ ดินและโรงเรื อน ภาษี บ ารุ ง ท้องถิ่น ภาษีป้าย และค่าธรรมเนียมจากบริ หารของท้องถิ่น ระบบเงินโอนและเงินอุด หนุ นจากรัฐบาลให้แก่องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่ น นับว่ามี ความสาคัญอย่างยิ่งต่อการทางานของหน่วยงานท้องถิ่น ปริ มาณเงินที่จดั สรรควรจะมีขนาดเหมาะสม พอเพียง และคานึงถึงความเป็ นธรรมทั้งตามแนวตั้ง (ระหว่างส่ วนกลาง-ส่ วนท้องถิ่นลาดับต่าง ๆ ) และ ความเป็ นธรรมตามแนวนอน (การเปรี ยบเทียบระหว่างแต่ละหน่วยงานท้องถิ่น) รายงานวิจยั หมายเลข 6 ทบทวนแนวคิดและหลักวิชาการ เพื่อจะปิ ดช่องว่างทางการคลังของ องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่ น และ ข้อเสนอการจัด sectoral block grant มาตรฐานของคุ ณภาพบริ การสาธารณะขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่ น (ดูเอกสาร หมายเลข 7 ประกอบ) เกี่ยวกับแนวคิดการสร้างระบบมาตรฐานบริ การสาธารณะเพื่อเป็ นแนวทางการ ทางานของท้องถิ่ น (คล้ายคลึ งกับแนวคิดการประกันคุ ณภาพของบริ การ) จาแนกออกเป็ นด้านต่าง ๆ อาทิ เช่ น การวางยุทธศาสตร์ การวางแผนพัฒนาเมืองและผังเมื อง การบารุ งรั กษาระบบถนนหนทาง มาตรฐานการศึ กษา ฯลฯ รายงานวิจยั เสนอกแนวความคิ ดจัดระบบเร่ งรั ดมาตรฐาน กล่ าวคื อ ให้มี สถาบันประเมินคุณภาพ ทาหน้าที่ให้คาปรึ กษาแนะนา และให้การรับรอง/ให้รางวัลหน่วยงานท้องถิ่น ที่ทางานได้เท่ากับหรื อสู งกว่าค่ามาตรฐาน การประเมินมูลค่าฐานภาษี ทรัพย์สินฯ (เอกสารหมายเลข 8) เกี่ ยวข้องกับการศึ กษา ผลกระทบของรายได้ทอ้ งถิ่นเนื่องจากการจัดเก็บภาษีใหม่ (ภาษีที่ดินและสิ่ งปลูกสร้างซึ่ งคาดว่าจะมาใช้ แทนภาษี สองชนิ ด คื อ ภาษี ที่ดินและโรงเรื อนกับภาษีบารุ งท้องที่) การศึกษานี้ เพื่อตอบสนองความ ต้องการของกระทรวงการคลัง เนื่องจากเมื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมาย-องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่นจะได้รับ ผลกระทบเชิงการคลัง (รายได้) ภายใต้กฎหมายใหม่มุ่งหวังให้มีการจัดเก็บภาษีทอ้ งถิ่นอย่างทัง่ ถึง เป็ น ธรรม แปลงฐานภาษีเป็ นภาษีทรัพย์สิน อัตราภาษีที่เป็ นไปได้และเหมาะสมควรจะเป็ นเท่าใด ? เป็ น คาถามที่ฝ่ายปฏิ บตั ิการให้ความสนใจอย่างมาก โครงการวิจยั นี้ ใช้กรณี ศึกษาของเทศบาลหลายแห่ ง (เทศบาลนคร เทศบาลเมือง และเทศบาลตาบล) เพื่อศึกษาว่า ผลลัพธ์ต่อรายได้จะเพิ่มขึ้นหรื อลดลง คานึงอัตราสู งและอัตราต่า โดยสรุ ปโครงการวิจยั นี้นาเสนอรายงานการวิจยั ที่เน้นการประยุกต์ใช้เชิ งนโยบาย เพื่อ สนับสนุ นมาตรการกระจายอานาจสู่ ทอ้ งถิ่น และการยกขีดความสามารถการบริ หารจัดการขององค์กร ปกครองส่ วนท้องถิ่ น หัวข้อการวิจยั โครงการฯ ครอบคลุ มด้านการคลัง งบประมาณและระบบบัญชี ท้องถิ่นแบบใหม่ การสร้างคุณภาพมาตรฐานของท้องถิ่น ตลอดจนการสร้างเครื่ องชี้ วดั การทางาน เพื่อ เป็ นข้อมูลสาหรั บประชาชนตรวจสอบการทางานขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่ น ข้อเสนอวิธีการ 262


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

จัดสรรเงิ นและเงิ นอุ ดหนุ นให้ทอ้ งถิ่ นที่เหมาะสม เป็ นธรรม และการใช้เครื่ องชี้ วดั การทางานฯ เป็ น ส่ วนหนึ่งของหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทัว่ ไป ประโยชน์ ทไี่ ด้ รับจากการวิจัย 1. จากโครงการนี้ ช่วยให้พฒั นาเป็ นศูนย์ขอ้ มูลท้องถิ่ นซึ่ งปั จจุ บนั ตั้งอยู่ ณ สถาบัน บัณฑิตพัฒนบริ หารศาสตร์ ทาหน้าที่รวบรวมข้อมูล รวมถึงการให้ขอ้ มูล และการวิเคราะห์ขอ้ มูลของ องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่ นทุ กระดับ นอกจากนั้นยังทาหน้าที่ ในการเผยแพร่ ข่าวสารและเป็ นแหล่ ง เชื่ อ มโยงระหว่ า งองค์ ก รปกครองส่ ว นท้อ งถิ่ น และหน่ ว ยราชการที่ เ กี่ ย วข้อ งอื่ น ผ่า นเว็บ ไซด์ ชื่ อ www.local-gov.org 2. การพัฒนาเครื่ องชี้ วดั ประสิ ทธิ ภาพที่สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการจัดสรรเงิ น อุดหนุนเพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับองค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น นอกเหนือไปจากนั้นยังช่วยกระตุน้ ให้ ท้องถิ่นมีการพัฒนาเพื่อแข่งขันกันทางานให้กบั ประชาชนที่มีประสิ ทธิ ภาพดีข้ ึน 3. การออกแบบระบบเงิ นอุ ดหนุ นและเงิ นโอน เพื่อเป็ นแนวทางให้รัฐบาลกลาง สามารถจัดสรรเงิ นอุดหนุ นได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ สามารถสนับสนุ นการทางานขององค์กรปกครอง ส่ วนท้องถิ่นให้ทางานได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพดียงิ่ ขึ้น 4. การศึกษาโอกาสและแนวทางการพัฒนารายได้ขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น ซึ่ ง จะช่วยให้ทอ้ งถิ่นลดการพึ่งพิงเงินอุดหนุ นจากรัฐบาลกลาง สามารถหารายได้เพิ่มขึ้นจากการวิเคราะห์ และหาแนวทางในการจัดเก็บภาษี และค่ าธรรมเนี ยมของตนเองและตื่ นตัวที่ จะก ากับการทางานของ องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่นมากยิง่ ขึ้น 5. การสร้ างมาตรฐานบริ หารสาธารณะขององค์กรปกครองส่ วนถิ่ น จะเป็ นส่ วนที่ กากับองค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น จะเป็ นส่ วนที่กากับองค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่นให้บริ การสาธารณะ ที่มีมาตรฐานเดียวกันทัว่ ประเทศ และสามารถพัฒนาไปสู่ องค์กรที่มีมาตรฐานการให้บริ การสาธารณะที่ สู งขึ้นได้ 6. มี ก ารวิ เ คราะห์ ผ ลที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น จากภาษี ที่ ดิ น และสิ่ ง ปลู ก สร้ า ง อัน จะส่ ง ผล เปลี่ยนแปลงต่อรายได้ขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น และภาระภาษีที่ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ จะได้รับ ซึ่ งจะช่วยในการพิจารณารู ปแบบและความเหมาะสมของภาษีที่ดินและสิ่ งปลูกสร้างนี้ต่อไป

263


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ศักยภาพในการพัฒนาไปสู่ ภาคอุตสาหรรม 1. ระบบข้อมูล การนาเข้าสู่ ขอ้ มูลใหม่ สามารถผ่านระบบอินเตอร์ เน็ต จากองค์กร ปกครองส่ ว นท้อ งถิ่ น โดยตรงท าให้ ภาครั ฐ มี ข ้อ มู ล ที่ ท ัน สมัย ทันเหตุ ก ารณ์ ลดความซ้ า ซ้ อนและ ประหยัดเวลา เพื่อช่วยในการวิเคราะห์แนวนโยบายจะนาไปสู่ การปฏิบตั ิได้ผลอย่างดีและตรงเป้ าหมาย นอกเหนือไปจากนั้นระบบนี้สามารถพัฒนาไปสู่ ระบบบัญชีคอมพิวเตอร์ ซ่ ึ งองค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น ทุกแห่ งสามารถดาเนิ นการผ่านอินเตอร์ เน็ต ทาให้ส่วนกลางสามารถติดตามผลการทางาน รวมทั้งช่วย แก้ปัญหาให้ทอ้ งถิ่น และเป็ นการพัฒนาระบบบัญชี ของท้องถิ่นให้มีความทันสมัยและไม่ยงุ่ ยากต่อการ ปฏิบตั ิ 2. รัฐบาลสามารถใช้เครื่ องชี้ วดั การทางาน ในการติดตามผลการดาเนิ นขององค์กร ปกครองส่ วนท้องถิ่นเพื่อเป็ นการให้รางวัลและกระตุน้ ให้ทอ้ งถิ่นเร่ งพัฒนาตนเอง รวมทั้งยังสามารถใช้ ร่ วมกับการศึกษาระบบเงินอุดหนุนและเงินโอน เพื่อพัฒนาระบบเงินอุดหนุ นของรัฐบาลให้มีความเป็ น ธรรม และช่วยเหลือท้องถิ่นที่มีความขาดแคลนได้ 3. องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่นสามารถนาระบบบัญชี ระบบมาตรฐานบริ การสาธารณะ และแนวทางในการพัฒ นารายได้ ไปประยุกต์ใช้เพื่อให้องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่ นสามารถแก้ไ ข ปั ญหาภายในองค์กรและการบริ หาร อันจะช่ วยให้องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่นเหล่านี้ มีประสิ ทธิ ภาพ มากยิง่ ขึ้น

264


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เรื่องที่ 11 สาขาสั งคมวิทยา สรุ ปย่ อ วิทยานิพนธ์ เรื่อง กระบวนการเข้ าสู่ การใช้ ยาบ้ าของนักเรียนวัยรุ่ น * (The Process of Becoming Amphetamine Addict Among Adolescent Student ) โดย ดร.นิรนาท แสนสา ** ความสาคัญและทีม่ าของการทาวิทยานิพนธ์ สังคมไทยก าลัง ประสบปั ญหาการแพร่ ระบาดของยาบ้า ในกลุ่ ม นักเรี ย นวัย รุ่ นอย่า ง รุ นแรง ปั ญหาดังกล่าวก่อให้เกิดความเสี ยหายทั้งต่อตัวนักเรี ยน ครอบครัว ชุมชน และความมัน่ คงของ ชาติ จากการศึ กษาที่ ผ่า นมายังขาดองค์ความรู ้ ใ นการอธิ บ ายว่า กระบวนการเข้าสู่ ก ารใช้ยาบ้า ของ นักเรี ยนวับรุ่ นเป็ นอย่างไร ดังนั้นผูว้ ิจยั จึ งมุ่งศึ กษาในฐานะเป็ นปรากฏการณ์ ทางสังคม ทั้งนี้ เพราะ ผลการวิจยั ที่ทาให้ได้ความรู ้ความเข้าใจต่อปรากฏการณ์อย่างถูกต้อง จะช่วยเป็ นแนวทางในการกาหนด นโยบาย และการลงมือปฏิ บตั ิในการป้ องกัน และแก้ไขปั ญหาการใช้ยาบ้าในนักเรี ยนวัยรุ่ นได้อย่างมี ประสิ ทธิ ภาพยิง่ ขึ้น วัตถุประสงค์ ของการทาวิทยานิพนธ์ เพื่อมุ่งศึกษาถึงกระบวนการที่นกั เรี ยนวัยรุ่ นเข้าสู่ การใช้ยาบ้า ตั้งแต่การเริ่ มเข้าสู่ การใช้ ยาบ้าครั้งแรก การเข้าสู่ การใช้ยาบ้าแบบเป็ นบางครั้ง และการเข้าสู่ การใช้ยาบ้าแบบเป็ นประจา รวมทั้ง ทาความเข้าใจถึ งปฏิ สัมพันธ์ ระหว่างกระบวนการเข้าสู่ การใช้ยาบ้า การเลิ กใช้ และการดารงอยู่ใน สถานภาพการเป็ นผูใ้ ช้ในแต่ ละขั้นตอนกับบริ บ ทแวดล้อมต่ าง ๆ อันได้แก่ ครอบครั ว กลุ่ มเพื่ อน โรงเรี ยน สื่ อมวลชน ตลอดจนสิ่ งแวดล้อมอื่น ๆ ที่มีการแพร่ ระบาดของยาบ้า สรุ ปผลการวิจัย ผลการวิจยั พบว่า กระบวนการเข้าสู่ การใช้ยาบ้าของนักเรี ยนวัยรุ่ นทั้ง 3 ขั้นตอน ผูว้ ิจยั ได้ขอ้ สรุ ปเป็ นข้อเสนอเชิงทฤษฎี ดังนี้ 1. ปรากฏการณ์การใช้ยาบ้าของนักเรี ยนวัยรุ่ นสามารถจาแนกออกได้เป็ น 3 ขั้นตอน * งานวิจัยนี้ ผู้วจิ ัยได้ รับรางวัลวิทยานิพนธ์ ประจาปี 2545 รางวัลชมเชย สาขาสังคมวิทยา จากสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ** วิทยาลัยบริ หารธุรกิจและการท่ องเที่ยวกรุงเทพ

265


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

อย่างชัดเจน โดยขั้นการใช้ยาบ้าครั้งแรก ขั้นการเป็ นผูใ้ ช้ยาบ้าแบบเป็ นบางครั้งและขั้นสุ ดท้ายเป็ นการ ใช้ยาบ้าแบบเป็ นประจา 2. การที่นกั เรี ยนวัยรุ่ นให้ความหมายต่อการใช้ยาบ้าว่าเป็ นเรื่ องปกติธรรมดาไม่ได้เป็ น พฤติกรรมเบี่ยงเบนจากสังคม ส่ งผลต่อการเข้าสู่ การใช้ยาบ้าของนักเรี ยนวัยรุ่ น 3. การใช้มาตรการทางกฎหมายกาหนดให้ยาบ้าเป็ นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 มีผล ให้ยาบ้ามีราคาแพงขึ้นแต่ไม่ได้ส่งผลให้การผลิตและการจาหน่ายยาบ้าลดลงแต่อย่างใด ทั้งนี้เนื่องจาก ผลกาไรที่ได้รับสามารถจูงใจให้ผผู ้ ลิตและจาหน่ายยังคงดารงอยูอ่ ย่างต่อเนื่องต่อไปในสังคม 4. เมื่อนักเรี ยนวัยรุ่ นได้เลือกใช้ยาบ้าครั้งแรกแล้ว นอกจากนักเรี ยนวัยรุ่ นจะใช้ยาบ้าที่ เข้มข้นยิง่ ขึ้น จากครั้งแรกสู่ การใช้แบบบางครั้ง และแบบเป็ นประจาจนติดยาบ้า นักเรี ยนวัยรุ่ นยังมี โอกาสกลายเป็ นผูใ้ ช้บุหรี่ ดว้ ยทั้งนี้เนื่องจากบุหรี่ ช่วยให้ระยะเวลาการออกฤทธิ์ ของยาบ้าเพิ่มขึ้น และยัง ช่วยผ่อนคลายจากอาการขาดยาบ้าได้ 5. เงื่อนไขทางด้านบริ บททางสังคมที่ขาดเอกภาพในการถ่ายทอดและบังคับใช้บรรทัด ฐานทางสังคมว่าด้วยเรื่ องการใช้ยาบ้า มีผลต่อกระบวนการเข้าสู่ การใช้ยาบ้าในครั้งแรกของนักเรี ยน วัยรุ่ น ในขณะที่สังคมโดยรวมมีการรณรงค์ต่อต้านการแพร่ ระบาดของยาบ้า กาหนดกฎระเบียบข้อห้าม การใช้ยาบ้า แต่ในส่ วนของสังคมย่อยใกล้ตวั ของนักเรี ยนวัยรุ่ นยังไม่สามารถปฏิบตั ิตามได้อย่างถูกต้อง และมีประสิ ทธิ ภาพเข้าถึงตัวและจิตสานึกของนักเรี ยนวัยรุ่ นได้ทุกแง่มุมและตลอดเวลา อีกทั้งสังคม ย่อยยังมีสภาพเป็ นเงื่อนไขที่เอื้อต่อการเข้าสู่ การใช้ยาบ้า 6. เงื่อนไขครอบครัวตามสภาพที่เป็ นจริ ง ไม่สามารถบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่าจะนาไปสู่ การใช้ยาบ้าของนักเรี ยนวัยรุ่ นได้หรื อไม่ ทั้งนี้เพราะการมีโอกาสเข้าสู่ การใช้ยาบ้าของนักเรี ยนวัยรุ่ นนั้น ขึ้นอยูก่ บั การรับรู ้ การให้ความหมายของนักเรี ยนวัยรุ่ นว่ามีการรับรู ้ต่อความสัมพันธ์ของการอยูร่ ่ วมกัน ในครอบครัวอย่างไร 7. การให้ความหมายยาบ้าในทางบวก ส่ งผลต่อการตัดสิ นใจใช้ยาบ้าในครั้งแรกและ แบบเป็ นบางครั้ง 8. การรับรู ้ถึงอาการติดยาบ้าของนักเรี ยนวัยรุ่ น มีผลโดยตรงต่อการเข้าสู่ การใช้ยาบ้า ซ้ าแบบเป็ นประจา 9. ภายใต้เงื่อนไขการประเมินความรู ้สึกต้องการใช้ยาบ้าต่อไปของนักเรี ยนวัยรุ่ น การ ประเมินความเสี่ ยงต่อมาตรการควบคุมทางสังคมมีผลโดยตรงต่อการตัดสิ นใจใช้ยาบ้าทุกขั้นตอนของ นักเรี ยนวัยรุ่ น 266


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

10. การประเมินความเสี่ ยงต่อผลของยาบ้าว่าจะมีอนั ตรายต่อสุ ขภาพในระดับต่า ส่ งผล ต่อความกล้าตัดสิ นใจใช้ยาบ้าในทุกขั้นของนักเรี ยนวัยรุ่ นสู ง 11. ความไม่รู้เท่าทันต่อปรากฏการณ์การใช้ยาบ้าของนักเรี ยนวัยรุ่ นของผูค้ วบคุมทาง สังคมส่ งผลต่อการเข้าไปใช้ยาบ้าซ้ าในครั้งต่อมา 12. สังคม ครอบครัว และโรงเรี ยนที่มีความเข้มแข็งในการควบคุมกากับดูแล และมี ความสามารถในการปลูกฝังจิตสานึกการควบคุมภายในจิตใจของนักเรี ยนวัยรุ่ นเป็ นเงื่อนไขที่มีผลต่อ การตัดสิ นใจเลิกใช้ยาบ้า ประโยชน์ ด้านวิชาการ เป็ นการเพิ่มองค์ความรู ้ใหม่จากการเข้าใจความรู ้สึกนึกคิดและพฤติกรรมที่สะท้อน ออกมาจากโลกทัศน์ของนักเรี ยนวัยรุ่ นผูใ้ ช้ยาบ้า ซึ่ งงานวิจยั ครั้งนี้ ผูว้ ิจยั ได้สรุ ปเป็ นข้อเสนอเชิงทฤษฎี เกี่ยวกับปรากฏการณ์การใช้ยาบ้าของนักเรี ยนวัยรุ่ นซึ่ งถือว่าเป็ นจุดเริ่ มต้นที่ดีทางวิชาการที่จานาไปสู่ การขยายการศึกษาที่กว้างขวาง ลึกซึ้ ง และสามารถอธิ บายปรากฏการณ์ดงั กล่าวนี้ได้เข้มแข็งยิง่ ขึ้นไป ในอนาคต

267


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เรื่องที่ 12 สาขาการศึกษา สรุ ปย่ อ วิทยานิพนธ์ เรื่อง การพัฒนาดัชนีรวมของคุณภาพการจัดการศึกษาสาหรับหลักสู ตร พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต * (The Development of Composite Indicators of Educational Management Quality for the Master of Nursing Science Curriculum) โดย ผศ.ดร.บุญใจ ศรี สถิตย์ นรากูร ** บทคัดย่อ การวิจยั นี้ มีวตั ถุ ประสงค์เพื่อพัฒนาดัชนี และศึ กษาความเป็ นไปได้ในการนาดัชนี ไ ป กาหนดเกณฑ์สาหรับใช้ประเมินคุ ณภาพการจัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิ ต วิธีการ ดาเนินการวิจยั ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ศึกษาและวิเคราะห์เอกสารและนาสาระมากาหนด กรอบความคิดในการวิจยั ขั้นที่ 2 พัฒนาดัชนี โดยใช้วธิ ี การวิจยั เชิงอนาคต ขั้นที่ 3 ศึกษาความเป็ นไปได้ ในการน าดัช นี ไ ปก าหนดเกณฑ์ส าหรั บ ใช้ป ระเมิ น คุ ณ ภาพการจัด การศึ ก ษาส าหรั บ หลัก สู ต ร พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต ผลการวิจยั ได้ผลสรุ ปดังนี้ 1. องค์ป ระกอบคุ ณ ภาพการจัดการศึ ก ษาหลัก สู ต รพยาบาลศาสตรมหาบัณ ฑิ ต ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ และดัชนี จานวน 57 ดัชนี เรี ยงตามร้ อยละน้ าหนักความสาคัญ ดังนี้ 1) อาจารย์ (21.65%) มีจานวน 11 ดัชนี ได้แก่ ระบบการรับสมัครที่เพิ่มโอกาสการคัดเลือก วิธีการคัดเลือก อัตราส่ วนระหว่างอาจารย์ปริ ญญาโท : ปริ ญญาเอก จานวนอาจารย์ : จานวนนิสิต การดาเนินโครงการ พัฒนาอาจารย์ การดาเนิ นโครงการความร่ วมมือกับต่างประเทศ ห้องทางานอาจารย์ ระบบการเผยแพร่ ผลงานวิช าการสู่ สัง คม ระบบการสนับ สนุ นอาจารย์ใ นการผลิ ตผลงานวิช าการ ระบบการพิจารณา ตาแหน่งทางวิชาการและระบบการประเมินผลการสอน 2) นิสิต/นักศึกษาและมหาบัณฑิต (19.70%) มี จานวน 8 ดัชนี ได้แก่ ระบบการรับสมัครที่เพิ่มโอกาสการคัดเลือก วิธีการคัดเลือก การปฐมนิเทศ กิจกรรมนิ สิต/นักศึกษาที่พฒั นาทักษะการเรี ยนรู้ดว้ ยตนเอง ระยะเวลาที่ใช้ศึกษา จานวนมหาบัณฑิตที่ สาเร็ จการศึกษา ความรู้ความสามารถที่สนองความต้องการของสังคมและผลงานของมหาบัณฑิต 3 ) การเรี ยนการสอนและการประเมินผล (17.55%) มีจานวน 11 ดัชนี ได้แก่ กิจกรรมการสอนที่ส่งเสริ มการ อภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น วิธีการสอนที่เน้นพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ กิจกรรมการสอน * งานวิจัยนี้ ผู้วจิ ัยได้ รับพระราชทานทุน “ภูมิพล”ประจาปี 2542 งานวิจัยนี้ ผู้วจิ ัยได้รับรางวัลวิทยานิพนธ์ ประจาปี 2545 รางวัลชมเชย สาขาสังคมวิทยา จากสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ** ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย

268


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ที่ พ ฒ ั นาทัก ษะการใช้สื่ อ นวัตกรรม แหล่ ง ฝึ กภาคปฏิ บ ตั ิ เกณฑ์ ป ระเมิ น ผลสั ม ฤทธิ์ วิ ธี ก ารวัด และ ประเมินผล ระบบการตรวจสอบความเหมาะสมของผลการประเมิน ระบบการพิจารณาอาจารย์ที่ปรึ กษา วิท ยานิ พ นธ์ ระบบการสอบและการประเมิ นผลวิทยานิ พ นธ์ เกณฑ์ก ารอนุ มตั ิ หั วข้อ และโครงร่ า ง วิทยานิพนธ์และจานวนอาจารย์ : จานวนวิทยานิพนธ์ 4) หลักสู ตร (15.40%) มีจานวน 8 ดัชนี ได้แก่ ความมีมาตรฐานของโครงสร้างหลักสู ตร ความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์หลักสู ตรกับแผนพัฒนา การศึ ก ษาระดับอุ ดศึ ก ษา ความสอดคล้องระหว่า งเนื้ อหาภาคทฤษฎี และภาคปฏิ บ ตั ิ คณะกรรมการ บริ หารหลักสู ตร ประมวลการสอน การประเมินและปรับปรุ งหลักสู ตร อาจารย์สอนในรายวิชาและ วิทยากร 5) สื่ อการศึกษาและบริ การห้องสมุด (13.25%) มีจานวน 7 ดัชนี ได้แก่ ฐานข้อมูลวิชาการและ สื่ อการศึกษา จานวนคอมพิวเตอร์ : จานวนนิสิต/นักศึกษา ตาราและวารสารต่างประเทศ โครงการความ ร่ วมมือบริ การระหว่างห้องสมุด สภาพแวดล้อมและบรรยากาศ ระบบการสื บค้นสารสนเทศและการเปิ ด บริ การห้องสมุด 6) บริ หารองค์การ (12.45%) มีจานวน 12 ดัชนี ได้แก่ ปรัชญา ปณิ ธานและนโยบาย แผนการดาเนิ นงาน ระบบติดตามประเมินผล การประกันคุณภาพภายใน การประกันคุณภาพภายนอก ระบบการบริ ห ารงบประมาณ ระบบการตรวจสอบการใช้จ่ า ยงบประมาณ ระบบการบริ ห ารงาน โครงสร้ า งองค์ก าร ฐานข้อ มู ล ที่ เ อื้ อ ต่ อ การบริ ห าร คู่ มื อ ปฏิ บ ัติ ง านและระบบการประเมิ น ผลการ ปฏิบตั ิงาน 2. ดัชนี ท้ งั 57 ดัชนี มีความเป็ นไปได้ในการนาไปกาหนดเกณฑ์สาหรับใช้ประเมิน คุณภาพการจัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต ซึ่ งเป็ นความคิดเห็นที่สอดคล้องกันของ ผูเ้ ชี่ยวชาญทุกคน

269


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

Abstract The purposes of this research were to develop the composite indicators of educational management quality for the Master of Nursing Science curriculum and to study the feasibility of these indicators. Three main steps were conducted as following: 1) Literature review was analyzed for conceptual research framework 2) The composite indicators were developed by using Delphi Future Research technique. 3) The feasibility of these indicators was considered by 21 faculty members. The research findings were as follows: 1. There were fifty-seven indicators as follows: faculty 11 indicators, students and graduates 8 indicators, teaching and evaluation 11 indicators, curriculum 8 indicators, educational media and library services 7 indicators, and organizational administration 12 indicators. 2. All of these composite indicators were practical. บทนา มาตรฐานการจัด การศึ ก ษาหลัก สู ต รพยาบาลศาสตรมหาบัณ ฑิ ต ที่ เ ปิ ดสอนใน สถาบันการศึกษาพยาบาลใดๆก็ตาม โดยหลักการแล้วควรต้องมีมาตรฐานเดียวกันหรื ออย่างน้อยก็ควรมี มาตรฐานที่ ทดั เที ยมกัน ดัง นั้น เพื่อความมี มาตรฐานการจัดการศึ กษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหา บัณฑิ ตที่ ทดั เที ยมกันของทุ ก สถาบัน สถาบันการศึ กษาจาเป็ นต้องจัดการศึกษาตามเกณฑ์มาตรฐาน หลักสู ต รพยาบาลศาสตรมหาบัณ ฑิ ต แต่เนื่ องจากในปั จจุบนั ยังไม่มีเกณฑ์มาตรฐานการจัดการศึกษา หลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิ ตดัง นั้น จึ ง จาเป็ นอย่า งยิ่ง ที่ ต้องเร่ งจัดท าเกณฑ์ม าตรฐานการจัด การศึ กษาหลัก สู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิ ตส าหรั บเป็ นแนวทางในการจัดการศึ ก ษาเพื่ อความมี คุณภาพและมาตรฐานในระดับสากลและเป็ นที่ยอมรับของสังคม ในการจัดทาเกณฑ์มาตรฐานการจัด การศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตนั้น ควรเริ่ มจากการพัฒนาเครื่ องมือสาหรับนามากาหนด หรื อบ่ ง ชี้ คุ ณภาพการจัดการศึ ก ษาหลัก สู ต รพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิ ต ส าหรั บ เครื่ องมื อที่ ใ ช้บ่ ง ชี้ คุ ณภาพการจัดการศึ ก ษาซึ่ งเป็ นที่ นิย มกันแพร่ หลายทั้งในและต่ างประเทศได้แก่ ดชั นี ทางการศึ กษา (Educational indicators) ซึ่ ง ดัช นี ที่ ใ ช้บ่ ง ชี้ ค วามมี คุ ณภาพการศึ ก ษาของทุ ก สาขาวิช าชี พ ก็ ค วรมี มาตรฐานสากล มีความ คาสาคัญ. ดัชนี , คุณภาพการจัดการศึกษา, หลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต key words: indicators, quality, master of nursing science curriculum

270


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เชื่ อถือได้ โดยได้รับความเห็นชอบและการยอมรับจากนักวิชาการหรื อผูเ้ ชี่ยวชาญ (Astin.1982., Cheng and Tam.1997) มีความสอดคล้องกับพันธกิจของสถาบัน และเป็ นที่ ย อมรั บ ของคณะทางานใน สถาบั น (Ashworth and Harvey. 1994) มีความเหมาะสมและสามารถนาไปใช้ในทางปฏิบตั ิได้ อย่างเป็ นรู ปธรรม (อดุลย์ วิริยเวชกุล . 2541) นอกจากนี้ แล้ว ดัชนี ที่ใช้บ่งชี้ คุณภาพการศึกษาหากเป็ น ดัชนีรวม (Composite Indicators) จะเพิ่ม ความน่ า เชื่ อถื อยิ่ง ขึ้ น (Johnstone. 1981) และควรเป็ นดัชนี ที่ ค รอบคลุ ม องค์ป ระกอบการจัดการศึ ก ษาทั้ง ระบบปั จจัย ตัวป้ อน ปั จ จัย กระบวนการและผลผลิ ต (Johnstone. 1981., Vroeijenstijn. 1995 and Cowman. 1996) วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาดัชนี รวมของคุณภาพการจัดการศึกษาสาหรับหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหา บัณฑิต 2.เพื่ อศึ กษาความเป็ นไปได้ใ นการนาดัช นี รวมที่ พ ฒ ั นาขึ้ นไปกาหนดเกณฑ์ส าหรั บ ใช้ ประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต วิธีการ วิธีการดาเนินการวิจยั ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ศึกษาและวิเคราะห์เอกสารเพื่อนาสาระที่ได้มากาหนดกรอบความคิดในการ วิจยั กรอบความคิดในการวิจยั ที่ผวู้ จิ ยั นามาใช้ในการพัฒนาดัชนีทางการศึกษาใช้แนวคิดการพัฒนาดัชนี ทางการศึกษาของจอห์นสโตน (Johnstone. 1981) ดังภาพที่ 10

271


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ระบบ เศรษฐกิจ

ทรัพยากร สาหรับ การศึกษา

ระบบ สังคม ระบบ การเมือง

โครงสร้ าง ระบบและการ

ความ คาดหวัง ต่อ การศึกษา

นาปัจจัยตัว ป้ อนไปใช้ ใน การจัด การศึกษา

ตัวป้อน

กระบวนการ

ผลผลิต และ ทักษะ

ความพึง พอใจต่อ การศึกษา และ ทักษะ

ความเป็ น ประโยชน์ของ ผลผลิตและ ทักษะ

ระบบ เศรษฐกิจ ระบบสังคม ระบบ การเมือง

ผลผลิต

ระบบการศึกษา ภาพที่ 10 กรอบความคิดการพัฒนาดัชนีทางการศึกษา ขั้นที่ 2 พัฒนาดัชนีรวมของคุณภาพการจัดการศึกษาสาหรับหลักสู ตรพยาบาลศาสตร มหาบัณฑิต โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจยั เชิงอนาคต ขั้นที่ 3 ศึกษาความสอดคล้องระหว่างเกณฑ์ประเมินกับดัชนี และความเป็ นไปได้ในการ นาดัช นี ที่ พ ฒ ั นาขึ้ น ไปก าหนดเกณฑ์ส าหรั บใช้ประเมิ น คุ ณภาพการจัดการศึ ก ษาส าหรั บหลัก สู ต ร พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต ประชากรและกลุ่มตัวอย่ าง กลุ่มตัวอย่างในงานวิจยั นี้ จาแนกเป็ น 2 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ให้ความคิดเห็นในขั้นตอนการพัฒนาดัชนี ประกอบด้วยผูเ้ ชี่ยวชาญด้าน การจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาและผูเ้ ชี่ยวชาญด้านการพัฒนาดัชนีทางการศึกษา จานวนรวมทั้งสิ้ น 20 ท่าน 272


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับความสอดคล้องระหว่างเกณฑ์ประเมินกับดัชนี และความเป็ นไปได้ในการนาเกณฑ์ประเมินไปใช้ประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาล ศาสตรมหาบัณฑิต ประกอบด้วยอาจารย์ประจาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตจาก สถาบันการศึกษาพยาบาลที่เปิ ดสอนหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตจานวน 7 แห่ง รวมทั้งสิ้ น 21 ท่าน เครื่องมือทีใ่ ช้ ในการรวบรวมข้ อมูล เครื่ องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล มีจานวน 5 ชุด ดังนี้ ชุดที่ 1 แบบสัมภาษณ์ก่ ึงโครงสร้าง ชนิ ดปลายเปิ ด ประกอบด้วยข้อคาถาม 6 ข้อ เพื่อ รวบรวมความคิ ดเห็ นเกี่ ยวกับสมรรถนะมหาบัณฑิ ตที่ สาเร็ จการศึ กษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหา บัณฑิตและดัชนีคุณภาพการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต ชุดที่ 2 แบบสอบถาม ประกอบด้วยองค์ประกอบคุณภาพ 7 องค์ประกอบและ 148 ดัชนี เพื่อให้ผเู้ ชี่ยวชาญพิจารณาความตรง ความเหมาะสมและการนาไปใช้ได้จริ งของดัชนี ชุดที่ 3 แบบสอบถาม ประกอบด้วยองค์ประกอบคุณภาพ 7 องค์ประกอบและดัชนี 92 ดัชนี เพื่อให้ผเู้ ชี่ยวชาญพิจารณาความเหมาะสมของดัชนี และการนาไปใช้ได้จริ งของดัชนี พร้ อมทั้งได้ แสดงค่ามัธยฐานและค่าพิสัยระหว่างควอไตล์ที่วิเคราะห์ได้จากข้อมูลที่เป็ นคาตอบของกลุ่มผูเ้ ชี่ ยวชาญ ทั้ง 20 ท่ านและของผูเ้ ชี่ ยวชาญแต่ ละท่ านที่ ได้ให้ความคิ ดเห็ นในแบบสอบถามรอบที่ 2 เพื่ อให้ ผูเ้ ชี่ยวชาญพิจารณายืนยันการคงไว้ซ่ ึ งคาตอบเดิมหรื อเปลี่ยนแปลงคาตอบให้สอดคล้องกับคาตอบของ กลุ่มผูเ้ ชี่ยวชาญ ชุดที่ 4 แบบสอบถาม ประกอบด้วยองค์ประกอบคุณภาพ 7 องค์ประกอบและดัชนี 57 ดัชนี เพื่อให้ผเู ้ ชี่ ยวชาญพิจารณากาหนดน้ าหนักคะแนนความสาคัญขององค์ประกอบและดัชนี สาหรับ นาไปคานวณค่าดัชนีรวมของคุณภาพการจัดการศึกษาสาหรับหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต ชุดที่ 5 แบบประเมินความสอดคล้องระหว่างเกณฑ์ประเมินกับดัชนี และความเป็ นไป ได้ในการนาเกณฑ์ประเมินไปใช้ประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต การรวบรวมข้ อมูล ผูว้ จิ ยั รวบรวมข้อมูลด้วยตนเองโดยตลอดทุกขั้นตอน รวมเวลาทั้งสิ้ น 2 ปี 3 เดือน สาหรับระยะเวลาในการรวบรวมข้อมูลในแต่ละขั้นตอน มีรายละเอียดดังนี้ 273


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ขั้นที่ 1 ศึกษาและวิเคราะห์เอกสาร ดาเนิ นการระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2540 ถึงเดือน ธันวาคม 2541 รวม 1 ปี 2 เดือน ขั้นที่ 2 พัฒนาดัชนีโดยใช้ระเบียบวิธีการวิจยั เชิงอนาคต ดาเนินการระหว่างเดือน มกราคม 2542 ถึงเดือนกันยายน 2542 รวม 9 เดือน ขั้นที่ 3 ศึกษาความเป็ นไปได้ในการนาไปใช้จริ ง ดาเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2542 ถึงเดือนมกราคม 2543 รวม 4 เดือน การวิเคราะห์ ข้อมูล ผูว้ จิ ยั นาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ดว้ ยวิธีการดังนี้ 1.ข้อมูลความคิดเห็นเกี่ยวกับสมรรถนะมหาบัณฑิตที่สาเร็ จการศึกษาหลักสู ตร พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตและดัชนีคุณภาพการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตที่รวบรวมได้ จากผูเ้ ชี่ยวชาญในขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลรอบที่ 1 ผูว้ จิ ยั นามาวิเคราะห์เนื้ อหา (Content Analysis) 2. ข้อมูลที่เป็ นความคิดเห็นเกี่ยวกับความตรง ความเหมาะสมและการนาไปใช้ได้จริ ง ของดัชนีของคุณภาพการจัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตที่รวบรวมได้จากผูเ้ ชี่ยวชาญ ในขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลรอบที่ 2 และรอบที่ 3 ผูว้ จิ ยั นามาวิเคราะห์ หาค่ามัธยฐาน (Median) ค่าฐาน นิยม (Mode) ค่าพิสัยระหว่างควอไตล์ (Interquatile range) ค่าความแตกต่างระหว่างค่าฐานนิยมและ ค่ามัธยฐาน 3.ข้อมูลเกี่ยวกับน้ าหนักความสาคัญขององค์ประกอบและดัชนีของคุณภาพหลักสู ตร พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตที่รวบรวมได้จากผูเ้ ชี่ยวชาญในการเก็บรวบรวมข้อมูลรอบที่ 4 ผูว้ จิ ยั นามา วิเคราะห์หาค่าดัชนี รวม ตามวิธีการดังนี้ 3.1 วิเคราะห์หาค่าร้อยละน้ าหนักความสาคัญขององค์ประกอบแต่ละองค์ประกอบ 3.2 วิเคราะห์น้ าหนักคะแนนความสาคัญของดัชนีบ่งชี้ ในแต่ละองค์ประกอบ โดย การรวมน้ าหนักคะแนนของแต่ละองค์ประกอบด้วยวิธีบวก (Adding method) ตามแนวคิดของจอห์นส โตน 4.ข้อมูลเกี่ยวกับความสอดคล้องระหว่างเกณฑ์ประเมินกับดัชนีและความเป็ นไปได้ใน การนาเกณฑ์ประเมินไปใช้ประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตที่ รวบรวมได้จากอาจารย์ประจาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต ผูว้ จิ ยั นามาวิเคราะห์หาความคิดเห็น ที่สอดคล้องขององอาจารย์ประจาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตจานวน 21 ท่าน 274


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ผลการศึกษา 1. คุ ณภาพการจัด การศึ ก ษาหลัก สู ต รพยาบาลศาสตรมหาบัณ ฑิ ต ประกอบด้ว ย องค์ป ระกอบคุ ณภาพ 6 องค์ป ระกอบและดัชนี 57 ดัช นี โดยเรี ย งน้ า หนัก ความส าคัญของ องค์ป ระกอบคุ ณภาพจากน้ า หนัก ความส าคัญสู ง สุ ดสู่ น้ า หนัก ความส าคัญต่ า สุ ด ดัง นี้ 1) อาจารย์ (21.65%) มีจานวน 11 ดัชนี 2) นิสิต/นักศึกษาและมหาบัณฑิต (19.70%) มีจานวน 8 ดัชนี 3 ) การเรี ยน การสอนและการประเมินผล (17.55%) มีจานวน 11 ดัชนี 4) หลักสู ตร (15.40%) มีจานวน 8 ดัชนี 5) สื่ อการศึกษาและบริ การห้องสมุด (13.25%) มีจานวน 7 ดัชนี 6) บริ หาร (12.45%) มีจานวน 12 ดัชนี 2. ดัชนีคุณภาพอาจารย์ มี 11 ดัช นี ได้แก่ มีระบบการรับสมัครอาจารย์ที่เพิ่มโอกาส การคัดเลือกอาจารย์ที่มีคุณภาพ มีวิธีการคัดเลื อกอาจารย์ เพื่อให้ได้อาจารย์ที่มีคุณภาพ มี ก ารดาเนิ น โครงการพัฒนาอาจารย์ มีก ารดาเนิ น โครงการความร่ ว มมื อ ทางวิ ช าการ/แลกเปลี่ ย นอาจารย์ก ับ สถาบัน การศึ ก ษาพยาบาลของต่ า งประเทศอย่ า งต่ อ เนื่ อ ง ห้ อ งท างานของอาจารย์มี ปั จ จัย และ สภาพแวดล้อมทางกายภาพที่เอื้อต่อการทางานและการให้คาปรึ กษาวิทยานิพนธ์ มี ร ะบบเผยแพร่ ผลงานวิชาการของอาจารย์สู่สังคมอย่างทัว่ ถึง มีระบบสนับสนุ นที่เอื้อให้อาจารย์ได้ปฏิบตั ิภาระงานและ ผลิตผลงานวิชาการที่เป็ นไปตามเกณฑ์ที่ กม. กาหนด มีอตั ราส่ วนอาจารย์ประจาหลักสู ตรที่มีวุฒิ การศึกษาปริ ญญาโท : ปริ ญญาเอกเป็ นไปตามเกณฑ์มาตรฐานทบวงฯ มีระบบการพิจารณากาหนดเลื่อน ตาแหน่ ง ทางวิ ช าการที่ มี ค วามน่ า เชื่ อถื อ และมี ก ารประเมิ นผลการสอนของอาจารย์ทุ ก รายวิช า ซึ่ ง ประเมินโดยเพื่อนร่ วมงาน (Peer) นิสิต/นักศึกษาและประเมินตนเอง 3. ดัชนี คุณภาพนิ สิต/นักศึกษาและมหาบัณฑิต มี 8 ดัชนี ได้แก่ มีระบบการเปิ ดรั บ สมัครที่เพิ่มโอกาสการคัดเลือกนิ สิต/นักศึกษาที่มีคุณภาพเข้าศึกษาหลักสู ตร มีระบบการคัดเลือกนิ สิต / นักศึ กษาที่มี คุณภาพเข้า ศึกษาในหลักสู ตร มี ก ารปฐมนิ เ ทศเพื ่ อ ให้ข ้อ มู ล เกี่ ย วกับ สาระที่ นิ สิ ต / นัก ศึ ก ษาใหม่ ค วรทราบ มีกิจกรรมนิสิต/นักศึกษาที่เน้นการพัฒนาทักษะการเรี ยนรู้ดว้ ยตนเอง ทักษะ การประกอบอาชีพและทักษะทางสังคมที่สาคัญ (น้ าหนัก 3.06) เกณฑ์ประเมิน ประกอบด้วย ระยะเวลา ที่ เ ข้า ศึ ก ษาจนส าเร็ จ การศึ ก ษาหลัก สู ต รพยาบาลศาสตรมหาบัณ ฑิ ต มี ค วามเหมาะสม มี ค วามรู้ ความสามารถในการปฏิบตั ิงานสนองความคาดหวังของผูเ้ กี่ ยวข้อง และมีการผลิ ตผลงานวิชาการที่ มี คุณภาพหรื อสร้างชื่อเสี ยงให้กบั วิชาชีพการพยาบาลอย่างต่อเนื่อง 4. ดัชนีคุณภาพการเรี ยนการสอนและการประเมินผล มี 11 ดัชนี ได้แก่ มีการใช้วิธีการ สอนที่เน้นให้นิสิต/นักศึกษาได้พฒั นาทักษะการคิดวิเคราะห์ ทุกวิชา มีกิจกรรมการเรี ยนการสอนที่ให้ นิ สิ ต /นัก ศึ ก ษาได้อภิ ปรายและแลกเปลี่ ยนประสบการณ์ อย่า งกว้า งขวางระหว่างอาจารย์และนิ สิ ต / นัก ศึ ก ษา มี กิ จกรรมการเรี ย นการสอนที่ ใ ห้นิสิ ต/นัก ศึ ก ษาได้พ ฒ ั นาทัก ษะการใช้สื่ อนวัตกรรมทาง 275


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

การศึกษาสาหรับสื บค้นข้อมูลและเรี ยนรู้ดว้ ยตนเอง ทักษะภาษาต่างประเทศ มีแหล่งฝึ กภาคปฏิบตั ิ ที่เอื้อ ให้นิสิตและนักศึกษาได้พฒั นาทักษะด้านการปฏิบตั ิการพยาบาลขั้นสู ง มีการกาหนดเกณฑ์การพิจารณา อนุมตั ิหวั ข้อและโครงร่ างวิทยานิพนธ์/โครงการศึกษาค้นคว้าอิสระไว้อย่างชัดเจนและให้นิสิต/นักศึกษา ได้รับรู ้ อย่างเป็ นทางการโดยทัว่ ถึ ง มีการพิจารณากาหนดอาจารย์ที่ปรึ กษาวิทยานิ พนธ์หลัก/โครงการ ศึกษาค้นคว้าอิสระ ที่ตรงกับความเชี่ ยวชาญ มีการกาหนดจานวนเล่มสู งสุ ดของวิทยานิ พนธ์/โครงการ ศึกษาค้นคว้าอิสระสู งสุ ดต่ออาจารย์เป็ นที่ปรึ กษาหลักอย่างเหมาะสมกับประสบการณ์การเป็ นอาจารย์ที่ ปรึ กษาและปริ มาณงานที่รับผิดชอบ มีระบบการสอบวิทยานิพนธ์ /โครงการศึกษาค้นคว้าอิสระที่มีความ น่าเชื่อถือ มีการกาหนดเกณฑ์การประเมินผลรายวิชาอย่างเหมาะสม ชัดเจนและให้ผเู้ รี ยนได้รับทราบ มี วิธี ก ารประเมิ น ผลการเรี ย นที่ ต รงตามความสามารถที่ แ ท้จ ริ ง ของนิ สิ ต /นัก ศึ ก ษา และมี ร ะบบการ ตรวจสอบความเหมาะสมของผลการประเมินทุกรายวิชาโดยคณะกรรมการ 5. ดัชนีคุณภาพหลักสู ตรจานวน 8 ดัชนี ได้แก่ มีการกาหนดวัตถุประสงค์ของหลักสู ตรที่ สอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึ กษาระดับ อุ ดมศึ กษาของชาติ และนโยบายการจัดการศึ กษาหลักสู ตร พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตของคณะฯ มีโครงสร้างของหลักสู ตรเป็ นไปตามเกณฑ์มาตรฐานของทบวงฯ และเนื้ อหาสาระในรายวิชาสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสู ตร เนื้ อหาและกิจกรรมการเรี ยนการ สอนของรายวิช าภาคทฤษฎี และภาคปฏิ บตั ิมี ความสอดคล้อง/เชื่ อมโยงกัน มี ค ณะกรรมการบริ หาร หลักสู ตรแต่ละสาขาวิชาหลักทาหน้าที่บริ หารหลักสู ตรตามขอบข่ายหน้าที่อย่างมีประสิ ทธิ ภาพมีการ ประเมินและปรับปรุ งหลักสู ตรทุกสาขาที่เปิ ดสอนให้มีความทันสมัย สนองความต้องการของสังคม มี ประมวลการสอนทุกรายวิชาที่เปิ ดสอนในแต่ละภาคซึ่ งได้ทาการปรับเปลี่ยนหัวข้อสอนและวิธีการสอน ให้มีความน่ าสนใจและสอดคล้องกับวิทยาการ มีการพิจารณากาหนดอาจารย์ผูส้ อนในแต่ละรายวิชา อย่างเหมาะสมกับระดับความรู ้ความสามารถ และมีการพิจารณาความเหมาะสมของวิทยากรนอกคณะฯ ที่สอนในแต่ละหัวข้อ 6. ดัชนีคุณภาพสื่ อการศึกษาและบริ การห้องสมุดมี 7 ดัชนี ได้แก่ มีฐานข้อมูลวิชาการ และสื่ อการศึกษาที่เอื้อต่อการศึกษาค้นคว้าของอาจารย์และนิสิต/นักศึกษาอัตราส่ วนจานวนคอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมโยงกับระบบอินเตอร์ เน็ตต่ออาจารย์และนิสิต/นักศึกษา มีตาราและวารสารทางการพยาบาล ต่างประเทศที่มีเนื้ อหาสาระตรงหรื อสัมพันธ์กบั เนื้ อหารายวิชาในหลักสู ตรแต่ละสาขาที่เปิ ดสอนใน คณะฯซึ่งเอื้อต่อการศึกษาค้นคว้าของอาจารย์และนิสิต/นักศึกษามีระบบที่ช่วยให้การสื บค้นสารสนเทศมี ความสะดวก รวดเร็ ว มีโครงการความร่ วมมือบริ การยืมคืนตาราและจัดส่ งเอกสารจากวารสารและตารา ระหว่างห้องสมุดคณะพยาบาลศาสตร์ ด้วยระบบที่มีประสิ ทธิ ภาพ มีการเปิ ดบริ การห้องสมุดทั้งในและ นอกเวลาราชการที่เอื้อต่อการศึกษาค้นคว้าของอาจารย์และนิสิต/นักศึกษา และมีสภาพแวดล้อมทาง กายภาพภายในห้องสมุดที่เอื้อต่อการศึกษาค้นคว้า 276


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

7. ดัชนีคุณภาพการบริ หารมี 12 ดัชนี ได้แก่ มีการกาหนดปรัชญา ปณิ ธานและนโยบายที่ ครอบคลุ ม ภารกิ จ การจัด การศึ ก ษาหลัก สู ต รพยาบาลศาสตรมหาบัณ ฑิ ต มี แ ผนการด าเนิ น งานที่ สอดคล้องและครอบคลุ ม นโยบายการดาเนิ นภารกิ จการจัดการศึ ก ษาหลัก สู ตรพยาบาลศาสตรมหา บัณฑิต มีการประเมินผลการดาเนินงานของทุกแผนงานอย่างเป็ นระบบ มีการกาหนดโครงสร้างองค์กร ที่ ไ ม่ ซับ ซ้อน เหมาะสมกับ ขนาดและภารกิ จขององค์ก ร มี การบริ หารงานอย่า งมี ป ระสิ ทธิ ภาพและ บริ หารในรู ปคณะกรรมการ มีฐานข้อมูลที่เอื้อต่อการบริ หารงานบุ คคลและการบริ หารภารกิ จการจัด การศึ ก ษาหลัก สู ต รพยาบาลศาสตรมหาบัณ ฑิ ต มี ก ารด าเนิ น การประกัน คุ ณ ภาพการจัด การศึ ก ษา หลัก สู ต รพยาบาล ศาสตรมหาบัณฑิ ตภายในคณะฯ ให้มี คุ ณ ภาพเพิ่ ม สู ง ขึ้ น อย่า งต่ อเนื่ อง มี ก าร ตรวจสอบและประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตโดยคณะกรรมการ ภายนอกคณะฯ มีคู่มือปฏิ บตั ิ งานของทุ กตาแหน่ งสาหรั บใช้เป็ นแนวทางการปฏิ บตั ิงานตามขอบข่าย ภาระงาน มีระบบการประเมินผลการปฏิบตั ิงานที่มีความยุติธรรม โปร่ งใส เสริ มสร้างแรงจูงใจ มีระบบ การบริ หารงบประมาณอย่างมี และมีก ารกากับ ตรวจสอบและรายงานการใช้จ่า ยงบประมาณของทุ ก แผนงาน/โครงการ องค์ประกอบคุณภาพการจัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตที่ได้จากการ วิจยั เมื่อนามาจาแนกตามแนวคิดเชิงระบบ สามารถจาแนกเป็ นองค์ประกอบด้านปั จจัยตัวป้ อน ปัจจัย กระบวนการและผลผลิตดังนี้ องค์ประกอบคุณภาพของปั จจัยตัวป้ อน ได้แก่ อาจารย์ นิสิต/นักศึกษา หลักสู ตร สื่ อการศึกษาและบริ การห้องสมุด องค์ประกอบคุณภาพของปั จจัยกระบวนการ ได้แก่ การ บริ หารองค์การ การเรี ยนการสอนและการประเมินผล องค์ประกอบคุณภาพของผลผลิต ได้แก่ มหาบัณฑิต ซึ่งสรุ ปเป็ นรู ปแบบ ดังภาพที่ 11  การบริหารองค์ การ    

อาจารย์ นิสิต/นักศึกษา หลักสู ตร สื่ อและห้องสมุด ตัวป้ อน

 การเรี ยนการสอน และ  การประเมินผล

กระบวนการ

 มหาบัณฑิต

ผลผลิต

ภาพที่ 11 องค์ประกอบคุณภาพการจัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต 277


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

8. ดัชนี ท้ งั 57 ดัชนี อาจารย์ประจาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตมากกว่าร้อย ละ 90มีความคิดเห็นที่สอดคล้องกันว่ามีความเป็ นไปได้ในการนาไปกาหนดเกณฑ์ประเมินคุณภาพการ จัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต อภิปราย 1. องค์ประกอบคุณภาพการจัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต เมื่อนามา จาแนกตามกรอบความคิดการพัฒนาดัชนีทางการศึกษาของจอห์นสโตน ซึ่ งเป็ นกรอบแนวคิดที่นามาใช้ พัฒนาดัชนี ในงานวิจยั นี้ จะเห็ นได้ว่าครอบคลุ มทั้งระบบปั จจัยตัวป้ อน กระบวนการและผลผลิ ต ซึ่ ง เป็ นไปตามหลักการที่วา่ ดัชนี ที่นามาบ่งชี้ คุณภาพการจัดการศึกษาควรมีความครอบคลุมทั้งระบบปั จจัย ตัวป้ อน กระบวนการและผลผลิตโดยสามารถจาแนกองค์ ตามแนวคิดเชิ งระบบ ได้ดงั นี้ องค์ประกอบ ด้า นปั จ จัย ตัว ป้ อน ได้ แ ก่ อาจารย์ นิ สิ ต /นัก ศึ ก ษา หลัก สู ต ร สื่ อ การศึ ก ษาและบริ การห้ อ งสมุ ด องค์ประกอบด้า นปั จจัย กระบวนการ ได้แก่ การบริ หาร การเรี ยนการสอนและการประเมิ นผล และ องค์ประกอบด้านปั จจัยผลผลิต ได้แก่ มหาบัณฑิต 2. ดัชนีที่พฒั นาขึ้นจานวน 57 ดัชนี เมื่อนามาวิเคราะห์ พบว่า โดยส่ วนใหญ่เป็ นดัชนี เน้นที่ความสาคัญเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพกระบวนการจัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหา บัณฑิต มากกว่าการเน้นความสาคัญของการควบคุมคุณภาพของผลผลิตการศึกษา สาหรับผลการวิจยั ใน ประเด็นนี้ นับว่าเป็ นจุดเด่นของดัชนีที่พฒั นาขึ้น เนื่ องจากแนวคิดตามหลักการบริ หารคุณภาพนั้น ได้ กล่าวระบุไว้โดยสรุ ปว่า หากได้ทาการควบคุมคุณภาพในขั้นตอนของกระบวนการผลิต โดยทาการ ควบคุมในทุกๆขั้นตอนการผลิตแล้ว ย่อมทาให้ผลผลิตมีคุณภาพด้วย แต่หากการควบคุมคุณภาพนั้น เน้นการตรวจสอบคุณภาพของผลผลิตอย่างเข้มงวด โดยทาการประเมินผลผลิตว่ามีคุณภาพเป็ นไปตาม เกณฑ์ค่าตัวเลขที่กาหนดหรื อไม่น้ นั เป็ นการควบคุมคุณภาพที่ไม่ถูกต้องตามหลักการบริ หารคุณภาพ 3. ดัชนี คุณภาพหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตซึ่ งเป็ นผลที่ได้จากงานวิจยั นี้ โดย ส่ วนใหญ่มีความสอดคล้องกับดัชนี คุณภาพหลักสู ตรปริ ญญาเอกของสถาบันการศึ กษาพยาบาลแห่ ง สหรัฐอเมริ กา (American Association of Colleges of Nursing = AACN) ซึ่ งผลการวิจยั นี้ นับเป็ น ผลการวิจยั ที่เป็ นประโยชน์อย่างยิง่ หากสถาบันการศึกษาและหน่ วยงานที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมและ รั บ รองคุ ณ ภาพการจัด การศึ ก ษาหลัก สู ต รพยาบาลศาสตรมหาบัณ ฑิ ต ได้น าดัช นี ที่ พ ฒ ั นาขึ้ น นี้ ไป ดาเนิ นการจัดการศึ กษาหลัก สู ตรอย่า งจริ งจังและต่อเนื่ องแล้ว ย่อมทาให้การจัดการศึ กษาหลัก สู ตร พยาบาล ศาสตรมหาบัณฑิตมีคุณภาพในระดับมาตรฐานสากล

278


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ข้ อเสนอแนะ ผลการวิจยั ที่ได้จากการวิจยั นี้ ผูว้ ิจยั ขอให้ขอ้ เสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการ ควบคุมคุณภาพการจัดการศึกษาพยาบาล สาหรับการนาผลการวิจยั ไปใช้ประโยชน์ ดังนี้ 1. สภาการพยาบาลและทบวงมหาวิทยาลัยหรื อหน่ วยงานที่เกี่ ยวข้องกับการควบคุ ม คุณภาพการศึกษาพยาบาลระดับประเทศสามารถนาผลการวิจยั ไปใช้ประโยชน์ดงั นี้ 1.1 นาดัชนีที่ได้จากการวิจยั ไปใช้กาหนดเกณฑ์มาตรฐานการจัดการศึกษาระดับ ปริ ญญาโท สาขาพยาบาลศาสตร์ สาหรับให้สถาบันการศึกษาพยาบาลที่จดั การศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา นาไปใช้เป็ นแนวทางการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพและเป็ นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 1.2 นาดัชนีและเกณฑ์ประเมินที่ได้จากการวิจยั ไปใช้ประเมินและรับรองคุณภาพการ จัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตของสถาบันการศึกษาพยาบาล 1.3 นาน้ าหนักความสาคัญขององค์ประกอบคุณภาพและดัชนี ที่ได้จากการวิจยั ไป ประยุ ก ต์ใ ห้ เ หมาะสมส าหรั บ น าไปใช้ป ระเมิ น และจัด อัน ดับ คุ ณ ภาพการจัด การศึ ก ษาหลัก สู ต ร พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิ ตของสถาบัน ทั้งนี้ ในการดาเนิ นการควรต้องคานึ งถึ งความพร้อมและให้การ ยอมรับการนาผลการประเมินไปจัดอันดับคุณภาพของสถาบันการศึกษาพยาบาลด้วย 2. มหาวิทยาลัย ซึ่ งเป็ นหน่ วยงานที่มีบทบาทสาคัญในการควบคุมคุณภาพการศึกษา พยาบาลระดับสถาบัน คณะ ภาควิชาและสาขาวิชา สามารถนาผลการวิจยั ไปใช้ประโยชน์ ดังนี้ 2.1 นาดัชนีที่ได้จากการวิจยั ไปใช้เป็ นข้อมูลในการจัดทรัพยากรสนับสนุนการศึกษา และสิ่ งเอื้ ออานวยต่างๆที่ ส่งเสริ มให้คณะพยาบาลศาสตร์ ในสังกัดได้ดาเนิ นภารกิ จการจัดการศึ กษา หลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานเป็ นที่ยอมรับของสังคม 2.2 นาดัช นี และเกณฑ์ประเมิ น ที่ ไ ด้จ ากการวิจยั ไปใช้ป ระเมิ น คุ ณภาพการจัด การศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตของคณะพยาบาลศาสตร์ ในสังกัดและให้ขอ้ มูลย้อนกลับ ในทางสร้างสรร เพื่อให้คณะพยาบาลศาสตร์ ในสังกัดได้ปรับปรุ งและพัฒนาการจัดการศึกษาหลักสู ตร พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิ ตให้มีคุณภาพเพิ่มสู งขึ้นเป็ นลาดับ ก้าวทันและทัดเทียมกับเกณฑ์มาตรฐาน ความเป็ นเลิศ (Benchmark) 3. สถาบันการศึกษาพยาบาลซึ่ งเป็ นหน่ วยงานที่มีบทบาทสาคัญในการควบคุ ม คุณภาพการศึกษา พยาบาลระดับคณะ ภาควิชาและสาขาวิชา สามารถนาผลการวิจยั ไปใช้ประโยชน์ ดังนี้

279


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

3.1

นาดัชนีที่ได้จากการวิจยั ไปเป็ นแนวทางการจัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสต

รมหาบัณฑิต 3.2 นาดัชนีและเกณฑ์ประเมินที่ได้จากการวิจยั ไปใช้ประเมินคุณภาพการจัดการศึกษา หลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต ซึ่งเป็ นการประเมินตนเอง (Self Evaluation) และนาผลการ ประเมินมาใช้ประโยชน์ในการหาวิธีการปฏิบตั ิที่เป็ นเลิศ (Best Practice) สาหรับปรับปรุ งและพัฒนา คุณภาพการจัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต เพื่อให้ดชั นีและเกณฑ์ประเมินที่พฒั นาขึ้นสามารถนาไปใช้ประโยชน์ในการควบคุม คุณภาพการจัดการศึกษาหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิตได้อย่างเป็ นรู ปธรรมและบรรลุเกณฑ์ ประเมินตามที่กาหนด ผูบ้ ริ หารสถาบันการศึกษาพยาบาลและผูเ้ กี่ยวข้องควรต้องนาดัชนีและเกณฑ์ ประเมินที่พฒั นาขึ้นไปบริ หารจัดการภายใต้การบริ หารตามแนวคิดการบริ หารคุณภาพ ซึ่งเน้นการ ควบคุมคุณภาพกระบวนการ (Process Control) และทาการปรับปรุ งคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่ งจะช่วยให้ การประกันคุณภาพการศึกษาภายในและการประกันคุณภาพการศึกษาภายนอกบรรลุผลตามมาตรา 47 ที่ได้กาหนดในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542

280


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

บทที่ 9 การวิจยั แบบบูรณาการ 9.1 โครงการวิจัยและแผนงานวิจัย ในการทาวิจยั ของนักวิจยั ก่อนที่จะลงมือปฏิบตั ิน้ นั ก่อนอื่นนักวิจยั ต้องคิดเรื่ องที่จะทา วิจยั ก่อน แล้วจึงลงมือวางแผนการวิจยั ซึ่ งโดยทัว่ ๆ ไปเราเริ่ มด้วยการเขียนข้อเสนอการวิจยั (Research proposal) ในรู ปแบบโครงการวิจยั (Research project) ก่อนเสมอ ทาให้เป็ นความเคยชินและคุน้ เคย สาหรับนักวิจยั ทุกคนที่ขอรับทุน การเริ่ มการวิจยั โดยการเขียนข้อเสนอโครงการวิจยั ที่เป็ น Research project ถือเป็ นข้อกาหนดของแหล่งทุนต่าง ๆ ที่นกั วิจยั จะต้องจัดทายืน่ เสนอขอรับทุนจากแหล่งเงินทุน หรื อยืน่ ข้อเสนอขอเงินจากงบประมาณประจาปี ของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ มาเป็ นเวลานาน ต่อมาพบว่าการทาวิจยั โดยการเขียนขอเสนอการวิจยั ในรู ปแบบโครงการวิจยั หรื อ Research project นั้นมีจุดอ่อนมาก คือ นาไปใช้ประโยชน์ได้นอ้ ย มักเป็ นโครงการวิจยั ขนาดเล็ก ขาด ความเชื่อมโยงกับโครงการอื่น ๆ ที่จะนาไปใช้ประโยชน์ นักวิจยั มักทาการวิจยั ในสาขาใดสาขาหนึ่งไม่ ครบวงจร ผลงานวิจยั จึงเป็ นเสี้ ยวหนึ่งของปั ญหา นาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ เหล่านี้เป็ นต้น จากข้อจากัด ดังกล่าวนี้เองในปี พ.ศ. 2528 ในการจัดทาโครงการวิจยั ของนักวิจยั ที่ยนื่ ขอรับทุนจากสานักงาน คณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ สาหรับการขอรับทุนอุดหนุนการวิจยั ประเภทวิจยั และพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (R&D) นักวิจยั จะต้องจัดทาข้อเสนอการวิจยั ในลักษณะดังนี้ คือ 1) มีเป้าหมายชัดเจน 2) เสนอกระบวนการตั้งแต่ จุดเริ่ มต้ นจนสาเร็จถึงขั้นทีส่ ามารถนาผลจากการวิจัยไป ใช้ ประโยชน์ ในทางปฏิบัติได้ ทนั ที หรือภายในระยะเวลาที่เหมาะสม 3) ครอบคลุมหลายกลุ่มวิชาการ หรือมีลกั ษณะเป็ นสหวิทยาการ แม้วา่ สานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติจะได้กาหนดแนวทางในการให้ทุนใน รู ปแบบใหม่ แต่ดว้ ยความคุน้ เคยกับรู ปแบบการเขียน Research project เมื่อมีโครงการวิจยั ที่จะต้องทา วิจยั หลาย ๆ โครงการในโครงการหนึ่ง ๆ นักวิจยั ก็มกั เรี ยกโครงการวิจยั หลาย ๆ โครงการนั้นเป็ น โครงการวิจยั ย่อย ดังนั้น ในโครงการวิจยั หนึ่ง ๆ (Research project) จะประกอบไปด้วยหลาย ๆ โครงการวิจยั ย่อย (Sub-project) ซึ่ งอาจแสดงได้ดงั นี้

281


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

โครงการวิจัย (Research project) ประกอบด้วย โครงการวิจัยย่ อยที่ 1 (Sub-project 1) โครงการวิจัยย่ อยที่ 2 (Sub-project 2) โครงการวิจัยย่ อยที่ 3 (Sub-project 3) โครงการวิจัยย่ อยที่ 4 (Sub-project 4) ฯลฯ เป็ นต้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 สานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติได้มีการปรุ บปรุ งการให้ทุน เพื่อการนาไปใช้ประโยชน์ โดยการให้ ทุนอุดหนุนการวิจัยประเภทแผนงานวิจัย หรื อชุดโครงการวิจัย (Research Program) ขึ้น (Research Program อาจเรี ยกว่า แผนงานวิจัยหรื อชุดโครงการวิจัย ก็ได้มี ความหมายเหมือนกัน) ลักษณะของแผนงานวิจยั หรื อชุ ดโครงการวิจยั ดังกล่าวนี้ เป็ นการขยายมิติของ ทุนวิจยั ประเภทวิจยั และพัฒนาให้กว้างขึ้นโดยการวิจยั จะต้องมีลกั ษณะการบูรณาการดังนี้ คือ 1) เป็ นการวิจัยเพือ่ นาไปใช้ ประโยชน์ หรือแก้ปัญหาทีส่ าคัญของประเทศหรือนาไปใช้ ในการพัฒนาประเทศ หรือนาไปสู่ การผลิตทางด้ านอุตสาหกรรม 2) เป็ นการวิจัยพร้ อม ๆ กันหลายโครงงการทีส่ ั มพันธ์ หรือสนับสนุนกันรวมเป็ น แผนงานหรือครบวงจรและเป็ นสหวิทยาการ 3) เป็ นแผนงานวิจัยหรือชุ ดโครงการวิจัยทีจ่ ะต้ องดาเนินการในลักษณะบูรณาการ และเกิดองค์ รวม 4) เป็ นแผนงานวิจัยหรือชุ ดโครงการวิจัย ซึ่งอาจดาเนินการโดยภาครัฐและ/หรือ ภาคเอกชนร่ วมด้ วยก็ได้ ดังนั้นในการขอรับทุนอุดหนุนการวิจยั จากสานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ ใน ระยะต่อมา นักวิจยั สามารถที่จะทาการวิจยั โดยเสนอข้อเสนอการวิจยั ได้ท้ งั 2 รู ปแบบ คือ 1) เสนอในลักษณะที่ เป็ นโครงการวิจัย (Research Project) และ 2) เสนอในลักษณะที่เป็ นแผนงานวิจัยหรื อชุดโครงการวิจัย (Research Program) เนื่องจากการเสนอแผนวิจยั ในลักษณะที่เป็ นแผนงานวิจยั หรื อชุดโครงการวิจยั ยังเป็ น ของใหม่อยู่ ทายากกว่าการเขียนข้อเสนอโครงการวิจยั แผนวิจยั ในลักษณะที่เป็ นแผนงานวิจยั หรื อชุด โครงการวิจยั จึงยังมีนอ้ ยอยู่ แต่ในปั จจุบนั นี้ก็มีการจัดทาแผนงานวิจยั เพิ่มมากขึ้นเป็ นลาดับเพื่อให้การ

282


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

จัดทาแผนงานวิจยั หรื อชุ ดโครงการวิจยั แพร่ หลายในหมู่นกั วิจยั หน่วยงานวิจยั สานักงานคณะกรรมการ วิจยั แห่งชาติ จึงได้จดั ให้มีการฝึ กอบรมให้คาแนะนาในการเขียนชุด โครงการวิจยั แก่นกั วิจยั เพื่อ เพิ่มพูนสมรรถภาพของนักวิจยั ให้สูงขึ้นในการทาวิจยั และต่อมาในปี 2544 ในการเสนอของบประมาณ ประจาปี ของส่ วนราชการรัฐวิสาหกิจต่างๆ ที่ทาการวิจยั ซึ่ งจะต้อง จัดทาข้อเสนอการวิจยั ในรู ปของ โครงการวิจยั แผนงานวิจยั หรื อชุ ดโครงการวิจยั ให้สานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติตรวจสอบตาม มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2521 โดยสานักงานฯ จะให้ความสาคัญกับแผนงานวิจยั หรื อ ชุดโครงการวิจยั มากกว่าโครงการวิจยั จากการพิจารณาข้อเสนอการวิจยั ของหน่วยงานวิจยั ต่าง ๆ ในปี 2544 หน่วยงานวิจยั ของรัฐได้จดั ทาข้อเสนอการวิจยั ในลักษณะของชุดโครงการวิจยั มากกว่า 200 แผน งานวิจยั ปี 2545 มีประมาณ 550 แผนงานวิจยั และในปี 2546 มีเป็ นจานวน 687 แผนการวิจยั กล่าวได้วา่ แนวโน้มการจัดทาข้อเสนอการวิจยั ของหน่วยงานของรัฐในการของบประมาณประจาปี ต่อไปนั้นจะอยู่ ในรู ปของแผนงานวิจยั มากยิง่ ขึ้น

9.2 ความหมายของโครงการวิจัยกับแผนงานวิจัยหรือชุดโครงการวิจัย  โครงการวิจัย (Research project) หมายถึง แผนวิจยั ซึ่ งถูกกาหนดขึ้นเพื่อใช้ดาเนินการ ให้บรรลุวตั ถุประสงค์ที่กาหนดไว้ โดยมีรายละเอียดที่เป็ นองค์ประกอบที่สาคัญของโครงการ ได้แก่ คณะผูว้ จิ ยั วัตถุประสงค์ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ระยะเวลา วิธีดาเนินงาน การวิจยั งบประมาณ และ ค่าใช้จ่าย เป็ นต้น  แผนงานวิจัยหรือชุ ดโครงการวิจัย (Research program) หมายถึง แผนซึ่ งถูกกาหนดขึ้น เพื่อดาเนินการวิจยั ประกอบด้วยโครงการวิจยั (Projects) หลาย ๆ โครงการ โดยมีความสัมพันธ์หรื อ สนับสนุนซึ่ งกันและกัน มีลกั ษณะบูรณาการ (Integration) ทาให้เกิดองค์รวม (Holistic Ideology) เป็ น การวิจยั ที่เป็ นสหวิทยา (Multi-disciplines) ครบวงจร (Complete Set) โดยมีเป้ าหมายที่จะนาผลงานวิจยั ไปใช้ประโยชน์ชดั เจน

9.3 แผนปฏิบัติการโครงการวิจัยและแผนงานวิจัยหรือชุดโครงการวิจัย (Operational plan) อาจกล่าวได้วา่ โครงการวิจยั และแผนงานวิจยั หรื อชุ ดโครงการวิจยั ต่างก็เป็ นส่ วนหนึ่ง ของแผนปฏิบตั ิการแต่อยูต่ ่างลาดับชั้นกัน ดังภาพที่ 12

283


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ชั้นของแผน

นโยบาย (Policy)

แผนมโนคติ (Conceptual Plan)

แผน (Plan)

แผนยุทธศาสตร์ (Strategic Plan)

แผนงานหรือชุดโครงการ (Program)

โครงการ (Project)

แผนปฏิบัติการ (Operational Plan)

งาน (Task) หรือ กิจกรรม (Activity)

ภาพที่ 12 ภาพแสดงลาดับชั้นของแผน

9.4 ความแตกต่ างระหว่ างวัตถุประสงค์ ของโครงการวิจัยและแผนงานวิจัยหรือชุดโครงการ วิจัย โครงการวิจยั แต่ละโครงการต่างก็มีวตั ถุประสงค์เฉพาะตัวของแต่ละโครงการ นักวิจยั แต่ละคนต่างก็มีวตั ถุประสงค์ในการวิจยั แตกต่างกันไปตามความสนใจของแต่ละคน ขาดทิศทางรวม จึง ทาให้ขาดความเชื่ อมโยงระหว่างโครงการวิจยั แต่ละโครงการ ผลงานวิจยั จึงนาไปใช้ประโยชน์ได้นอ้ ย 284


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

แผนงานวิจยั หรื อชุดโครงการวิจยั จะประกอบไปด้วยโครงการวิจยั จานวนมาก มี วัตถุประสงค์ที่หลากหลาย แต่วตั ถุประสงค์ที่หลากหลายเหล่านี้ เชื่อมโยงไปสู่ วตั ถุประสงค์เพียงหนึ่ง เดียวของแผนงานวิจยั หรื อชุ ดโครงการวิจยั นั้น

P2

P1

P1 P6

P5

P4

P2

P3 P7

P6

P5

P7

P3 P4

P = โครงการวิจัย

ลักษณะของโครงการวิจัย

ลักษณะของแผนงานวิจัยหรือชุดโครงการวิจัย

9.5 ความแตกต่ างระหว่ างโครงการวิจัยกับแผนงานวิจัยหรือชุดโครงการวิจัย ลักษณะโครงการวิจัย 1. มักเป็ นโครงการวิจยั ขนาดเล็ก 2. มีความเชื่อมโยงกับโครงการวิจยั อื่นน้อย 3. ส่ วนมากนาไปใช้ประโยชน์ในทางวิชาการ 4. ทาการวิจยั สาขาเดียว 5. ไม่ครบวงจรของการวิจยั 6. ขาดเป้ าหมายที่ชดั เจนในการนาไปใช้ ประโยชน์

ลักษณะแผนงานวิจัยหรือชุ ดโครงการวิจัย 1. เป็ นโครงการวิจยั ขนาดใหญ่ 2. มีความเชื่อมโยงกับโครงการวิจยั อื่น ๆ 3. ส่ วนมากนาไปใช้ประโยชน์ในทางพาณิ ชย์ หรื อแก้ปัญหาได้ 4. ทาการวิจยั หลายสาขา 5. ทาการวิจยั ครบวงจร 6. มีเป้ าหมายที่ชดั เจนในการนาไปใช้ประโยชน์ 285


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ลักษณะโครงการวิจัย 7. มีความเป็ นอิสระในการทาวิจยั 8. มีการบริ หารแบบง่าย ๆ 9. การร่ วมมือประสานงานน้อย 10.ใช้งบวิจยั น้อย, คนน้อย 11.การคิดเรื่ องที่จาทาการวิจยั ไม่ยงุ่ ยาก ซับซ้อน ใช้เวลาน้อย 12.หัวหน้าโครงการเป็ นนักวิจยั รุ่ นใหม่, กลาง, อาวุโส

ลักษณะแผนงานวิจัยหรือชุ ดโครงการวิจัย 7. ต้องทาวิจยั ในลักษณะประสานงาน 8. ต้องการความสามารถในการบริ หารงานวิจยั มาก 9. ต้องการความร่ วมมือประสานงานสู ง 10.ใช้งบวิจยั จานวนมาก, คนมาก 11.การคิดเรื่ องที่จะทาการวิจยั ยุง่ ยาก ซับซ้อน ใช้เวลามาก 12.หัวหน้าโครงการเป็ นนักวิจยั ระดับกลาง, อาวุโส

9.6 การสร้ างชุดโครงการวิจัย มีแนวทางดังนี้ 9. 6.1 การได้ มาซึ่ง Topic ของชุ ดโครงการวิจัย สิ่ งแรกที่ทีมงานวิจยั จะต้องร่ วมกันพิจารณาก็คือ การหาปัญหา (Existing Problem) หรื อหัวข้อแผนงานวิจยั หรื อชุดโครงการวิจยั (Research Program Topic) ว่าควรเป็ นเรื่ องอะไรให้ได้ ก่อนเพราะถ้ายังไม่มีชื่อ Topic ของแผนงานวิจยั หรื อชุดโครงการวิจยั แล้วก็ไม่สามารถเขียนข้อเสนอ แผนงานวิจยั ได้ ในการหา Topic แผนงานวิจยั หรื อชุดโครงการวิจยั นั้น สามารถหาได้หลาย ๆ วิธี ใน ที่น้ ี ผูเ้ ขียนขอเสนอการหา Topic ไว้เพื่อประกอบการพิจารณาดังนี้ 1) จัดให้มีการประชุม โดยระดมสมองอย่างเป็ นกันเอง 2) ร่ วมกันพิจารณาปั ญหาที่สาคัญของหน่วยงาน/ของประเทศ 3) พิจารณาจากเป้ าหมาย/วิสัยทัศน์ของหน่วยงานที่นกั วิจยั สังกัดอยู่ 4) พิจารณาจากนโยบายของรัฐบาล 5) พิจารณาจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับปั จจุบนั 6) พิจารณาจากนโยบายและแนวทางงานวิจยั ของประเทศ ฉบับที่ 6 พ.ศ 2545-2549 7) พิจารณาจากนโยบายและแนวทางพัฒนาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 8) พิจารณาจากนโยบายและขอบเขตในการให้ทุนวิจยั ของหน่วยงานที่ให้ทุน (ข้อนี้ สาหรับขอทุนจากแหล่งทุนต่าง ๆ ) 9) พิจารณาจากมติคณะรัฐมนตรี หรื อคาสัมภาษณ์ของรัฐมนตรี เจ้ากระทรวง 286


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

10) พิจารณาจากสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่เป็ นปั ญหาของประเทศที่ประสบอยู่ 9.6.2 ขั้นตอนการประชุ มเพื่อจัดทาแผนงานวิจัยหรือชุ ดโครงการวิจัย จากประสบการณ์ที่ผา่ นมา การระดมสมองเพื่อหา Topic ของแผนงานวิจยั หรื อชุด โครงการวิจยั นั้นมักจะประสบปั ญหามากมายที่จะหาข้อสรุ ปร่ วมกันได้ ผูเ้ ขียนขอเสนอขั้นตอนและวิธี ประชุมโต๊ะกลมที่มีประสิ ทธิ ภาพดังนี้ 1) ร่ วมกันพิจารณา Topic หลัก ที่จะทาการวิจยั 2) ร่ วมกันกาหนด Topic รอง ที่นาไปสู่ วตั ถุประสงค์รวมของ Topic หลักในทุกด้าน 3) Topic รอง ที่ไม่สัมพันธ์เชื่ อมโยงกับ Topic หลักตัดออกไป 4) นา Topic หลัก และ Topic รองมาเขียนเป็ นหัวข้อเรื่ องของแผนงานวิจยั หรื อชุด โครงการวิจยั ที่จะทาวิจยั 5) การพิจารณากาหนดประเด็นหลักใน Topic หลัก และ Topic รองในเรื่ องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 5.1) ชื่อแผนงานวิจยั หรื อชุดโครงการ 5.2) ชื่อโครงการวิจยั ภายใต้กรอบแผนงานวิจยั 5.3) ความสาคัญและที่มาของปัญหาหลักของแผนงานวิจยั 5.4) วัตถุประสงค์และเป้ าหมายหลักของแผนงานวิจยั 5.5) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5.6) กรอบแนวคิดความเชื่ อมโยงระหว่างโครงการวิจยั ต่าง ๆ ที่จะนาไปสู่ แผนงานวิจยั 5.7) ขอบเขตของแผนงานวิจยั 5.8) งบประมาณค่าใช้จ่ายของแผนงานวิจยั ทั้งหมด 6) มอบหมายผูร้ ับผิดชอบเป็ นหัวหน้าแผนงานวิจยั และเป็ นหัวหน้าโครงการวิจยั ใน แต่ละโครงการ 7) มอบหมายให้หวั หน้าแผนงานวิจยั และหัวหน้าโครงการวิจยั ไปจัดทารายละเอียด ตามแบบฟอร์ มการเขียนของสานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ (ในแบบฟอร์ม มีคาแนะนาวิธีการเขียนทุกหัวข้อ) 8) เมื่อหัวหน้าแผนงานวิจยั และหัวหน้าโครงการวิจยั ได้จดั ทารายละเอียดเสร็ จแล้ว ให้นากลับมาพิจารณาร่ วมกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อแก้ไขปรับปรุ งรายละเอียดต่าง ๆ ให้ ถูกต้องเหมาะสม และรวมเป็ นเรื่ องเดียวกัน เมื่อแก้ไขเสร็ จแล้วจัดพิมพ์ใหม่เพื่อให้ ได้เป็ นแผนงานวิจนั ที่สมบูรณ์และถูกต้อง และนาเสนอเพื่อขอรับการสนับสนุน งบประมาณต่อไป 287


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สมมุ ติ ว่ า หลัง จากที่ ไ ด้มี ก ารประชุ ม ร่ ว มกัน พิ จ ารณาจัด ท าแผนงานวิ จ ัย หรื อ ชุ ด โครงการวิจยั แล้วได้ 1 แผนงานวิจยั ดังนี้ (ตัวอย่าง) แผนงานวิจัย เรื่ อง “การวิจัยและพัฒนาครอบครัวไทยให้ มีความสุ ข” ประกอบด้วย โครงการวิจยั 8 เรื่ อง ดังนี้ โครงการ 1 พฤติกรรมของคนในครอบครั วที่ทาํ ให้ ครอบครั วมีความสุข มัน่ คง โครงการ 2 การสร้ างต้ นแบบการอบรมเลีย้ งดูเพื่อให้ เกิดสุขภาพจิตที่ดีในครอบ ครั วประเภทต่ าง ๆ โครงการ 3 การสื่ อสารระหว่ างสมาชิ กในครอบครั วเพื่อพัฒนาให้ มีความ สัมพันธ์ ที่ดีต่อไป โครงการ 4 การส่ งเสริ มการมีส่วนร่ วมของสมาชิ กในครอบครั ว โครงการ 5 การปรั บตัวของครอบครั วต่ อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โครงการ 6 การศึกษาความคาดหวังของครอบครั วและค่ านิยมของครอบครั วใน ปั จจุบัน โครงการ 7 การจัดการทรั พยากรครอบครั ว โครงการ 8 รู ปแบบของครอบครั วผาสุข ตัวอย่างแผนงานวิจยั หรื อชุดโครงการวิจยั ที่สานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่ งชาติได้ให้ ทุนในปี พ.ศ. 2540 และผลงานวิจยั ที่ทาสาเร็ จในปี 2543 ได้แก่ แผนงานวิจัยเพื่อสุ ขภาพผู้สูงอายุ ซึ่ งมี องค์ประกอบของแผนงานวิจยั ดังนี้ “แผนงานวิจัยเพือ่ สุ ขภาพผู้สูงอายุ” (Integrated Health Research Program for the Elderly)  ทีมวิจยั มี ศ.พญ. คุณนันทา มาระเนตร์ รองคณะบดีฝ่ายวิจยั และวิชาการ คณะแพทย์ ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็ นผูอ้ านวยการโครงการวิจยั ที่ปรึ กษา ฝ่ ายบริ หาร ธุ รการและมีหวั หน้าโครงการวิจยั ย่อย 16 คน รวมทีมงานวิจยั ทั้งหมด 102 คน  เวลาที่ใช้ 3 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2540-2543  งบประมาณที่ใช้ 41 ล้านบาทเศษ แผนงานวิจยั นี้แบ่งเป็ น 4 กลุ่ม (Sub-program) ประกอบด้วย 16 โครงการวิจยั (Projects) ดังนี้ 288


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

กลุ่มที่ 1 (Sub-program 1) ระบบสมองและการทรงตัว ประกอบด้วย 7 โครงการ โครงการ 1 การวิจัยเพื่อพัฒนาคู่มือสํารวจอารมณ์ เศร้ าด้ วยตนเองในผู้สูงอายุไทย รศ.พญ. อรพรรณ ทองแดง โครงการ 2 การศึกษาสาเหตุ วิธีวินิจฉัย, มาตรฐานการรั กษาภาวะสมองเสื่ อมใน ผู้สูงอายุไทย ผศ.พญ. วรพรรณ เสนาณรงค์ โครงการ 3 โรคเวียนศีรษะในผู้ป่วยสูงอายุและการบําบัดฟื ้ นฟู รศ.พญ. สุ จิตรา ประสานสุ ข โครงการ 4 การศึกษามาตรฐานการคัดกรอง และความชุกของโรคต้ อหิ นในผู้สูงอายุ รศ.พญ. รจิต ตูจ้ ินดา โครงการ 5 เปรี ยบเทียบผลการตรวจโรคหู และการได้ ยินของผู้สูงอายุ และการรั กษา โดย แพทย์ ทั่วไปกับแพทย์ เฉพาะทาง ศ.พญ. ฉวีวรรณ บุนนาค โครงการ 6 โครงการส่ งเสริ มสุขภาพ และการป้ องกันภาวะหกล้ มและผลแทรกซ้ อน ในผู้สูงอายุโดยแพทย์ เวชศาสตร์ ผ้ สู ูงอายุ ผศ.นพ. ประเสริ ฐ อัสสันตชัย โครงการ 7 การส่ งเสริ มสุขภาพและฟื ้ นฟูผ้ สู ูงอายุโรคข้ อเข่ าเสื่ อม ศ.พญ. อรฉัตร โตษยานนท์ กลุ่มที่ 2 (Sub-program 2) ระบบหลอดเลือดหัวใจ ประกอบด้วย 3 โครงการวิจยั โครงการ 8 การรั กษาความดันโลหิ ตสูงในผู้ป่วยสูงวัย ผศ.นพ. ดารัส ตรี โกศล โครงการ 9 การรั กษาผู้ป่วยจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันเฉี ยบพลัน ผศ.นพ. ดารัส ตรี โกศล โครงการ 10 การรั กษาผู้ป่วยจากโรคหลอดเลือดหั วใจตีบในผู้ป่วยสูงวัย ผศ.นพ. ประดิษฐ์ ปั ญจวีณิน 289


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

กลุ่มที่ 3 (Sub-program 3) ระบบทางเดินหายใจ ประกอบด้วย 3 โครงการ โครงการ 11 วิธีที่เหมาะสมและคุ้มค่ าในการวินิจฉัยโรคปอดอุดกั้นเรื ้อรั งระยะแรก ในผู้สูงอายุ ศ.พญ. คุณนันทา มาระเนตร์ โครงการ 12 ประสิ ทธิ ภาพและประสิ ทธิ ผลของการให้ วคั ซี นป้ องกันไข้ หวัดใหญ่ ใน ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื ้อรั ง ศ.พญ. คุณนันทา มาระเนตร์ โครงการ 13 การศึกษาประสิ ทธิ ภาพการฉี ดวัคซี นป้ องกันโรคไข้ หวัดใหญ่ ให้ แก่ ผู้สูงอายุไทยในชุมชน ผศ.นพ. รุ่ งนิรันดร์ ประดิษฐ์สุวรรณ กลุ่มที่ 4 (Sub-program 4) ระบบทางเดินปัสสาวะ ประกอบด้วย 3 โครงการ โครงการ 14 การป้ องกันกระบังลมหย่ อนในผู้สูงอายุและความถี่ของการตรวจ มะเร็ งปากมดลูก รศ.พญ. มานี ปิ ยะอนันต์ โครงการ 15 การส่ งเสริ มคุณภาพชี วิตผู้ป่วยโรคต่ อมลูกหมากโต รศ.นพ.อนุพนั ธ์ ตันติวงศ์ โครงการ 16 การศึกษาวิธีที่เหมาะสม และคุ้มค่ าในการวินิจฉัยโรคมะเร็ ง ต่ อมลูกหมากใน ผู้ป่วยสูงอายุ รศ.นพ. อนุพนั ธ์ ตันติวงศ์

9.7 ตัวชี้วดั คุณค่ าหรือประโยชน์ ของแผนงานวิจัย แผนงานวิจยั แต่ละแผนงานจะมีคุณค่า หรื อประโยชน์ควรแก่การให้การสนับสนุนทาง การเงินหรื อไม่น้ นั อาจพิจารณาได้ ดังนี้ 9.7.1 คุณค่ าหรือประโยชน์ ทเี่ ป็ นรู ปธรรม คุณค่าและประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นจากปริ มาณ และมูลค่าในการส่ งออก ปริ มาณและมูลค่า ในการนาเข้า ปริ มาณและมูลค่าที่ใช้ในประเทศ โอกาสหรื อลู่ทางใหม่ ๆ ของงานวิจยั นั้น ปริ มาณการใช้ 290


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

วัตถุดิบ ความเชื่ อมโยงของตัวสิ นค้าที่จะก่อให้เกิดการผลิตสิ นค้าอื่นตามมา มูลค่าเพิ่มของสิ่ งที่จะได้รับ หลังจากการวิจยั ประสบผลสาเร็ จ ผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่ งแวดล้อม การประหยัดพลังงาน การจ้าง งาน การประหยัดงบประมาณ ประหยัดการใช้ทรัพยากร การเพิ่มประสิ ทธิ ภาพ ฯลฯ 9.7.2 คุณค่ าหรือประโยชน์ ทเี่ ป็ นนามธรรม คุณค่าและประโยชน์นามธรรมได้แก่ ได้แนวทางแก้ปัญหาที่สาคัญ ช่วยปรับปรุ งวิธีการ แนวทาง รู ปแบบที่เป็ นอยูใ่ ห้เกิดประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิม ช่วยลดค่าใช้จ่าย ลดการสู ญเสี ยทรัพยากรที่มี อยู่ ลดผลกระทบต่อสังคม ช่วยปรับปรุ งมาตรฐานในการดารงชีวติ ของมนุษย์ให้ดีข้ ึน ก่อให้เกิดคุณค่า ทางจิตใจ ฯลฯ

9.8 คุณสมบัติของผู้บริหารแผนงานวิจัย ความสาเร็ จหรื อล้มเหลวในการบริ หารแผนงานวิจยั นั้น ผูบ้ ริ หารแผนงานวิจยั มีส่วน สาคัญเป็ นอย่างยิง่ ในการทางาน ดังนั้นผูบ้ ริ หารแผนงานวิจยั จึงควรมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่สาคัญ ดังนี้คือ 9.8.1 มีวสิ ัยทัศน์ 9.8.2 มีประสบการณ์ในการวิจยั ระดับหัวหน้าโครงการวิจยั มาแล้วหลายโครงการ 9.8.3 มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี 9.8.4 มีความรอบรู ้ทนั ต่อเหตุการณ์ 9.8.5 มีความสามารถระดับสู งในการจัดการงานวิจยั 9.8.6 เป็ นที่ยอมรับของทุกฝ่ าย 9.8.7 มีความสามารถในการประสานความคิด ประสานประโยชน์ และเชื่ อมโยงกับ ทุก ๆ ฝ่ าย 9.8.8 เป็ นผูส้ งั่ และอานวยการที่ดี 9.8.9 ขยันและอุทิศตนให้กบั งาน

9.9 อุปสรรคในการทาชุ ดโครงการวิจัย มีดงั นี้ 9.9.1 การคิดโจทย์การวิจยั ค่อนข้างยาก 9.9.2 การรวบรวมทีมวิจยั และการยอมรับของนักวิจยั ซึ่ งกันและกัน 9.9.3 การร่ วมมือประสานงานระหว่างโครงการวิจยั ต่าง ๆ 291


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

9.9.4 ความสามารถในการบริ หารงานวิจยั ในลักษณะชุดโครงการวิจยั 9.9.5 เวลาที่ใช้ในการพัฒนารายละเอียดของชุดโครงการวิจยั 9.9.6 ใช้งบประมาณมากและใช้เวลาในการวิจยั นาน

9.10 แผนงานวิจัยแบบบูรณาการ รัฐบาลมองปั ญหาแบบองค์รวม (Holistic Approach) หรื อแบบบูรณาการ (Integrate) เพื่อให้เกิดความอยูด่ ีมีสุขของคนไทย แนวนโยบายของรัฐบาลต่อการวิจยั ก็เช่นกัน ควรมองทั้ง Outside In เช่น Global Niche, Bio-Tech, ICT ฯลฯ และ Inside Out ได้แก่ วาระแห่ งชาติ ยุทธศาสตร์ การ พัฒนาประเทศ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ จุดเด่นและศักยภาพของประเทศ ผลการบริ หาร และการพัฒนาประเทศตามนโยบายของรั ฐ รวมทั้ง สถานภาพระบบการวิจยั ของประเทศ เพื่อนามา พิจารณาประกอบการจัดทายุทธศาสตร์ การวิจยั ของประเทศและจัดทาแผนงานวิจยั แบบบูรณาการได้ อย่างมีประสิ ทธภาพ ส่ งผลต่อการวิจยั ที่สามารถสร้างความเป็ นอยูด่ ีมีสุขของคนไทย

9.11 ยุทธศาสตร์ การพัฒนาประเทศกับงานวิจัย ยุทธศาสตร์ การพัฒนาประเทศและการวิจยั เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ควร มี ดังนี้ 9.11.1 จุดเน้ นสาคัญในด้ านการวิจัยและพัฒนา ควรเป็ นการวิจยั แบบบูรณาการที่มี ครอบคลุมทั้ง 2 มิติ คือ ทั้ง Inside Out ในลักษณะของเนื้อหาสาระ (Content) และ Outside In ในลักษณะ ของบริ บท (Context) โดยมุมมองในการวิจยั ควรพิจารณาสิ่ งต่อไปนี้คือ 1) โอกาสในระดับประเทศ เพื่อพิจารณาขีดความสามารถที่จะใช้โอกาสมากน้อย เพียงใด และ 2) ประเทศไทยอยูใ่ นระดับใดในเวทีโลก 9.11.2 แนวคิดเรื่องขีดความสามารถในการแข่ งขัน จะต้องคานึงถึง 1) องค์ประกอบของสิ นค้าส่ ง ซึ่ งจุดเริ่ มต้นที่คานึ งถึ งคือเรื่ องของ Scale Based, Resource Based, Labour Intensive Economies และการวางแผนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วย การสร้างความแตกต่าง (Differentiation) 2) การเลือกแข่งขันในสิ่ งที่ได้เปรี ยบในด้านอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดการทามากได้ผล มาก (More for More) และทาน้อยได้ผลมาก (Less for More) เป้ าหมายหลักเพื่อความชานาญ (Skill) และ Economical Speed เพื่อเป็ นเศรษฐกิจฐานความรู ้ที่จะต้องพิจารณา 4 ระดับ คือ 1) การปรับเปลี่ยน 292


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

กระบวนทัศ น์ใหม่ 2) ลู่ ท างที่ จะดาเนิ นการให้ตรงกับศักยภาพ 3) แกนยุทธศาสตร์ ต้องเป็ นแบบ Competitive Advantage และ 4) ความพร้อมใจทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เป็ นสัญญาประชาคม (Social Contract) 3) การพัฒนาแบบสองแนวทาง (Dual Track Development) ถือว่าเป็ นทางเลือกที่ เหมาะสมคื อ การเชื่ อมโยงระหว่า งเศรษฐกิ จภายใน โดยเฉพาะเศรษฐกิ จรากหญ้า /ระดับท้องถิ่ นกับ เศรษฐกิจโลก ที่เรี ยกว่า “Local Link to Global Reach” 9.11.3 แนวทางการวิจัยและพัฒนารู ปแบบใหม่ ควรดาเนินการดังนี้ 3.1 ควรมีระบบบริ หารจัดการในเรื่ องการควบคุมดูแล (Governing) การอานวยการ (Directing) การบริ หารจัดการ (Managing) และการปฏิบตั ิหรื อการดาเนินงาน (Executing) ที่เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบนั 3.2 ควรมีการสร้างระเบียบวาระ (Agenda) ที่ประสานสอดคล้องร่ วมกันในลักษณะของ การเป็ นระเบียบวาระแห่งชาติ (National Agenda) ในเรื่ องของการพัฒนาบุคลากร (Personal Agenda) และวาระการจัดองค์กร (Organizational Agenda) เพื่อจะเป็ นปัจจัยหลัก (Key Driver) ในการดาเนินการ และบริ หารงานวิจยั ของประเทศให้บรรลุเป้ าหมายได้

9.12 การวิจัยแบบบูรณาการ : แนวคิด เป้ าหมาย และเกณฑ์ การพิจารณา การวิจยั แบบบูรณาการ หมายถึ ง การวิจยั ที่สร้ างความเชื่ อมโยงของส่ วนต่างๆให้เป็ น เนื้ อเดี ยวกัน และเกิดประโยชน์สูงสุ ดและมูลค่า/คุ ณค่าเพิ่ม ตัวอย่างของการบูรณาการ ได้แก่ การต้มยา และยาสมุนไพร ที่จะต้องนาวัตถุ ดิบมาผสมผสานให้เป็ นเนื้ อเดี ยวกัน การวิจยั แบบบูรณาการจึงควรมี ลักษณะสาคัญคือ 1) การวิจยั ที่เชื่อมโยงส่ วนต่างๆให้เป็ นเนื้ อเดียวกัน 2) สร้างมูลค่า และ 3) เกิดผลดีกบั ประชาชนจานวนมาก ผลลัพธ์ ที่สาคัญของการวิจยั แบบบูรณาการจาเป็ นต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ การ จัดสรรงบประมาณการวิจยั ของประเทศ พ.ศ. 2547 คือ 1) เพิ่มศักยภาพในการแข่ งขัน นอกจากนี้ ตอ้ งส่ งเสริ มความร่ วมมือด้วย เพราะสังคม ต้องการความร่ วมมือมาก เป็ นการแข่งขันเชิงบูรณาการ 2) การเสริ มสร้ างการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ อาจมีการตั้งคณะกรรมการ หรื อ คณะทางานโครงการพัฒนาที่ยงั่ ยืน เพื่อส่ งผลดีต่อสังคมทุกส่ วน 3) การพัฒนาสั งคม การแก้ ไขปัญหาความยากจนและการยกระดับคุณภาพชี วติ 293


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

4) ความมั่นคงของชาติ การต่ างประเทศ และการอานวยความยุติธรรม 5) การบริหารจัดการประเทศ จะใช้แบบเดิมหรื อแบบใหม่ ยุท ธศาสตร์ ก ารจัดสรรงบประมาณฯ พ.ศ. 2547 ใน 5 เรื่ องดัง กล่ า วเป็ นการ ประนี ประนอมอย่างหนึ่ งของโครงสร้างงบประมาณในแง่ของ Program Structure ของงบประมาณและ การปรับเปลี่ยนระบบงบประมาณ

9.13

เกณฑ์ การพิจารณาแผนงานวิจัยแบบบู รณาการของหน่ วยงานภาครั ฐที่เสนอขอ งบระมาณ ประจาปี งบประมาณ พ.ศ. 2548

รัฐบาลได้กาหนดยุทธศาสตร์ เพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาทุกส่ วนของสังคมไทย โดยการ วิจยั มีบทบาทสาคัญและเป็ นพื้นฐานในการสร้างความรู ้และนวัตกรรมเพื่อพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการ สร้ างความเป็ นอยู่ที่ดี คุ ณภาพชี วิตของคนในชาติสูงขึ้นอย่างยัง่ ยืน รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถใน การแข่งขันด้านต่างๆ ของประเทศ ซึ่ งต้องการความร่ วมมือจากทุกฝ่ ายทั้งภาครัฐ เอกชน และหรื อภาค ประชาชนเพื่อเชื่ อมโยงการวิจยั ตั้งแต่ระดับท้องถิ่ น ระดับภาค สู่ ระดับประเทศ และสู่ ระดับนานาชาติ ตามลาดับ เพื่อประโยชน์ในการเพิม่ มูลค่าทางเศรษฐกิจ คุณค่าทางสังคมและวัฒนธรรม ดัง นั้นการจัดท าแผนงานวิจยั แบบบู รณาการ จึ ง มี ค วามจาเป็ นต้องให้สอดคล้องกับ แนวคิดยุทธศาสตร์ การพัฒนาประเทศ รวมทั้งมิติใหม่ในการบริ หารจัดการงบประมาณของประเทศเป็ น สาคัญ การกาหนดประเด็นการวิจัยแบบบูรณาการ ให้พิจารณาจากปั จจัย ดังนี้ 9.13.1 ความจาเป็ น (need) 9.13.1.1 ยุทธศาสตร์และแผนงานวิจยั แบบบูรณาการระยะปานกลาง (พ.ศ. 2548-2550) 1) ความมัน่ คงแห่งชาติ (security) การต่างประเทศ และการอานวยความ ยุติธรรม 2) การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน (competitiveness) ของประเทศ 3) การพัฒนาสังคม ทุนสังคม (social capital) การแก้ไขความยากจน และ การยก ระดับคุณภาพชีวิต 4) การพัฒนาที่ยงั่ ยืน (sustainability) ของประเทศ 5) การบริ หารจัดการประเทศ

294


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

9.13.1.2 ข้อตกลงของรัฐบาลไทยในกรอบทวิภาคี พหุ ภาคี เช่น FTA, ASEAN, APEC, UN ฯลฯ 9.13.1.3 การศึกษาข้อเสนอแผนงานของต่างประเทศที่ประเทศไทยจะต้องทาการเจรจา ต่อรอง 9.13.1.4 การพัฒนานโยบายใหม่ในกรอบ paradigm shift 9.13.2 ความเร่ งด่ วน (emergency) 9.13.2.1 ความผูกพันตามเงื่อนของเวลา (deadlines) 9.13.2.2 ความรุ นแรงของผลกระทบ ทั้งด้านบวกและด้านลบ 9.13.2.3 เป็ นกลไกสาคัญในการบริ หารนโยบาย (mechanism) 9.13.2.4 เพิ่มศักยภาพในการบริ หารนโยบายของรัฐ ในสถานการณ์เร่ งด่วน (capacity building) 9.13.3 ความสามารถในการบริหาร (servicability) 9.13.3.1 มีลกั ษณะเป็ นยุทธศาสตร์ กล่าวคือ เป็ นข้อเสนอการวิจยั ที่ครอบคลุมหลาย หน่วยงาน หลากหลายมิติ รวมทั้งต้องมองภาพการดาเนิ นงานอย่างเป็ นองค์ รวมด้วย 9.13.3.2 ไม่ซ้ าซ้อนกับภารกิจของหน่วยงานปฏิบตั ิที่ได้รับงบประมาณเพียงพออยูแ่ ล้ว เช่น กองทุนเพื่อการส่ งออก สถาบันอาหาร สาบันแฟชัน่ สถาบันยานยนต์ กองทุนอนุรักษ์พลังงาน (กระทรวงพลังงาน) 9.13.4 ผลตอบแทน/ผลงานทีเ่ กิดขึน้ จริง (returns/end results) 9.13.4.1 มีความพร้อมในการนาผลวิจยั ไปใช้ตดั สิ นใจ/ปฏิบตั ิการ (end results) 9.13.4.2 พัฒนาผลการวิจยั เชิงนโยบาย/แผนงานได้ (programming) 9.13.4.3 ระบุผลได้/ผลเสี ย ชัดเจน 9.13.4.4 เกิดผลทันที (immediately of benefits) 9.13.4.5 สามารถขจัดปั ญหา หรื อการขาดข้อต่อ (missing link) ของกิจกรรมต่างๆ ใน การบรรลุเป้ าหมายความสาเร็ จ 9.13.4.6 ผูว้ จิ ยั เต็มใจดาเนิ นการต่อเนื่ องในการอธิ บาย ชี้แจง ทาประชาพิจารณ์ สร้าง และพัฒนานโยบายและแผนงาน จนถึงขั้นปฏิบตั ิการ 9.13.5 ความรับผิดชอบของคณะผู้วจิ ัย 9.13.5.1 ความเข้าใจในยุทธศาสตร์รวมที่เชื่ อมโยงกันในรู ปแบบบูรณาการของรัฐ 9.13.5.2 ความเข้าใจแผนงานในแต่ละยุทธศาสตร์ ของรัฐ 295


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

9.13.5.3 ความสามารถอธิ บายวงจรขั้นตอนการดาเนินงานในแต่ละงาน จนได้รับผล สุ ดท้าย (end results) 9.13.5.4 ติดตามผลการดาเนินงานตามแผนงานเดิม สามารถสรุ ปสถานการณ์เพื่อ พัฒนานโยบายประเด็นปั ญหาการขาดข้อต่อ (missing link) ได้ 9.13.5.5 มีความพร้อมในการนาเสนอแบบ interactive ตลอดเวลาการวิจยั และภายหลัง การวิจยั จนก่อให้เกิดรู ปธรรมในการปฏิบตั ิงานและเข้าช่วยเหลือ แก้ไข สถานการณ์ต่อผูบ้ ริ หารนโยบายสื่ อมวลชนและสาธารณชนได้ 9.13.5.6 สามารถนาเสนอภาพแบบองค์รวมได้ชดั เจน 9.13.5.7 เน้นหนักมาตรการแก้ไขปั ญหาโดยเครื่ องมือกลไกทุกด้าน เช่น การบริ หาร การเจรจาต่อรองระบบราคา การเชื่อมต่อ 9.13.5.8 ใช้วธิ ี การวิจยั ทุกสาขาที่เกี่ยวข้อง 9.13.6 ประเด็นการวิจัย 9.13.6.1 ความสอดคล้องกับหลักการและเหตุผล ในการจัดทาแผนงบประมาณ เชิง บูรณาการ (เอกสารประกอบการปรับปรุ งชี้ แจงแนวทางการจัดทางบประมาณ รายจ่ายประจาปี 2547 ต่อผูบ้ ริ หารระดับปลัดกระทรวง หัวหน้าส่ วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ วันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2546 ความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ ของชาติ นโยบายระยะเร่ งด่วน 3 ปี (2548-2550) 9.13.6.2 ความเร่ งด่วนของปั ญหา ผลกระทบทางบวกและทางลบต่อสภาวะเศรษฐกิจ สังคม ความมัน่ คง ความสงบเรี ยบร้อย ความสามารถในการแข่งขัน ทุนทาง สังคม ความยากจนของประชาชน เสถียรภาพของประเทศ เพื่อก่อให้เกิดการ พัฒนาที่ยงั่ ยืน 9.13.6.3 ข้อผูกพันของรัฐบาลและรัฐไทยในเชิงนโยบายรัฐบาล ข้อตกลงต่างๆ กับ ต่างประเทศในกรอบพหุ ภาคี กรอบภูมิภาค กรอบข้อตกลงสองฝ่ าย เช่น WTO, APEC, ASEAN, UN, ACD, FTAs เป็ นต้น 9.13.6.4 ความรุ นแรงของปั ญหา เช่น ปั ญหาที่ระบุในแผนยุทธศาสตร์ ความมัน่ คงของ ชาติ การต่างประเทศและการอานวยความยุติธรรม ยุทธศาสตร์ เพื่อเพิ่ม ศักยภาพในการแข่งขันของประเทศยุทธศาสตร์ การพัฒนาสังคม การแก้ไข ปัญหาความยากจน และยกระดับคุณภาพชีวิต ยุทธศาสตร์การเสริ มสร้างการ พัฒนาที่ยงั่ ยืนของประเทศ ยุทธศาสตร์ การบริ หารจัดการประเทศ เป็ นต้น 9.13.6.5 กลไกที่จะก่อให้เกิดผลประโยชน์/ลดผลเสี ยหายต่อประชาชน 9.13.6.6 ประเด็นการวิจยั ที่เป็ นข้อต่อของปั ญหา (missing link) 296


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

9.14 เกณฑ์ การพิจารณาแผนงานวิจัยแบบบูรณาการ การพิจารณาแผนงานวิจยั แบบบูรณาการตามมิติใหม่ของการบริ หารจัดการงบประมาณ ของประเทศ มีเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้ 9.14.1 ความสอดคล้ องกับยุทธศาสตร์ และแผนงานวิจัยแบบบูรณาการระยะปานกลาง (พ.ศ. 2548-2550) 5 ยุทธศาสตร์ ได้ แก่ 1) ยุทธศาสตร์ ความมั่นคงของชาติ การต่ างประเทศ และการอานวยความ ยุติธรรม โดยส่ งเสริ มความมัน่ คง สนับสนุนกิจการต่างประเทศ เพื่อคุม้ ครองและรักษาผลประโยชน์ของประเทศ รวมทั้งการพัฒนาระบบและกระบวนการยุติธรรมให้ได้รับความเชื่อมัน่ จากประชาชน 2) ยุทธศาสตร์ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่ งขันของประเทศ โดยสร้างขีดความสามารถ ของระบบเศรษฐกิจในการผลิตสิ นค้าและบริ การที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด สิ นค้าระหว่าง ประเทศ มุ่งเน้นการเพิ่มผลิ ตภาพการผลิ ต การพัฒนาสิ นค้าและบริ การของไทยเพื่อตอบสนองสิ นค้า เฉพาะ เช่น เป็ นครัวของโลก เป็ นต้น การพัฒนาสิ นค้าเกษตรและอุตสาหกรรมที่มีศกั ยภาพและ/หรื อมี โอกาสทางการตลาดสู ง การพัฒนาวิสาหกิ จขนาดกลางและขนาดย่อม การพัฒนาการค้าและบริ การ ส่ งเสริ มการส่ งออกเชิ งรุ ก การพัฒนาด้านการท่องเที่ยว ส่ งเสริ มการวิจยั พัฒนาและนวัตกรรม รวมทั้ง สร้ า งบทบาทของไทยในเวที ค วามร่ วมมื อระหว่า งประเทศ และการปรั บระบบการเงิ นการคลัง เพื่ อ สนับสนุนการแข่งขันของประเทศ 3) ยุทธศาสตร์ การพัฒนาสั งคม การแก้ ไขปั ญหาความยากจนและยกระดับ คุณภาพชี วิต โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปั ญหาความยากจน สนับสนุ นการแก้ไขปั ญหาหนี้ สินเกษตรกร ฟื้ นฟูเกษตรกร ผูเ้ ข้าร่ วมโครงการพักชาระหนี้ อย่างต่อเนื่ อง บรรเทาปั ญหาการว่างงานและพัฒนาแรงงาน ปฏิรูประบบ การศึ ก ษาและเติ ม ปั ญ ญาให้ สั ง คม สนับ สนุ น กิ จ กรรมด้า นวัฒ นธรรมและนัน ทนาการ พัฒ นาการ สาธารณสุ ขและระบบประกันสุ ขภาพถ้วนหน้า เสริ มสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การจัด ระเบียบสังคม รวมทั้งป้ องกันและแก้ไขปั ญหายาเสพติด 4) ยุทธศาสตร์ การเสริ มสร้ างการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ โดยมุ่งเน้นให้เศรษฐกิจใน ระดับ ฐานรากมี ค วามเข้ม แข็ง พัฒนาความเข้ม แข็ง ทางวิทยาศาสตร์ แ ละเทคโนโลยี พัฒ นาระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่ อสาร เพิ่มประสิ ทธิ ภาพและยกระดับคุ ณภาพของระบบขนส่ งและ โครงสร้างพื้นฐาน ฟื้ นฟูธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อม พัฒนาและใช้พลังงานอย่างมีประสิ ทธิ ภาพ 5) ยุทธศาสตร์ การบริหารจัดการประเทศ โดยการเสริ มสร้างระบบการบริ หารกิจการ บ้านเมืองที่ดี การเพิ่มขีดความสามารถในการบริ หารจัดการของท้องถิ่น การพัฒนาระบบการเมือง การ 297


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

พัฒนาและเร่ งรัดการบริ หารจัดการทางการเงินการคลังภาครัฐ และหนี้ภาครัฐ 9.14.2 มีศักยภาพในการเป็ นศูนย์ กลาง (hub) สู ง พิจารณาถึงศักยภาพของหน่วยงานวิจยั ที่เป็ นหน่วยงานหลักรับผิดชอบข้อเสนอการวิจยั แบบบูรณาการ รวมทั้งศักยภาพในการทาหน้าที่เป็ นศูนย์กลาง (hub) หรื อศูนย์ประสานงานกลางกับ หน่วยงานวิจยั อื่นทั้งในและต่างประเทศ 9.14.3 ผลกระทบของงานวิจัยเป็ นตัวคูณส่ งผลสะเทือนสู ง พิจารณาผลกระทบของงานวิจยั ที่ คาดว่าจะเกิ ดขึ้ นมี แนวโน้มส่ งผลสะเทื อนสู งเป็ น ทวีคู ณต่อสังคมชาติ และนานาชาติ ซึ่ งผลกระทบของงานวิจยั อาจจะแสดงในเชิ ง ปริ ม าณ หรื อเป็ น งานวิจยั ที่มีการต่อยอด ที่ ใช้ตน้ ทุ นต่ า แต่ได้ผลตอบแทนสู ง หรื อเป็ นงานวิจยั ที่ผลิ ตได้มากตามความ ต้องการของตลาด และทาให้ได้รับผลตอบแทนสู งตามไปด้วย เป็ นต้น 9.14.4 งานวิจัยทีก่ ่ อให้ เกิดมูลค่ าเพิม่ ทางเศรษฐกิจ และคุณค่ าเพิม่ ทางสั งคมและ วัฒนธรรม เป็ นงานวิ จ ัย ที่ ก่ อ ให้ เ กิ ด การสร้ า งมู ล ค่ า เพิ่ ม ทางเศรษฐกิ จ ซึ่ งประกอบด้ว ยด้า น เกษตรกรรม อุ ตสาหกรรม การท่ อ งเที่ ย ว และการพาณิ ช ย์ หรื อการสร้ า งคุ ณค่ า เพิ่ ม ทางสั ง คมและ วัฒนธรรม เป็ นการสร้ างปั ญญาให้กบั ประชาชนโดยรวมให้ฉลาดมากขึ้นกว่าเดิ ม รวมทั้งมี คุณธรรม จริ ย ธรรม ศี ล ธรรม ฯลฯ ในแต่ ล ะขั้นตอนของการวิจยั และพัฒนาอย่างเป็ นระบบและครบวงจรใน รู ปแบบห่วงโซ่มูลค่า (value chain) ด้วย 9.14.5 งานวิจัยมีความเชื่ อมโยงจากท้ องถิ่น สู่ ระดับประเทศ และนานาชาติได้ งานวิจยั นั้น เริ่ มต้นวิจยั และพัฒนาจากท้องถิ่ น ซึ่ งเป็ นภูมิปัญญาไทยและมีแนวโน้ม สามารถจะขยายการพัฒนาไปสู่ ระดับชาติ และนานาชาติได้ 9.14.6 การมีส่วนร่ วมของภาคเอกชน และ/หรือภาคประชาชน เป็ นงานวิ จ ัย ที่ มี ห น่ ว ยงานร่ ว มด าเนิ น การหลายหน่ ว ยงานภายใต้เ ป้ าหมายและ วัตถุประสงค์เดียวกัน ซึ่ งประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และ/หรื อภาคประชาชนที่ เกี่ยวข้อง โดยการร่ วมกันคิดร่ วมกันทาการวิจยั และพัฒนากันเป็ นคณะ ทั้งในประเทศและ ต่างประเทศในเชิ ง หุ ้นส่ วน (partnerships) โดยการสมทบค่าใช้จ่ายในการวิจยั ละพัฒนา และ/หรื อมี ส่วนร่ วมในการนา ผลการวิจยั และพัฒนาที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปั ญหาและพัฒนาประเทศอย่างเป็ นรู ปธรรมที่ แท้จริ งต่อไป

298


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

9.15 รายละเอียดของหัวข้ อในการจัดทาแบบเสนอแผนงานวิจัยแบบบูรณาการ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 9.15.1 ชื่อแผนงานวิจัย ระบุชื่อแผนงานวิจยั (Research Program) ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 9.15.2 หลักการและเหตุผล ระบุหลักการและเหตุผลในการทาแผนงานวิจยั เรื่ องนี้ วา่ มีความจาเป็ น มีความเร่ งด่วน มีประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจริ งและให้ผลตอบแทนคุ ม้ ค่ากับงบประมาณที่รัฐบาลใช้ลงทุนในการทาวิจยั มี การบริ หารจัดการแผนงานวิ จยั แบบองค์ร วม โดยครอบคลุ ม หลายหน่ วยงาน หลากหลายมิ ติ และ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ และแผนงานวิจยั แบบบูรณาการระยะปานกลาง (พ.ศ. 2548-2550) 9.15.3 วิสัยทัศน์ แสดงให้เห็นภาพที่กระทรวงคาดหวังให้เกิดขึ้นในอนาคต จากการทาแผนงานวิจยั เรื่ อง นี้ โดยมีพ้ืนฐานอยูบ่ นความจริ งในปั จจุบนั เชื่ อมโยงวัตถุประสงค์ ภารกิจ ค่านิ ยม และความเชื่ อมัน่ เข้า ด้วยกัน 9.15.4 พันธกิจ แสดงให้เห็นถึงภารกิจหลักของแผนงานวิจยั ที่จะต้องดาเนิ นการเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ ของแผนงานวิจยั เรื่ องนี้ 9.15.5 เป้าหมายเชิ งยุทธศาสตร์ ระบุให้เห็ นปริ มาณของผลที่ตอ้ งการให้เกิ ดขึ้นทั้งในระดับผลผลิ ต ผลลัพธ์ ที่กาหนด ในระยะเวลาดาเนินการของแผนงานวิจยั เรื่ องนี้ เพื่อให้บรรลุผลสาเร็ จตามยุทธศาสตร์ ที่กาหนด 9.15.6 วัตถุประสงค์ ระบุ ให้เห็ นถึ งข้อความที่ แสดงถึ งความสาเร็ จที่ ตอ้ งการให้เกิ ดขึ้ นในขณะดาเนิ นการ ภายในระยะเวลาที่กาหนดและสามารถตรวจวัดได้ 9.15.7 กลยุทธ์ ระบุให้เห็นถึงวิธีการดาเนินการวิจยั อย่างเป็ นรู ปธรรม เพื่อให้บรรลุวตั ถุประสงค์ตามที่ กาหนดไว้ 9.15.8 ระยะเวลาดาเนินการ ระบุระยะเวลาที่ใช้ในการวิจยั ตั้งแต่เริ่ มต้นจนสิ้ นสุ ดแผนงานวิจยั โดยระบุเดือน ปี ที่ 299


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

เริ่ มต้นถึงเดือน ปี ที่สิ้นสุ ด 9.15.9 เป้าหมายผลผลิตและตัวชี้วดั ระบุ ป ริ มาณของสิ่ งของหรื อบริ การที่ เ ป็ นรู ปธรรมซึ่ งได้ จ ากการวิ จ ัย เพื่ อ ให้ บุคคลภายนอกสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ ทั้งนี้ ตอ้ งระบุตวั บ่งชี้ สภาพการบรรลุ เป้ าหมายในระดับ ผลผลิ ตที่ เกิ ดขึ้นในด้านความประหยัด ประสิ ทธิ ภาพ ประสิ ทธิ ผล ทั้งเชิ งปริ มาณ คุ ณภาพ เวลา และ ต้นทุน 9.15.10 เป้าหมายการให้ บริการ (ผลลัพธ์ ) และตัวชี้วดั ระบุปริ มาณของผลที่เกิดขึ้นหรื อผลต่อเนื่ องจากผลผลิต ที่มีต่อผูม้ ีส่วนได้ส่วนเสี ยและ หรื อผูใ้ ช้ อาทิ ชุ มชน องค์กร ประเทศชาติ สภาพแวดล้อ ม ฯลฯ ทั้งนี้ ต้องระบุตวั บ่งชี้ สภาพการบรรลุ เป้ าหมายในระดับผลลัพธ์ ที่เกิ ดขึ้ นในด้านความประหยัด ประสิ ทธิ ภาพ ประสิ ทธิ ผล ทั้งเชิ งปริ มาณ คุณภาพ เวลา และต้นทุน 9.15.11 หน่ วยงานและผู้รับผิดชอบหลัก ระบุชื่อหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบทาการวิจยั และผูร้ ับผิดชอบ พร้อมทั้งสถานที่ และ หมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อสะดวก 9.15.12 หน่ วยงานสนับสนุนและผู้รับผิดชอบ ระบุ ชื่อหน่ วยงานสนับสนุ นที่ ร่วมกันทาการวิจยั และผูร้ ั บผิดชอบ พร้ อมทั้งสถานที่ และหมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อสะดวก 9.15.13 แผนการใช้ จ่ายงบประมาณ จัดทาแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยจาแนกตามหน่วยงานหลัก หน่วยงานสนับสนุ น เป้ าหมายผลผลิต เป้ าหมายการให้บริ การ (ผลลัพธ์) พื้นที่เป้ าหมาย งาน/โครงการและกิจกรรม เป็ นต้น 9.15.14 รายงานผลการดาเนินงานวิจัย จัดทารายงานความก้าวหน้าของการดาเนิ นงานวิจยั ทุกๆ 6 เดือน และจัดทารายงานการ วิจยั ฉบับสมบูรณ์เมื่อสิ้ นสุ ดระยะเวลาดาเนินการวิจยั

9.16 ความแตกต่ างระหว่ างแผนงานวิจัยและแผนงานวิจัยแบบบูรณาการ แผนงานวิจยั หรื อชุ ดโครงการวิจยั นั้นเกิดมานานแล้ว แต่การจัดทาข้อเสนอการวิจยั ใน รู ปแผนงานวิจยั นั้นยังมีน้อยอยู่ เพราะขาดแคลนผูบ้ ริ หารงานวิจยั ที่จะมาเป็ นหัวหน้าแผนงานวิจยั หรื อ 300


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ขาดผูป้ ระสานงานวิจยั ที่ดี มีความรู ้ความสามารถ แต่ในช่วงหลังปี 2544 การจัดทาข้อเสนอการวิจยั ในรู ป แผนงานวิจยั หรื อชุดโครงการวิจยั ก็มีมากขึ้นเป็ นลาดับ ในช่วงปี 2546-2547 รัฐบาลมองปั ญหาการวิจยั แบบองค์รวม หรื อการบูรณาการ ดังนั้น การจัดทาแผนงานวิจยั ในระยะนี้จึงใช้คาว่า “แผนงานวิจัยแบบบูรณาการ” ความแตกต่างระหว่างแผนงานวิจัย และแผนงานวิจัยแบบบู รณาการนั้น ในหลักการ แล้ว ผูเ้ ขี ย นเห็ นว่า เหมื อนกัน เพี ย งแต่ ว่า แผนงานวิจยั แบบบู รณาการนั้น เน้น 5 ยุทธศาสตร์ ตาม ยุทธศาสตร์การจัดทางบประมาณของประเทศ และมีเกณฑ์พิจารณา 6 เกณฑ์ ตามที่กล่าวมาแล้ว ส่ วนแผนงานวิจยั นั้น ใช้เอกสาร นโยบาย และแนวทางการวิจยั ของชาติ ฉบับ ที่ 6 (พ.ศ. 2545-2549) เป็ นหลักในการพิจารณาข้อเสนอการวิจยั

301


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

302


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

บรรณานุกรม กนิษฐา แสนแก้ว (2543). โครงการเสนอวิทยานิพนธ์ เรื่ อง การปรับแต้มเฉลี่ยสะสมระดับมัธยมศึกษา ตอนปลายด้วยคะแนนความถนัดทางการเรี ยน, การเปรียบเทียบระหว่างวิธีการปรับเทียบแบบ อีควิเปอร์ เซ็นไทล์ , เชิงเส้ นตรงและไออาร์ ที. สาขาการศึกษา (เอกสารอัดสาเนา) กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ (2521). ประมวลศัพท์ บัญญัติวชิ าการศึกษาของกรมวิชาการกรุ งเทพ รุ่ งเรื องสาส์นการพิมพ์. กัลยา วานิชย์บญั ชา (2545). การวิเคราะห์ สถิติ : สถิติสาหรับการบริหารและวิจัย. กรุ งเทพ : โรงพิมพ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กาญจนา วัธนสุ นทร (2545). การเขียนโครงการวิจยั , ประมวลสาระชุ ดวิชาการวิจัยและสถิติทางการ ศึกษา (24701) เล่มที่ 3 หน่ วยที่ 10. บัณฑิตศึกษา สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ . คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ประชาชน. หนังสื อประกอบงานครบรอบ 20 ปี คณะกรรมการรณรงค์ เพือ่ ประชาธิปไตย (ครป.) กรุ งเทพฯ จรู ญ มิลินทร์และคณะ (2505). พจนานุกรมศัพท์ การศึกษา. กรุ งเทพฯ : โรงพิมพ์วฒั นาพานิช. จุมพล สวัสดิยากร (2526). หลักและวิธีการวิจัยทางสั งคมศาสตร์ . กรุ งเทพฯ : โรงพิมพ์สุวรรณภูมิ. ฉันทนา บรรพศิริโชติ (2541). ความขัดแย้งในสังคมไทย : ช่องว่างของการรับรู ้และความเข้าใจ, เอกสาร ประกอบการสั มมนาเรื่ อง ความขัดแย้ งในสั งคมไทยยุควิกฤตเศรษฐกิจ. กรุ งเทพฯ. คณะ รัฐศาสตร์ , มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ . ฉันทนา บรรพศิริโชติ (2543). การพัฒนาและความขัดแย้ง : ทางเลือกบนเส้นทางประชาธิปไตย. วิถีสังคมไท สรรนิพนธ์ ทางวิชาการ เนื่องในวาระหนึ่งศตวรรษ ปรีดี พนมยงค์ . จรัญ โฆษณานันท์, บก. กรุ งเทพฯ : เรื อนแก้วการพิมพ์. ชลิดาภรณ์ ส่ งสัมพันธ์ (2541). การเมืองของความขัดแย้ง : รัฐไทยกับคนเล็กคนน้อยในสังคมไทย. เอกสารประกอบการสั มมนา เรื่อง ความขัดแย้ งในสั งคมไทยยุควิกฤตเศรษฐกิจ. คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ . ชัยพร วิชชาวุธ (2519). การวิจัยเชิงจิตวิทยา. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั สารมวลชนจากัด. 303


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ (2542). คาสั่ง 66/43 รัฐ, ปั ญหาวัฒนธรรมของรัฐกับการจัดการความขัดแย้ง. ศตวรรษใหม่, รัฐศาสตร์ สาร. 21(3) : 174 –196. ชูศรี วงศ์รัตนะ (2544). เทคนิคการใช้ สถิติเพือ่ การวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุ งเทพ : มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ ประสานมิตร. ธวัชชัย วรพงศธร (2540). หลักการวิจัยทางสาธารณสุ ขศาสตร์ . พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุ งเทพ : โรงพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นงลักษณ์ วิรัชชัย (2537). ความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้น, สถิติวเิ คราะห์ สาหรับการวิจัยทางสั งคม ศาสตร์ และพฤติกรรมศาสตร์ . กรุ งเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นฤมล ทับจุมพล และคณะ (2539). การเคลื่อนไหวของขบวนการประชาชนในชนบทกับการปราบ ปรามของรัฐ (ช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516-ปัจจุบนั ), รัฐศาสตร์ สาร. 19(3) : 68 – 90. นิธิ เอียวศรี วงศ์ (2543). การเมืองของคนจน, 2 ทศวรรษ ครป. บนเส้นทางการเมืองภาคประชาชน. หนังสื อประกอบงานครบรอบ 20 ปี คณะกรรมการรณรงค์ เพือ่ ประชาธิปไตย (ครป.) กรุ งเทพฯ : คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย(ครป.). นิภา ศรี ไพโรจน์ (2531). หลักการวิจัยเบือ้ งต้ น. กรุ งเทพฯ. บริ ษทั ศึกษาพร จากัด. นิศา ชูโต (2545). การวิจัยเชิ งคุณภาพ. กรุ งเทพ : แม็ทส์ปอยท์. บุญศรี พรหมมาพันธ์ และคณะ (2544). การวิจัยและสถิติทางการศึกษา. บัณฑิตศึกษา สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ . โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุ โขทัยธรรมาธิราช. บุญใจ ศรี สถิตย์นรากูร (2542). การพัฒนาดัชนีรวมของคุณภาพการจัดการศึกษาสาหรั บหลักสู ตร พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต. วิทยานิพนธ์ปริ ญญาการศึกษาดุษฎีบณั ฑิต สาขาการวิจยั และ พัฒนาหลักสู ตร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ. บุญใจ ศรี สถิตย์นรากูร (2544). ผลของการใช้ ระบบสนับสนุนและการให้ ความรู้ ในสตรี กลุ่มเสี่ ยงต่ อ ความรู้ และพฤติกรรมการดูแลตนเองเพือ่ ป้องกันโรคกระดูกพรุ น. กรุ งเทพฯ : คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บุญใจ ศรี สถิตย์นรากูร (2545). ระเบียบวิธีการวิจัยทางพยาบาลศาสตร์ . พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุ งเทพฯ. โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 304


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

บุญชม ศรี สะอาด (2538). วิธีการทางสถิติสาหรับการวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุ งเทพ : สุ วรี ิ ยาสาส์น. บุญธรรม กิจปรี ดาบริ สุทธิ์ (2540). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสั งคมศาสตร์ . กรุ งเทพฯ : โรงพิมพ์และทา ปกเจริ ญผล. บุญธรรม กิจปรี ดาบริ สุทธ์ (2537). เทคนิคการสร้ างเครื่องมือรวบรวมข้ อมูล. กรุ งเทพฯ : โรงพิมพ์และ ทาปกเจริ ญผล. บุญธรรม กิจปรี ดาบริ สุทธ์ (2540). ปทานุกรมการวิจัย. กรุ งเทพฯ : คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. บุญธรรม กิจปรี ดาบริ สุทธ์ (2533). การวิจัย การวัด และประเมินผล. กรุ งเทพ : โครงการการศึกษาต่อ เนื่อง. มหาวิทยาลัยมหิดล. ประคอง กรรณสู ต (2539). สถิติเพือ่ การวิจัย คานวณโปรแกรมสาเร็จรู ป. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุ งเทพ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ประภาส ปิ่ นตบแต่ง (2541). การเมืองบนท้องถนน 99 วันสมัชชาคนจน. กรุ งเทพฯ : ศูนย์วจิ ยั และผลิต ตารา มหาวิทยาลัยเกริ ก. ประวิต เอราวรรณ์ (2539). การเสริมสร้ างอานาจครู : การวิจัยแบบสนทนากลุ่ม. วิทยานิพนธ์ปริ ญญา มหาบัณฑิต สาขาวิจยั การศึกษา บัณฑิตวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย . ปุรชัย เปี่ ยมสมบูรณ์ (2530). การวิจัยประเมินผล. กรุ งเทพฯ : การพิมพ์พระนคร. พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2540). วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์ และสั งคมศาสตร์ . กรุ งเทพ : สานักงาน ทดสอบทางการศึกษา และจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒประสานมิตร. ไพฑูลย์ สิ นลารัตน์ และ สาลี ทองธิวร (2530). การวิจัยทางการศึกษา : หลักและวิธีการสาหรับนักวิจัย. กรุ งเทพฯ : สานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ยุทธ ไกยวรรณ์ (2546). สถิติเพือ่ การวิจัย. กรุ งเทพ: พิมพ์ดี. ยุวดี กาญจนัยฐิติ และ สมใจ วิชยั ดิษฐ์ (2531). “การวิจยั เชิงทดลอง” เอกสารการสอนชุ ดวิชาสถิติ และ การวิจัยทางคหกรรม กรุ งเทพฯ : สานักพิมพ์สุโขทัย. เรื องอุไร ศรี นิลทา (2535). ระเบียบวิธีวจิ ัย. สานักส่ งเสริ มฝึ กอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จตุจกั ร กทม. 10903. 305


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ (2531). หลักการวิจัยทางการศึกษา. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั ศึกษาพร จากัด. สถาบันวิจยั และพัฒนา มหาวิทยาลัยสุ โขทัยธรรมาธิราช. (2543) แบบเสนอโครงการวิจัย เรื่องความพอ เพียงกับการอยู่รอดของสั งคมชนบทไทย. กรุ งเทพฯ. สมหวัง พิธิยานุวฒั น์ (2524). การวิจัยเชิงบรรยาย. กรุ งเทพฯ : โรงพิมพ์และทาปกเจริ ญผล. สวัสดิ์ สุ คนธรังษี (2525). ทฤษฎีและหลักวิชาวิจัยสาหรับรัฐประศาสนศาสตร์ . กรุ งเทพฯ : โรงพิมพ์ เรื อนแก้วการพิมพ์. สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั (2537). บทบาทของการวิจัย : การท้าทายของทศวรรษใหม่ . กรุ งเทพฯ : สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั . สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2542). สานักนายกรัฐมนตรี . พระราชบัญญัติการศึกษา แห่ งชาติ พ.ศ. 2542. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พริ กหวานกราฟริ ค จากัด. สานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ (2545). รางวัลสภาวิจัยแห่ งชาติ ประจาปี 2545. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พี แอนด์ แอดส์ จากัด. สานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ (2546). รางวัลสภาวิจัยแห่ งชาติ ประจาปี 2546. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พี แอนด์ แอดส์ จากัด. สุ ชาติ ประสิ ทธิรัฐสิ นธุ์ (2536). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสั งคมศาสตร์ . กรุ งเทพ : โรงพิมพ์ภาพพิมพ์. สุ ชาติ ประสิ ทธิ์ รัฐสิ นธุ์ (2538). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสั งคมศาสตร์ . กรุ งเทพ : สถาบันบัณฑิตพัฒน บริ หารศาสตร์ . สุ ชาติ ประสิ ทธิรัฐสิ นธุ์ (2538). เทคนิคการวิเคราะห็ตัวแปรหลายตัวสาหรับการวิจัยทางสั งคมศาสตร์ และพฤติกรรมศาสตร์ : หลักการ วิธีการ และการประยุกต์ . กรุ งเทพ : สถาบันบัณฑิตพัฒน บริ หารศาสตร์ . สุ พตั รา บุญประเสริ ฐ (2542). การพัฒนาผลิตภัณฑ์ อาหารว่างจากจาวมะพร้ าว. วิทยานิพนธ์วทิ ยา ศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อการพัฒนาทรัพยากร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล. สุ ภางค์ จันทวานิช (2533). วิธีวจิ ัยเชิ งคุณภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุ งเทพฯ : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. 306


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สุ รพันธ์ อรัญนารถ (2537). การดาเนินการทางวินัยข้ าราชการพลเรือนสามัญโดยไม่ เป็ นธรรมในขั้น ตอนการวินิจฉัยสั่ งการ. วิทยานิพนธ์นิติศาสตร์ มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราม คาแหง. สุ วฒั น์ วัฒนวงศ์ (2527). หลักการวิจัยทางการศึกษา. กรุ งเทพฯ O.S. Publishing House Co., Ltd. อคิน รพีพฒั น์, ม.ร.ว. และคณะ (2536). คู่มือการวิจัยเชิ งคุณภาพเพือ่ งานพัฒนา. ขอนแก่น : สถาบัน วิจยั และพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น. อดุลย์ วิริยเวชกุล (2541). ดัชนีบ่งชี้คุณภาพบัณฑิตศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พี. เอ.ลีฟวิง่ จากัด. อัมพร อู่รัชตมาศ (2539). ความต้ องการใช้ บริการสารนิเทศของอาจารย์สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สั งกัด มหาวิทยาลัยของรัฐ วิทยานิพนธ์อกั ษรศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาบรรณารักษ์ศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. Adellah , F. and levine, E. (1965) Better patent care through nursing research , New York : The Macmillan Publishing Company , Inc. Anastasi, A. (1976). Psychological testing. New York : Macmillan Co., Inc. Ashworth, A. and Harvey, R.C. (1994). Assessing quality in future and higher education. London : Jessica Kingsley Publishers. Astin, A.W. (1982). Why not try some new ways of measuring Quality?, Educational Record. 10-15. Atherton, C. R. and Klemmack, D. L. (1982). Research methods in social work. Toronto :D.C.Heath and Company. Baker, T. L. (1988). Doing social research. New York : McGraw - Hill Book Company. Basadat, L. P. (1988). Political ideologies : Their origins and impact. 3rd ed. Englewood Cliffs, NewJersey : Prentice Hall. Berg, B. L. (1989). Qualitative research methods for the social sciences. Boston : Alleyn and Bacon. Best, J. W. (1981). Research in education. New Jersey : Prentice - Hall Inc. 307


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

Black, T. R. (1999). Doing quantitative research in the social sciences : An integrated approach to research design, measurement and statistics.London : Sage. Burns, N. and Grove, S.K. (1997). The practice of nursing research : Conduct,Critique & Utilization. 3rded. Philadelphia : W.B. Saunders. Cheng, Y.C. and Tam, W.M. (1997). Multi-models of quality in education. Quality Assurance in Education, 5(1) : 22-31. Comton , N.H. and Hall , O.A. (1972). Foundation of home economies research : A human ecology approach. Minnesota :Burgess Publishing Company. Cowman, S. (1996). Student evaluation : a performance indicator of quality in nurse education. Journal of Advance Nursing. 24(3) : 625-632. Frank-Stromberg, M. (ed) (1988). Instrument for clinical nursing research. Connecticut: Appleton & Lange. Gay , L.R. (1981). Educational research. 2 th ed., Columbus , Ohio : Charles E . Merrill Publishing Co. A Bell Howell Company. Grant, J.S. and Davis, L.L. (1997). Focus on qualitative methods selection and use of content experts for instrument development, Research in Nursing & Health. 20 : 269-274. Gravetter, F.J., and Wallnau, L.B. (1992). Statistics for the behavior sciences : A first course for students of psychology and education. 3rd ed. St. Paul : West Publishing Company. Hill Y, Janet MG. and Kate D. (1996). Nursing access to higher education : a quality product, Journal of Nursing Education. 4(2) : 21-27. Jacobson, J.F., Anderson, R.E. and Tatham, R.L. (1988). Evaluating instrument for use in clinical nursing research in M. Frank-Stromborg, (ed.) Instrument For Clinical Nursing Research. Connecticut : Appleton & Lange. Johnstone J.N. (1981). Indicators of Education Systems. London : Kogan Page.

308


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

Kerlinger , F.N. (1964). Foundations of behavioral research. New York : Holt , Rinchart and Winston Inc. Kerlinger, Fred N. (1986). Foundations of benavioral research. New York :Holt, Rinehart and Winston, Inc. Kiess, Harold O. (1989). Statistical concepts for the benavioral sciences. Boston : Allyn And Bacon. Kirk, J. And Miller, M. L. (1986). Realiability and validity in qualitative research. 2nd .ed. Beverly Hills : Sage Publication. Krejcie, R. V. and Morgan. D.W. (1970). Determining sample size for research Activities. Educational and Psychological Measurement. 80 : 607-610. Leedy, P.D. (1985). Practical Research : Planning and design. 3rd ed, New York: Mcmillan Publishing Co. Leedy, P.D. (1980). Practical research : Planning and design. New York : Macmillan Publishing Company. Linestone, H.A. and Turoff, M. (1975). The delphi method : Techniques and application. Massachusetts : Addison-Wesley. Lynn, M. (1986). Determination and quantification of content validity. Nursing Research. 35 : 382-385. Marshall, C. and Rossman (1989). G.B. Designing qualitative research. Newbury Park : Sage Publications. McDowell, I and Newell, C. (1987). Measuring health : A guide to rating scales and questionnaires. New York : Oxford University Press. Miles, M.B. and Micheal, H.A. (1987). Qualitative data analysis. 6th ed., Beverly Hills : Sage Publications.

309


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

Missingham, B.D. (2002). The assembly of the poor in Thailand : From Local Struggles to Nation Protest Movements. Morgan, D.L. (1988). Focus group as qualitative research. Newbury Park : Sage Publications. Moustakas, C. (1994). Phenomenological research methods. Thousand Oaks : Sage Publications. Patton, M.Q. (1990). Qualitative evaluation and research methods. 2nd ed. Newbury Park : Sage Publications. Popham, W.J. (1993). Educational evaluation. Boston : Alym and Bacon. Robson, Colin. (1995). Real world research. London : Blackwell Publishers Ltd. Rose, D. (1990). Living the ethnographic life. Newbury Park : Sage Publications. Schumacher, A. and McMillan, J.H. Research in education : A conceptual introduction. New York : Harper Collins College Publishers. Smith, H.W. (1981). Strategies of social research. New Jersey : Prentice- Hall, Inc. Stewart, D. and Shamdasani, P.N. (1990). Focus group : Theory and practice. Newbury Park : Sage Publications. Tiden, V., Nelson, C., and May, B. (1990). Use of quantitative methods to enhance content validity, Nursing Research. 39 : 172-175. Turney, B.L. and Robb, G.P. (1971). Research in education : An Introduction. Illinois : The Dry den Press Inc. Vackell , E.L. (1983). Educational research. New York : The Macmillan Publishing Company , Inc., Publishing Company , Inc. Van Dalen, D.B. (1979). Understanding educational research : an Introduction. New York : McGraw – Hill Book company.

310


สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตําราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

Vroeijenstijn AI. (1995). Improvement and accountability: navigating between scylla and charybdis, guide for external quality assessment in higher education. London : Jessica Kingsley Publishers. Waltz, C.F., Strickland, O., and Lenz, E. (1991). Measurement in nursing research. 2nd ed. Philadelphia:F.A. Davis. Warren, Carol A.B. (1998). Gender issues in field research. Newbury Park : sage Publications. Washington, C.C., and Moss, M. (1988). Pregmatic aspects of establishing interrater reliability in Research, Nursing Research. 37b(3) : 190-191. Weirrma, W. Research methods in education : An Introduction. 3 rd ed., al Etasea. Whyte, W.F. (1991). Participatory action research. Newbury Park : Sage Publications. Wimmer, R.D. and Dominick, J.R. (1994). Mass media research. Belmont, California : Wadsworth Publishing Company. Wolcott, H.F. (1990). Wruting up qualitative research. Newbury Park : Sage Publications. Yamane, T. (1970). Statistics : An introduction analysis. 2nd. ed. New York: Harper & Row. Yaremko,R.M., Harari, H., Harrison, R.C. and Lynn. (1982). Referenc handbllk of research and statistical methods in psychology. New York : Harper & Row, Publishers.

311


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ภาคผนวก

313


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

314


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ภาคผนวก ก ตารางสถิติ ตารางที่ 1 พืน้ ทีใ่ ต้ โค้ งแห่ งการแจกแจงปกติ

ตารางที่ 2 ค่ าวิกฤตของการทดสอบ

t (Distribution of t) 315


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 2 (ต่ อ) 316


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

317


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 3 ค่ าวิกฤตของการทดสอบไคสแควร์ (2 - Test)

318


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

319


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

320


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

321


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

322


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

323


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

324


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 6 ค่ าวิกฤตของ r ในการทดสอบความสุ่ ม (Runs Test)

325


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 7 ค่ าวิกฤตของ D ในการทดสอบโคโมโกรอฟ สไมนอฟ

326


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 8 ค่ าความน่ าจะเป็ นทีไ่ ด้ จากค่ าตา่ สุ ดของ U ในการทดสอบของแมนวิทนีย์

327


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 8 (ต่ อ)

328


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 8 (ต่ อ)

329


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 9 ค่ าวิกฤตของ U ในการทดสอบของแมนวิทนีย์ 9.1 Critical Values of U for a One-Tailed Test at .001 or for a Two-Tailed Test at .002

330


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

9.2 Critical Values of U for a One-Tailed Test at .01 or for a Two-Tailed Test at .02

331


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

9.3 Critical Values of U for a One-Tailed Test at .025 or for a Two-Tailed Test at .05

332


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

9.4 Critical Values of U for a One-Tailed Test at .05 or for a Two-Tailed Test at .10

333


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ตารางที่ 10 ค่ าของ H และความน่ าจะเป็ นในการทดสอบครัสคัล - วอลลิส

334


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ภาคผนวก ข จรรยาบรรณนักวิจยั ความเป็ นมา ปั จจุบนั นี้ผลการวิจยั มีความสาคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็ นอย่างยิง่ หาก งานวิจยั ที่ปรากฏสู่ สาธารณชน มีความเที่ยงตรง นาเสนอสิ่ งที่เป็ นความจริ งสะท้อนให้เห็นสภาพปั ญหา ที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริ ง ก็จะนาไปสู่ การแก้ไขปั ญหาได้ตรงจุดและมีประสิ ทธิ ภาพ การที่จะให้ได้มาซึ่ ง งานวิจยั ที่มีคุณภาพแล้ว คุณธรรมหรื อจรรยาบรรณของนักวิจยั เป็ นปั จจัยสาคัญยิง่ ประการหนึ่ง คณะกรรมการสภาวิจยั แห่งชาติ สาขาสังคมวิทยาตระหนักถึงความสาคัญของ จรรยาบรรณนักวิจยั ดังกล่าว จึงได้ริเริ่ มดาเนิ นการยกร่ างจรรยาบรรณนักวิจยั เพื่อเป็ นมาตรฐานเดียวกัน ทั้งประเทศเพื่อให้นกั วิจยั นักวิชาการ ในสาขาวิชาการต่าง ๆ สามารถนาไปปฏิบตั ิได้ โดยผ่าน กระบวนการขอรับความคิดเห็นจากนักวิจยั ผูท้ รงคุณวุฒิในสาขาวิชาการต่าง ๆ และได้ปรับปรุ งให้ เหมาะสมรัดกุมชัดเจนจนกระทั้งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริ หารสภาวิจยั แห่งชาติ ประกาศใช้เป็ นหลักเกณฑ์ควรประพฤติของนักวิจยั ทัว่ ไป วัตถุประสงค์ เพื่อเป็ นแนวทางในการประพฤติปฏิบตั ิของนักวิจยั ทัว่ ไป โดยมีลกั ษณะเป็ นข้อพึง สังวรมากกว่าจะเป็ นข้อบังคับ อันจะนาไปสู่ การเสริ มสร้างจรรยาบรรณในหมู่นกั วิจยั ต่อไป นิยาม นักวิจัย หมายถึง ผูท้ ี่ดาเนิ นการค้นคว้าหาความรู ้อย่างเป็ นระบบ เพื่อตอบประเด็นที่ สงสัย โดยมีระเบียบวิธีอนั เป็ นที่ยอมรับในแต่ละศาสตร์ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่ งครอบคลุมทั้งแนวคิด มโนทัศน์ และวิธีการที่ใช้ในการรวบรวมและวิเคราะห์ขอ้ มูล จรรยาบรรณ หมายถึง หลักความประพฤติอนั เหมาะสมแสดงถึงคุณธรรม และ จริ ยธรรมในการประกอบอาชีพ ที่กลุ่มบุคคลแต่ละสาขาวิชาชีพประมวลขึ้นไว้เป็ นหลัก เพื่อให้สมาชิก ในสาขาวิชาชีพนั้น ๆ ยึดถือปฏิบตั ิ เพื่อรักษาชื่อเสี ยงและส่ งเสริ มเกียรติคุณของสาขาวิชาชีพของตน

335


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

จรรยาบรรณนักวิจัย หมายถึง หลักเกณฑ์ควรประพฤติปฏิบตั ิของนักวิจยั ทัว่ ไป เพื่อให้การดาเนิ นงานวิจยั ตั้งอยูบ่ นพื้นฐานของจริ ยธรรมและหลักวิชาการที่เหมาะสม ตลอดจนประกัน มาตรฐานของการศึกษาค้นคว้าให้เป็ นไปอย่างสมศักดิ์ศรี และเกียรติภูมิของนักวิจยั จรรยาบรรณนักวิจัย : แนวทางปฏิบัติ 1. นักวิจัยต้ องซื่อสั ตย์ และมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจัดการ นักวิจยั ต้องมีความซื่ อสัตย์ต่อตนเองไม่นาผลงานของผูอ้ ื่นมาเป็ นของตนไม่ลอกเลียน งานของผูอ้ ื่น ต้องให้เกียรติและอ้างถึงบุคคลหรื อแหล่งที่มาของข้อมูลที่นามาใช้ในงานวิจยั ต้องซื่ อตรง ต่อการแสวงหาทุนวิจยั และมีความเป็ นธรรมเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ได้จากการวิจยั แนวทางปฏิบตั ิ 1.1 นักวิจยั ต้องมีความซื่ อสัตย์ต่อตนเองและผูอ้ ื่น  นักวิจยั ต้องมีความซื่ อสัตย์ในทุกขั้นตอนของกระบวนการวิจยั ตั้งแต่การเลือก เรื่ องที่จะทาการวิจยั ตลอดจนการนาผลงานวิจยั ไปใช้ประโยชน์  นักวิจยั ต้องให้เกียรติผอู ้ ื่น โดยการอ้างถึงบุคคลหรื อแหล่งที่มาของข้อมูลและ ความคิดเห็นที่นามาใช้ในการวิจยั 1.2 นักวิจยั ต้องซื่ อตรงต่อการแสวงหาทุนวิจยั  นักวิจยั ต้องเสนอข้อมูลและแนวคิดอย่างเปิ ดเผยและตรงไปตรงมาในการเสนอ โครงการวิจยั เพื่อขอรับทุน  นักวิจยั ต้องเสนอโครงการวิจยั ด้วยความซื่ อสัตย์โดยไม่ขอทุนซ้ าซ้อน 1.3 นักวิจยั ต้องมีความเป็ นธรรมเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ได้จากการวิจยั  นักวิจยั ต้องจัดสรรสัดส่ วนของผลงานอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่นาผลงาน ของผูอ้ ื่นมาอ้างว่าเป็ นของตน 2. นักวิจัยต้ องตระหนักถึงพันธกรณีในการทาวิจัย ตามข้ อตกลงที่ทาให้ กบั หน่ วยงานทีส่ นับสนุนการ วิจัยและต่ อหน่ วยงานทีต่ นสั งกัด นักวิจยั ต้องปฏิบตั ิตามพันธกรณี และข้อตกลงการวิจยั ที่ผเู ้ กี่ยวข้องทุกฝ่ ายยอมรับ ร่ วมกัน อุทิศเวลาทางานวิจยั ให้ได้ผลที่ดีที่สุดและเป็ นไปตามกาหนดเวลา มีความรับผิดชอบไม่ละทิ้ง งานระหว่างดาเนิ นการ

336


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

แนวทางปฏิบตั ิ 2.1 นักวิจยั ต้องตระหนักถึงพันธกรณี ในการทาวิจยั  นักวิจยั ต้องศึกษาเงื่อนไข และกฎเกณฑ์ของเจ้าของทุนอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อป้ องกันความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง  นักวิจยั ต้องปฏิบตั ิตามเงื่อนไข ระเบียบและกฎเกณฑ์ ตามข้อตกลงอย่าง ครบถ้วน 2.2 นักวิจยั ต้องทุ่มเทเวลา  นักวิจยั ต้องทุ่มเทความรู ้ ความสามารถและเวลาให้กบั การทางานวิจยั เพื่อให้ ได้มาซึ่งผลงานวิจยั ที่มีคุณภาพและเป็ นประโยชน์ 2.3 นักวิจยั ต้องมีความรับผิดชอบในการทาวิจยั  นักวิจยั ต้องมีความรับผิดชอบไม่ละทิ้งงานโดยไม่มีเหตุผลอันควร และส่ งงาน ตามกาหนดเวลา ไม่ทาสัญญาข้อตกลงจนก่อให้เกิดความเสี ยหาย  นักวิจยั มีความรับผิดชอบในการจัดทารายงานการวิจยั ฉบับสมบูรณ์ เพื่อให้ผล อันเกิดจากการวิจยั ได้ถูกนาไปใช้ประโยชน์ต่อไป 1. นักวิจัยต้ องมีพนื้ ฐานความรู้ ในสาขาวิชาการที่ทาวิจัย นักวิจยั ต้องมีพ้ืนฐานความรู ้ในสาขาวิชาที่ทาวิจยั อย่างเพียงพอและมีความรู ้ความ ชานาญ หรื อมีประสบการณ์เกี่ยวเนื่องกับเรื่ องที่ทาวิจยั เพื่อนาไปสู่ งานวิจยั ที่มีคุณภาพ และเพื่อป้ องกัน ปัญหาการวิเคราะห์ การตีความ หรื อการสรุ ปที่ผิดพลาด อันอาจก่อให้เกิดความเสี ยหายต่องานวิจยั แนวทางปฏิบตั ิ 1.1 นักวิจยั ต้องมีพ้ืนฐานความรู ้ ความชานาญหรื อประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่ องที่ทาวิจยั อย่างเพียงพอเพื่อนาไปสู่ งานวิจยั ที่มีคุณภาพ 1.2 นักวิจยั ต้องรักษามาตรฐานและคุณภาพของงานวิจยั ในสาขาวิชาการนั้น ๆ เพื่อ ป้ องกันความเสี ยหายต่อวงการวิชาการ 2. นักวิจัยต้ องมีความรับผิดชอบต่ อสิ่ งทีศ่ ึกษาวิจัย ไม่ ว่าจะเป็ นสิ่ งทีม่ ีชีวติ หรือไม่ มีชีวติ นักวิจยั ต้องดาเนินการด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และเที่ยงตรงในการทาวิจยั ที่ เกี่ยวข้องกับคน สัตว์ พืช ศิลปวัฒธรรม ทรัพยากร และสิ่ งแวดล้อม มีจิตสานึกและมีปณิ ธานที่จะอนุรักษ์ ศิลปวัฒนธรรมทรัพยากรและสิ่ งแวดล้อม 337


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

แนวทางปฏิบตั ิ 4.1 การใช้คนหรื อสัตว์เป็ นตัวอย่างทดลอง ต้องทาในกรณี ที่ไม่มีทางเลือกอื่นเท่านั้น 4.2 นักวิจยั ต้องดาเนิ นการวิจยั โดยมีจิตสานึกที่จะไม่ก่อความเสี ยหายต่อคน สัตว์ พืช ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากร และสิ่ งแวดล้อม 4.3 นักวิจยั ต้องมีความรับผิดชอบต่อผลที่จะเกิดแก่ตนเอง การศึกษาและสังคม

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน

3. นักวิจัยต้ องเคารพศักดิ์ และสิ ทธิของมนุษย์ ทใี่ ช้ เป็ นตัวอย่ างในการวิจัย นักวิจยั ต้องไม่คานึงถึงผลประโยชน์ทางวิชาการจนละเลย และขาดความเคารพใน ศักดิ์ศรี ของเพื่อนมนุษย์ตอ้ งถือเป็ นภาระหน้าที่ที่จะอธิ บายจุดมุ่งหมายของการวิจยั แก่บุคคลที่เป็ นกลุ่ม ตัวอย่าง โดยไม่หลอกลวงหรื อบีบบังคับ และไม่ละเมิดสิ ทธิ ส่วนบุคคล แนวทางปฏิบตั ิ 5.1 นักวิจยั ต้องมีความเคารพในสิ ทธิของมนุษย์ที่ใช้ในการทดลองโดยต้องได้รับความ ยินยอมก่อนทาการวิจยั 5.2 นักวิจยั ต้องปฏิบตั ิต่อมนุษย์และสัตว์ที่ใช้ในการทดลองด้วยความเมตตาไม่คานึง ถึงแต่ผลประโยชน์ทางวิชาการจนเกิดความเสี ยหายที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง 5.3 นักวิจยั ต้องดูแลปกป้ องสิ ทธิ ประโยชน์และรักษาความลับของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การทดลอง 4. นักวิจัยต้ องมีอสิ ระทางความคิด โดยปราศจากอคติในทุกขั้นตอนของการทาวิจัย นักวิจยั ต้องมีอิสระทางความคิดต้องตระหนักว่า อคติส่วนตนหรื อความลาเอียงทาง วิชาการ อาจส่ งผลให้มีการบิดเบือนข้อมูลและข้อค้นพบทางวิชาการ อันเป็ นเหตุให้เกิดผลเสี ยหายต่อ งานวิจยั แนวปฏิบตั ิ 6.1 นักวิจยั ต้องมีอิสระทางความคิด ไม่ทางานวิจยั ด้วยความเกรงใจ 6.2 นักวิจยั ต้องปฏิบตั ิงานวิจยั โดยใช้หลักวิชาการเป็ นเกณฑ์และไม่มีอคติมาเกี่ยวข้อง 6.3 นักวิจยั ต้องเสนอผลงานวิจยั ตามความเป็ นจริ ง ไม่จงใจเบี่ยงเบนผลการวิจยั โดย หวังประโยชน์ส่วนตน หรื อต้องการสร้างความเสี ยหายแก่ผอู ้ ื่น 338


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

7. นักวิจัยพึงนาผลงานวิจัยไปใช้ ประโยชน์ ในทางทีช่ อบ นักวิจยั พึงเผยแพร่ ผลงานวิจยั เพื่อประโยชน์ทางวิชาการและสังคมไม่ขยายผลข้อค้นพบ จนเกินความเป็ นจริ ง และไม่ใช้ผลงานวิจยั ไปในทางมิชอบ แนวทางปฏิบตั ิ 7.1 นักวิจยั พึงมีความรับผิดชอบและรอบคอบในการเผยแพร่ ผลงานวิจยั 7.2 นักวิจยั พึงเผยแพร่ ผลงานวิจยั โดยคานึงถึงประโยชน์ทางวิชาการ และสังคม ไม่ เผยแพร่ ผลงานวิจยั เกินความเป็ นจริ งโดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็ นที่ต้ งั 7.3 นักวิจยั พึงเสนอผลงานวิจยั ตามความเป็ นจริ งไม่ขยายผลข้อค้นพบโดยปราศจาก การตรวจสอบ ยืนยันในทางวิชาการ 8. นักวิจัยพึงเคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อนื่ นักวิจยั พึงมีใจกว้าง พร้อมที่จะเปิ ดเผยข้อมูลและขั้นตอนการวิจยั ยอมรับฟังความ คิดเห็นและเหตุผลทางวิชาการของผูอ้ ื่น และพร้อมที่จะปรับปรุ งแก้ไขงานวิจยั ของตนให้ถูกต้อง แนวทางปฏิบตั ิ 8.1 นักวิจยั พึงมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ยินดีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างความเข้าใจ ในงานวิจยั กับเพื่อนร่ วมงานและนักวิชาการอื่น ๆ 8.2 นักวิจยั พึงยอมรับฟัง แก้ไขการทาวิจยั และการเสนอผลงานวิจยั ตามข้อแนะนาที่ดี เพื่อสร้างความรู้ที่ถูกต้องและสามารถนาผลงานวิจยั ไปใช้ประโยชน์ได้ 9. นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต่ อสั งคมทุกระดับ นักวิจยั พึงมีจิตสานึกที่จะอุทิศกาลังสติปัญญาในการทาวิจยั วิชาการ เพื่อความเจริ ญและประโยชน์สุขของสังคมและมวลมนุษยชาติ

เพื่อความก้าวหน้าทาง

แนวทางปฏิบตั ิ 9.1 นักวิจยั พึงไตร่ ตรองหาหัวข้อการวิจยั ด้วยความรอบคอบและทาการวิจยั ด้วยจิต สานึกที่จะอุทิศกาลังปั ญญาของตนเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการ เพื่อความเจริ ญ ของสถาบันและประโยชน์สุขต่อสังคม

339


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

9.2 นักวิจยั พึงรับผิดชอบในการสร้างสรรค์ผลงานวิชาการ เพื่อความเจริ ญของสังคม ไม่ทาการวิจยั ที่ขดั กับกฎหมาย ความสงบเรี ยบร้อย และศีลธรรมอันดีของ ประชาชน 9.3 นักวิจยั พึงพัฒนาบทบาทของตนให้เกิดประโยชน์ยงิ่ ขึ้น อุทิศเวลาและน้ าใจกระทา การส่ งเสริ มพัฒนาความรู ้ จิตใจ พฤติกรรมของนักวิจยั รุ่ นใหม่ให้มีส่วนสร้างสรรค์ ความรู ้แก่สังคมสื บไป

340


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ภาคผนวก ค ประวัตผิ ้เู ขียนและผลงาน ชื่อ-นามสกุล ดร.ติน ปรัชญพฤทธิ์ ตาแหน่ งทางราชการ ศาตราจารย์ การศึกษา - ปริ ญญาตรี (เกียรตินิยม) สาขาการฑูต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - ปริ ญญาโท สาขา รัฐประศาสนศาสตร์ (M.P.A.)Wayne State University - ปริ ญญาโท สาขา ปรัชญา (M.Phil.) Kansas University - ปริ ญญาเอก สาขา รัฐศาสตร์ และรัฐศาสนศาสตร์ (Ph.D.) Kansas University. - สมาชิกสมาคมเกียรตินิยมทางรัฐศาสตร์ แห่งสหรัฐอเมริ กา (Pi Sigma Alpha) ตาแหน่ งทีส่ าคัญในอดีต - รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตาแหน่ งปัจจุบัน - กรรมการบริ หารสภาวิจยั แห่ งชาติ - ประธานคณะกรรมการสภาวิจยั แห่งชาติสาขารัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ เคยเป็ นวิทยากรกลุ่มงานฝึ กอบรมการวิจัย หลักสู ตร - การบริ หารงานวิจยั ระดับหัวหน้าโครงการ เคยได้ รับรางวัลจากสภาวิจัยแห่ งชาติ - นักวิจยั ดีเด่นแห่งชาติ - นักวิจยั ดีเยีย่ ม (ผูว้ จิ ยั ร่ วม) สถานทีต่ ิดต่ อปัจจุบัน (ปี 2547) - โทรศัพท์ (02) 3186363 (01) 6893682 - โทรสาร (02) 7186261 - ที่บา้ น 225 (39/65) ซอยนวศรี (รามคาแหง 21) ถนนรามคาแหง เขตวังทองหลาง กทม. 10310

341


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ชื่อ-นามสกุล บุญเฉิด โสภณ ตาแหน่ งทางราชการ ที่ปรึ กษาด้านการวิจยั ทางสังคมศาสตร์ การศึกษา - ปริ ญญาตรี เกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ - ปริ ญญาโท การบริ หาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริ หารศาสตร์ ตาแหน่ งทีส่ าคัญในอดีต - ผูอ้ านวยการกองส่ งเสริ มการวิจยั - ผูอ้ านวยการกองวิเคราะห์โครงการและประเมินผล การดูงานในต่ างประเทศ - ประเทศญี่ปุ่น,จีน, เกาหลี, มาเลเซีย, สิ งคโปร์ , ฮ่องกง, อินเดีย, อิสราเอล ฯลฯ ความเชี่ยวชาญพิเศษ - ด้านการบริ หารงานวิจยั สถานทีต่ ิดต่ อปัจจุบัน (ปี 2547) - ที่ทางาน สานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ 196 ถนนพหลโยธิน เขตจตุจกั ร กรุ งเทพฯ 10900 - โทรศัพท์ (02) 5798688 , (02) 5588071 (07) 0472410 โทรสาร (02) 5798285 E-mail bcs@nrct.go.th , booncherd6@yahoo.com

342


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ชื่อ-นามสกุล เภสัชกรหญิง ดร. ปลื้มจิตต์ โรจนพันธุ์ ตาแหน่ งทางราชการ รองศาสตราจารย์ประจาภาควิชาเภสัชกรรม การศึกษา - ปริ ญญาเอก สาขา Pharmaceutics มหาวิทยาลัย School of Pharmacy, Liverpool John Moores University, UK ตาแหน่ งทางการบริหาร - Senior Expert ASEAN Cosmetic Harmonization Committee ตาแหน่ งทีส่ าคัญในอดีต - หัวหน้าภาควิชาเภสัชกรรม, ประธานคณะกรรมการวิจยั , ประธานโครงการวิจยั ยา และ เครื่ องสาอาง คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เคยเป็ นวิทยากรกลุ่มงานฝึ กอบรบการวิจัย หลักสู ตร - นักวิจยั วิทยาศาสตร์ วิทยากรคลินิกการวิจยั เคยดารงตาแหน่ งทีส่ าคัญในสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ - ประธานรุ่ น การฝึ กอบรมหลักสู ตรนักวิจยั วิทยาศาสตร์ รุ่นที่ 8 - ประธานรุ่ นการฝึ กอบรมหลักสู ตรการบริ หารงานวิจยั ระดับหัวหน้าโครงการ เคยได้ รับรางวัลจากสภาวิจัยแห่ งชาติ - รางวัลดีเยีย่ ม ผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจาปี 2545 ด้านการแพทย์และสาธารณสุ ข สาขาวิทยาศาสตร์เคมี และเภสัช เรื่ อง “เจลฟ้ าทะลายโจรเพื่อใช้เสริ มการรักษาโรคปริ ทนั ต์ อักเสบ” ยาสมุนไพรแผนปัจจุบนั ตารับแรกของโลกที่ใช้เสริ มการรักษาโรคปริ ทนั ต์ และ ตารับแรกของประเทศไทยที่ทาการวิจยั ครบวงจร ได้รับการจดสิ ทธิบตั รในประเทศไทย และต่างประเทศทัว่ โลก สถานทีต่ ิดต่ อปัจจุบัน(ปี 2547) - ที่ทางาน ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 447 ถนนศรี อยุธยา พญาไท กทม. 10400 - โทรศัพท์ 02-644-8694, 02-644-8677-87 ต่อ 1305 01-930-1328 - โทรสาร 02-354-4326, 02-644-8694 - E-mail pyprj@mahidol.ac.th

343


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ชื่อ-นามสกุล ดร.กาญจนา วัธนสุ นทร ตาแหน่ งทางราชการ รองศาสตราจารย์ การศึกษา - 2517: การศึกษาบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 2) (ภาษาอังกฤษ-คณิ ตศาสตร์ ) มศว.ประสานมิตร - 2522: คุรุศาสตร์มหาบันฑิต (การวัดและประเมินผลการศึกษา) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - 2531: M.Sc. (Community Education) University of Edinburgh, Scotland, U.K. - 2538: คุรุศาสตร์ดุษฎีบณั ฑิต (การวัดและประเมินผลการศึกษา) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตาแหน่ งทางการบริหาร - ผูป้ ระสานงานแขนงวิชาการวัดและประเมินผล สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มสธ. เคยเป็ นวิทยากรกลุ่มงานฝึ กอบรมการวิจัย หลักสู ตร การวิจยั , การประเมินผล, สถิติ ประสบการณ์ในการทางาน - จัดฝึ กอบรม ออกแบบและจัดทาหลักสู ตรฝึ กอบรมให้กบั มหาวิทยาลัยสุ โขทัยธรรมาธิ ราช และสถาบันองค์กรเอกชนต่าง ๆ - เป็ นวิทยากรและอาจารย์พิเศษให้กบั สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในวิชาการวัดและประเมินผล การประเมินโครงการการวิจยั ทางด้านมนุษยศาสตร์ การสร้างและพัฒนา CAI/CBI/CBT - อาจารย์พิเศษ สถาบัน AIT สถิติ วิจยั การประเมินหลักสู ตรการฝึ กอบรม การประเมิน โครงการ และการใช้โปรแกรมสาเร็ จรู ปเพื่อการวิจยั และประเมิน - Faculty Consultant ด้านการวัดประเมิน การวิจยั การพัฒนาบทเรี ยนสาเร็ จรู ปของ Colombo Plan Staff College (CPSC) , Manila , Philippines - Consultant ด้าน IT ทางการศึกษา สานักงานเลขาธิการ องค์การรัฐมนตรี ตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMES) - วิทยากรอบรมนักประเมินภายในและภายนอกเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษา ของ สมศ. - ผูเ้ ชี่ยวชาญ/ ที่ปรึ กษาด้านการวิจยั และการประเมิน กรมสุ ขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุ ข โครงการ PISA สสวท. สานักงานโครงการเงินกูธ้ นาคารโลกเพื่อพัฒนาการเรี ยนการสอน ทางวิศวกรรมศาสตร์และคอมพิวเตอร์ของทบวงมหาวิทยาลัย สานักงานคณะกรรมการป้ อง กันและปราบปรามยาเสพติด สานักนายกรัฐมนตรี สถานทีต่ ิดต่ อปัจจุบัน (ปี 2547) - ที่ทางาน มหาวิทยาลัยสุ โขทัยธรรมาธิราช อ.ปากเกร็ ด จ.นนทบุรี - โทรศัพท์ (02) 5048557 ,(02) 5047183 ,(02) 5032121-4 ต่อ 3524-5, (05)1292544 - โทรสาร (02) 5033556 – 7 - E-mail drkanjana@yahoo.com , edaswkan@stou.ac.th 344


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ชื่อ-นามสกุล ดร.กุหลาบ รัตนสัจธรรม ตาแหน่ งทางราชการ รองศาสตราจารย์ การศึกษา - วิทยาศาสตรบัณฑิต (พยาบาลศ่สตร์ ) , มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2518 - Master of Public Health (Public Health) , University of the Philipines, 2523 - สาธารณสุ ขศาสตรดุษฎีบณั ฑิต (บริ หารงานสาธารณสุ ข) มหาวิทยาลัยมหิดล, 2536 ตาแหน่ งทางการบริหาร - คณะบดีคณะสาธารณสุ ขศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ตาแหน่ งทีส่ าคัญในอดีต - รองศาสตราจารย์ ประธานกรรมการบริ หารโครงการสาธารณสุ ขศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา เคยเป็ นวิทยากรกลุ่มงานฝึ กอบรมการวิจัย หลักสู ตร การวิจยั , การประเมินผล, สถิติ เคยดารงตาแหน่ งทีส่ าคัญในสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ 1. อุปนายกสมาคมนักวิจยั ทางสังคมศาสตร์ 2. ประธานกรรมการฝ่ ายวิชาการและวิเทศสัมพันธ์สมาคมนักวิจยั ทางสังคมศาสตร์ เคยได้ รับรางวัลจากสภาวิจัยแห่ งชาติ - ประกาศเกียติคุณในการเป็ นวิเทศสัมพันธ์และวิชาการสมาคมนักวิจยั ทางสังคมศาสตร์ สถานทีต่ ิดต่ อปัจจุบัน (ปี 2547) - ที่ทางาน คณะสาธารณสุ ขศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา อาเภอเมือง จังหวัดชลบุรี 20131 - โทรศัพท์ (038) 745900 ต่อ 3759 (038) 393254 (09) 7479899 - โทรสาร (038) 393471 E-mail Koolarb@buu.ac.th, Koolarb@yahoo.com

345


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ชื่อ-นามสกุล ดร.บุญใจ ศรี สถิตย์นรากูร ตาแหน่ งทางราชการ ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ การศึกษา - ครุ ศาสตบันฑิต (คบ.) สาขาพยาบาลศึกษา คณะครุ ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - ครุ ศาสตรมหาบัณฑิต (คม.) สาขาการบริ หารการพยาบาล คณะครุ ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - การศึกษาดุษฎีบณั ฑิต (กศ.ด.) สาขาการวิจยั และพัฒนาหลักสู ตร มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ ตาแหน่ งงานทีเ่ กีย่ วข้ องกับการวิจัย 1. หัวหน้าภาควิชาวิจยั ประเมินผลและการบริ หารทางการพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 2. รองคณบดีฝ่ายวิจยั และกิจการพิเศษ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 3. เลขานุการบัณฑิตศึกษา คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 4. เลขานุการหลักสู ตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริ หารการพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 5. คณะทางานของสานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ 6. คณะกรรมการบริ หารสมาคมนักวิจยั 7. วิทยากรประจาสมาคมนักวิจยั ผลงานวิชาการที่เกีย่ วข้ องกับการวิจัย 1. ตารา “ระเบียบวิธีการวิจยั ทางพยาบาลศาสตร์ ” 2. งานวิจยั 17 เรื่ อง รางวัลทีไ่ ด้ รับ 1. รางวัล “ภูมิพล” ประจาปี 2542 2. รางวัลวิทยานิพนธ์ประจาปี 2544 จากสภาวิจยั แห่งชาติ สถานทีต่ ิดต่ อปัจจุบัน (ปี 2547) - ที่ทางาน คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย - โทรศัพท์ (02) 2189814 (07) 0328835 โทรสาร (02) 2189806 - E-mail jennysri@hotmail.com , sboonjai@chula.ac.th

346


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

คณะทางานจัดทาตาราชุ ดฝึ กอบรมหลักสู ตร “นักวิจัย”

347


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

348


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ภาคผนวก ง คณะทางานจัดทาตาราชุดฝึ กอบรมหลักสู ตร “นักวิจยั ” 1.

ศ.ดร.ติน

ปรัชญพฤทธิ์

ประธานคณะทางาน

2.

นายบุญเฉิด

โสภณ

รองประธานคณะทางาน

3.

ภญ.รศ. ดร.ปลืม้ จิตต์

โรจนพันธุ์

คณะทางาน

4.

รศ. ดร.กาญจนา

วัธนสุ นทร

คณะทางาน

5.

รศ. ดร.กุหลาบ

รัตนสั จธรรม

คณะทางาน

6.

ผศ.ดร.บุญใจ

ศรีสถิตย์ นรากูร

คณะทางาน

7.

นางทิพาพรรณ

สุ วรรณโณ

เลขานุการและคณะทางาน

8.

ดร.ปัญญา

ธีระวิทยเลิศ

ผูช้ ่วยเลขานุการและคณะทางาน

9.

นายศิลป์ ชั ย

นิลกรณ์

ผูช้ ่วยเลขานุการและคณะทางาน

10.

นางเจติยา

อินสิ งห์

เจ้าหน้าที่บริ หารงานทัว่ ไป

11.

นายสิ งห์ ไกรสร

ประสงค์

เจ้าหน้าที่บริ หารงานทัว่ ไป

12.

น.ส.อารีย์

เฉลีย่ ดารา

เจ้าหน้าที่บริ หารงานทัว่ ไป

349


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

350


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

ภาคผนวก จ คณะผู้จดั ทาเอกสาร 1.

นางทิพาพรรณ

สุ วรรณโณ

หัวหน้ากลุ่มงานฝึ กอบรมการวิจยั

2.

น.ส.เพชรา

สั งขะวร

เจ้าหน้าที่วเิ ทศสัมพันธ์ 8 ว

3.

นางเจติยา

อินสิ งห์

เจ้าหน้าที่บริ หารงานทัว่ ไป

4.

น.ส.ฉวี

สั มฤทธิ์

เจ้าหน้าที่บนั ทึกข้อมูล

5.

นายสิ งห์ ไกรสร

ประสงค์

เจ้าหน้าที่บริ หารงานทัว่ ไป

6.

น.ส.อารีย์

เฉลีย่ ดารา

เจ้าหน้าที่บริ หารงานทัว่ ไป

7.

น.ส.สุ กญ ั ญา

สุ วรรณโณ

เจ้าหน้าที่บริ หารงานทัว่ ไป

8.

น.ส.นาฏฤดี

ศรีแจ้ ง

เจ้าหน้าที่บริ หารงานทัว่ ไป

9.

น.ส.กนกวรรณ

โสภาวงศ์

เจ้าหน้าที่บริ หารงานทัว่ ไป

10.

นายประจวบ

สาธร

เจ้าหน้าที่บริ หารงานทัว่ ไป

351


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ (วช.) 196 ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม. 10900 โทรศัพท์ 0 2940 5743, 0 2561 2445 ต่ อ 479-480 โทรสาร 0 2940 6289, 0 2579 0457

website : www.nrct.net Email Address : rtgtps@nrct.go.th 352


สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่ งชาติ ตาราชุดฝึ กอบรมหลักสูตร “นักวิจัย”

353


Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.